Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 6

Chapter 6

เสือเพลิงโลกันต์

จ้าวเป่าฉินถอยหลังมองให้ชัดๆ เมื่อมองโคมไฟนั้นชัดดีแล้ว เธอจึงเห็นว่าโคมไฟสองดวงนั้นมีสีดำตรงกลาง สีดำนั้นกลมวาวเหมือนลูกแก้วสีนิล โคมไฟคู่นี้ดูๆ แล้วช่างคล้ายกับตาแมวมาก เธอเคยให้อาหารแมวจรบ่อยๆ ทั้งยังเล่นกับพวกมันบ่อยๆ ด้วย ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับดวงตาของแมวมาก แต่โคมไฟนี้ใหญ่เท่าลูกฟุตบอล แล้วเธอก็เห็นโคมไฟหายไปแวบหนึ่งแล้วเปิดขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเธอจ้องโคมไฟคู่นั้นให้ชัดๆ เธอก็ขนลุกซู่ทั้งตัว ก็มันไม่ใช่โคมไฟ! แต่เป็นดวงตาสัตว์ แล้วสัตว์อะไรล่ะที่มีดวงตาเหมือนแมว ก็สัตว์จำพวกเสือ สิงโตไงล่ะ!

เธอกลืนน้ำลายเอือกแล้วก้าวถอยหลังไปทันที โคมไฟคู่นั้นเคลื่อนตามเธอมา ทำให้เธอกลืนน้ำลายอีกเอือกอย่างหวั่นกลัว เชี่ยเอ้ย ฉันจะโดนเสือกินเหรอ!?

เธอค่อยๆ ก้าวถอยหลังทีละก้าว ก็วิธีป้องกันตัวพื้นฐานเวลาเจอหมาดุๆ ให้ค่อยๆ ถอยหลัง อย่าหันหลังแล้ววิ่งหนีเด็ดขาด หมาจะวิ่งไล่ทันที แต่ถ้าค่อยๆ ถอยหลังไป จนพ้นระยะจู่โจมแล้ว หมาจะไม่วิ่งไล่ แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลกับสัตว์ตัวนี้รึเปล่า? เธอก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอค่อยๆ ถอยเป็นดีที่สุด

“ฮื้อ งึมๆ” เถากลืนจิตส่งเสียงงัวเงียแล้วพลิกตัว

ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นหันไปมองเถากลืนจิตแล้วมันก็ไม่สนใจเถากลืนจิต มันหันกลับมามองเหยื่อตัวอ้วนๆ ขาวๆ ที่ดูแล้วเนื้อน่าจะนุ่มมาก คาดว่ากระดูกก็คงอ่อนนุ่มด้วยกระมัง

จ้าวเป่าฉินยื่นเท้าไปเตะเถากลืนจิต ปั๊กๆ

“ฮื้อ!” เถากลืนจิตส่งเสียงงึมงำอีกครั้งแล้วพลิกตัวอีกด้าน

จ้าวเป่าฉินเห็นว่าคงพึ่งเจ้าตัวตะกละไม่ได้แล้ว เธอจึงค่อยๆ ก้าวถอยไปเรื่อย

ในความมืด เธอเห็นเงารางๆ เคลื่อนไหว รูปร่างมันใหญ่มาก มันค่อยๆ ก้าวผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาจนกระทั่งหมดตัว

จ้าวเป่าฉินมองรูปร่างในความมืดแล้วกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้นแล้ว จากเงาที่เห็นกะขนาดตัวมันแล้วน่าจะใหญ่ยิ่งกว่าเถากลืนจิต 3 เท่า ทำให้บ้านหลังนี้เล็กคับแคบไปทันทีเมื่อตัวที่ตาเหมือนแมวเข้ามาข้างใน

บ้านหลังนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้เล็กนะ เจ้าตัวตะกละเข้าออกได้อย่างสบาย เรียกว่าเจ้าตัวตะกละเดินไปเดินมาภายในบ้านรวมกับเธอซึ่งอ้วนมากก็ยังมีพื้นที่เหลือเฟืออีกมาก แต่พอตัวที่ตาเหมือนแมวเข้ามาเท่านั้น มันทำให้บ้านดูเล็กแคบจนหายใจหายคอไม่ออกแล้ว หรือจริงๆ แล้วต้องพูดว่าเธอกลัวจนหายใจหายคอไม่ออกแล้วต่างหาก เธอกลัวจนมือเท้าแข็งเกร็งไปหมดแล้ว

“กรร—” ตัวที่ตาเหมือนแมวคำรามออกมา เสียงมันดังมาก ดังจนบ้านสะเทือนเลยทีเดียว

“ฮื้อ!” เถากลืนจิตส่งเสียงงึมงำทีหนึ่งแล้วก็เงียบไป

ดวงตาใหญ่โตเหล่มองเถากลืนจิตแวบหนึ่งอย่างไม่เห็นเถากลืนจิตอยู่ในสายตา ซึ่งต้องบอกว่าไม่เห็นเถากลืนจิตเป็นเหยื่อต่างหาก มันจะอยากกินเถากลืนจิตไปทำไม ทั้งขมทั้งเหนียว ยี้…ไม่อร่อยสักนิด

จ้าวเป่าฉินคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ออกจริงๆ สมองเธอเหมือนถูกแช่แข็งไปแล้ว รู้แต่ว่าสัญชาตญาณสั่งให้วิ่งหนีเท่านั้น ดังนั้นช่วงที่ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นเหล่มองเถากลืนจิต เธอจึงหันหลังแล้ววิ่งสุดฝีเท้าทันที ปากก็ร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย—” กับ “ไฟไหม้—” ออกไป

ซึ่งคำว่า ‘ไฟไหม้’ นี้ เป็นคำตะโกนเรียกร้องความสนใจจากผู้คน เพราะคนส่วนใหญ่หากได้ยินคำว่า ‘ช่วยด้วย’ ประโยคเดียวมักจะมองๆ ดูเหตุการณ์ก่อน แต่ถ้าได้ยินคำว่า ‘ไฟไหม้’ จะทำให้ผู้คนแห่กันออกมาหาทางดับไฟทันที

เพราะถ้าไฟมันลุกลามมากๆ ก็อาจจะเผาบ้านพวกเขาไปด้วยไง ดังนั้นผู้คนจึงต้องแห่กันออกไปช่วยดับไฟก่อน จ้าวเป่าฉินจึงตะโกนสองประโยคนี้ออกไปตามสัญชาตญาณล้วนๆ

เมื่อเธอวิ่ง ดวงตาใหญ่โตคู่นั้นก็พุ่งตามทันที

“ช่วยด้วย— ไฟไหม้—” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นพลางวิ่งไปด้วย เธอวิ่งหนีในความมืดด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ เธอวิ่งสุดฝีเท้า วิ่งสุดชีวิตเลยทีเดียว เจ้าตัวตาใหญ่ๆ นั่นก็วิ่งตามเธอมาด้วยความเร็วยิ่ง

เสียงร้องตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ กับ ‘ไฟไหม้’ ทำให้เถากลืนจิตสะดุ้งเฮือก มันลุกขึ้นทันทีอย่างตื่นตัว มันทันเห็นเงาดำๆ ใหญ่ๆ ผ่านหน้ามันไป มันรีบลุกขึ้นมาแล้ววิ่งตามไป “นี่ๆ หูลู่ เจ้ากินนางไม่ได้นะ!”

“ช่วยด้วย— ไฟไหม้—” จ้าวเป่าฉินตะโกนลั่นไปเรื่อยๆ เธอวิ่งไปทางบ้านของชายผมขาวตามสัญชาตญาณ เพราะในจิตสำนึกของเธอ เขาต้องช่วยเธอได้แน่นอน เธอวิ่งไปอย่างไม่เห็นทางนัก เพราะมันมืด มีเพียงแสงดาวส่องสลัวๆ เท่านั้น แล้วเธอก็ชนกับบางสิ่งเข้าให้ โคร้ม!

“โอ๊ย!” เธอล้มไป เจ็บหน้าจนรู้สึกเหมือนจมูกน่าจะหักแล้วมั้ง เธอกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วเจ้าตัวที่วิ่งกวดเธอมามันก็เหยียบขาเธอเอาไว้ กร๊อบ! ทำเธอร้องอีกหน “โอ๊ย!”

เธอรู้สึกเจ็บขามาก ขาเธอน่าจะหักมั้ง เธอเงยหน้ามองขึ้นไป จึงเห็นเงาร่างใหญ่โตในความมืดมิดใต้แสงดาวรางๆ มันตัวใหญ่มาก!

“กรร—” ตัวที่ตาเหมือนแมวคำรามออกมา กลิ่นเหม็นเน่าพุ่งออกมาจากปากมัน ทำจ้าวเป่าฉินเหม็นจนแทบอ๊วก เธอขนลุกซู่ เธอกลัวจนฉี่จะราดแล้ว เธอคงตายเพราะถูกมันกินแน่!

เธอเห็นมันอ้าปากกว้าง พุ่งลงมา วินาทีนี้เธอกลัวจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แม้แต่จะร้องก็ร้องไม่ออก ขยับตัวไม่ได้เหมือนตัวแข็งทื่อไปหมดแล้ว!

“หูลู่ เจ้ากินนางไม่ได้นะ!” เถากลืนจิตตะโกนลั่นแว่วมา แต่คำห้ามปรามของมันก็ไม่ทันเสียแล้ว มันเห็นเจ้าถังหูลู่อ้าปากลงไปแล้ว!

ขณะที่ถังหูลู่กำลังจะกัดเหยื่อ จู่ๆ เสียงจางอี้ปินก็ดังขึ้น “หูลู่!”

ตัวมันลอยขึ้นไปพรึ่บ!

“กรร—” ถังหูลู่คำรามอย่างตกใจ แล้วตัวมันก็พุ่งลิ่วไปไกล เกือบจะชนต้นไม้เข้าแล้ว ดีที่มันกางกรงเล็บจิกพื้นเอาไว้ จึงหยุดการไถลไว้ได้ทันก่อนที่ตัวมันจะชนต้นไม้

จางอี้ปินลอยลงมายืนอยู่ข้างจ้าวเป่าฉิน

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วสิ้นสติล้มพับลงไป

“อ้า! นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตวิ่งมาถึงพอดี มันรีบฟ้องว่า “เป็นหูลู่ไล่กวดนาง ข้าพยายามห้ามมันแล้วนะเจ้าคะ”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้ารับรู้ แล้วก้มลงมองจ้าวเป่าฉิน เขายอบตัวลงดูนาง “เป่าฉินๆ”

แต่ร่างอวบอ้วนก็ไม่ส่งเสียงหืออือเลยสักคำ เขาใช้นิ้วจิ้มๆ นาง “เป่าฉินๆ”

ยังคงเงียบไร้เสียงหืออือเช่นเดิม เขามองนางแล้วยื่นนิ้วไปแตะชีพจรที่ข้อมือของนาง

“ไอหยา!” เขาร้องสองคำแล้วรีบใช้พลังเทพทำให้นางลอยขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าไปพร้อมกับร่างของนาง

“อ้า! นายท่านจะไปไหนเจ้าคะ?” เถากลืนจิตถาม

“สำนักโอสถ” จางอี้ปินตอบขณะที่พุ่งจากไปราวดาวตก

“สำนักโอสถ” เถากลืนจิตทวนคำ จะถามอีก นายท่านก็จากไปเสียไกลลิบแล้ว

แสงสลัวเริ่มสว่างขึ้นทำให้มองเห็นบริเวณรอบๆ ได้ชัดขึ้นอีกนิด มันเห็นถังหูลู่อยู่ด้านหนึ่ง มันจึงเดินไปหาถังหูลู่แล้วข่มขู่ว่า “เจ้าได้อดกินถังหูลู่แน่ นั่นนะสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านนะ”

ถังหูลู่เบิกตาโต ครู่ต่อมามันก็ทำหูตกลู่ “อ้า! ไม่นะ! ไม่นะๆๆๆ นายท่านจะลงโทษข้าไม่ได้นะ ก็ข้าไม่รู้นี่”

“ฮึ!” เถากลืนจิตแค่นเสียงคำหนึ่ง แล้วข่มขู่ต่อ “เจ้าได้อดกินแน่ๆ ข้าอุตส่าห์เรียกแล้วแต่เจ้าไม่หยุดเองนะ”

“…” ถังหูลู่หูตกอย่างกลัวโทษทัณฑ์ มันไม่รู้นี่ว่านายท่านมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ จะโทษมันไม่ได้นะ เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านดูน่ากินมาก ทำให้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ หากได้กินสักคำมันเชื่อว่าเนื้อคงจะทั้งนุ่มทั้งหวานอร่อยมาก

เถากลืนจิตมองถังหูลู่แวบหนึ่งแล้วเดินกลับไปอย่างไม่สนใจถังหูลู่อีก ก็มันยังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จอีกตั้งมาก เมื่อนายท่านไม่อยู่เช่นนี้มันรีบจัดการงานต่างๆ ให้เสร็จดีกว่า เมื่อนายท่านกลับมามันจะได้คอยรับใช้นายท่านได้เต็มที่

ถังหูลู่กำลังจะเดินไป เถากลืนจิตรีบหันไปเรียก “หูลู่”

ถังหูลู่ชะงักกึก หันไปมองเถากลืนจิต

เถากลืนจิตได้ทีจึงรีบบอกว่า “ไหนๆ เจ้าก็มาแล้ว เจ้ามาช่วยข้าทำงานเถอะ บางทีหากนายท่านเห็นว่าเจ้าช่วยทำงานอาจจะลดโทษทัณฑ์ให้เจ้าลงนิดหนึ่งก็ได้”

“จริงนะ?” ถังหูลู่ถามอย่างดีใจ

“อาจจะนะ” เถากลืนจิตพูดอย่างไม่กล้ารับรอง เพราะมันก็ไม่รู้เช่นกันว่านายท่านจะลงโทษถังหูลู่อย่างไรบ้าง แต่ที่แน่แท้ที่สุดก็คือการไม่ซื้อถังหูลู่ให้ถังหูลู่กินแน่นอน ซึ่งจะเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับนายท่านอีกนั่นแหละ

ถังหูลู่ได้ชื่อนี้มาก็เพราะมันชอบกินถังหูลู่นี่แหละ ยามนายท่านกลับมามักจะซื้อถังหูลู่มาให้ถังหูลู่กินเสมอ เวลานายท่านจะลงโทษถังหูลู่ก็คือไม่ซื้อถังหูลู่ให้มันกิน นี่เป็นโทษสถานเบา ส่วนโทษสถานกลางก็คือขังมันไว้ในป่า ทำให้มันไม่อาจออกไปวิ่งเล่นได้ ส่วนโทษสถานหนัก ยังไม่เคยมีเพราะนายท่านยังไม่เคยลงโทษถังหูลู่มากไปกว่านี้เลย แต่เรื่องคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าถังหูลู่จะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง

จางอี้ปินพุ่งไปราวดาวตกได้สักพัก เขาก็นึกขึ้นได้ว่า “อ้า! ทำไมข้าไม่ฉีกช่องว่างไปเล่า!?”

เมื่อนึกได้แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างทันที

ท้องฟ้าพลันฉีกออกเป็นรอยแยก เขาพุ่งเข้าไปในรอยแยกนั้นพร้อมกับร่างอวบอ้วนของจ้าวเป่าฉินซึ่งสลบไสลไม่ได้สติ อีกทั้งขานางยังหักอีกด้วย หากนางแค่สลบไปเขาคงไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้หรอก แต่เพราะนางขาหักทำให้เขารีบร้อนจนลืมไปว่าการฉีกช่องว่างย่อมไปได้เร็วกว่าการเหินลอยไปเช่นนี้

ณ ท้องฟ้าเหนือสำนักโอสถ ช่องว่างฉีกขาดออก ทำให้ศิษย์ที่เฝ้ายามอยู่เงยหน้ามองขึ้นไป แล้วเขาก็เห็นคนๆ หนึ่งก้าวออกมาจากช่องว่างช่องนั้น “หือ?”

จางอี้ปินก้าวออกไป ตามด้วยร่างของจ้าวเป่าฉิน

“ผู้มาคือใคร?” ศิษย์สำนักโอสถถามออกไป

“จางอี้ปิน” จางอี้ปินตอบแล้วบอกว่า “ข้าต้องการพบเจ้าสำนักของเจ้า”

“เชิญรอที่ห้องโถงขอรับ ข้าจะให้คนไปรายงานท่านเจ้าสำนักให้ขอรับ” ศิษย์สำนักโอสถบอกอย่างสุภาพแล้วหันไปสั่งศิษย์น้องว่า “เจ้าไปรายงานท่านเจ้าสำนัก”

“ขอรับศิษย์พี่” ศิษย์น้องรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปทันที

จางอี้ปินจึงพุ่งไปรอที่ห้องโถงพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉิน

ศิษย์ที่เฝ้าประตูมองคนๆ นั้นแล้วหันไปมองหน้ามองตากันเอง พวกเขาซุบซิบคุยกันว่า “จางอี้ปินผู้นี้พลังไม่สูง เหตุใดจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนั้นเล่า?”

“หรือว่าจะเป็นวิชาลับของเขา?” ศิษย์คนหนึ่งคาดเดา

“คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” ศิษย์อีกคนพยักเพยิดเห็นด้วย

“เจ้าสองคนยังอ่อนด้อยนัก จางอี้ปินผู้นี้เป็นเทพชั้นสูง มีแต่เทพชั้นสูงจึงจะฉีกช่องว่างไปมาตามใจเช่นนี้ได้” ศิษย์พี่ตำหนิเล็กน้อยแล้วอธิบายให้ศิษย์น้องทั้งหลายฟัง

“อ่อ” ศิษย์น้องกลุ่มนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจ

พวกเขาล้วนเป็นเทพใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง และเพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นานจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวมากนัก วันนี้ถูกใช้ให้มาเฝ้ายามที่ประตู พวกเขาก็มาทำหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น

จางอี้ปินไปถึงห้องโถงในไม่กี่อึดใจ เขาพุ่งผ่านไปราวลมพายุหอบหนึ่งทำให้ศิษย์ของสำนักโอสถที่เดินไปเดินมามองไม่ทัน พวกเขาถูกลมพัดผ่านวูบหนึ่งแล้วลมหอบนั้นก็จากไปแล้ว ทำให้ศิษย์ทั้งหลายล้วนคิดว่าเป็นเพียงลมหอบหนึ่งเท่านั้น

จางอี้ปินวางจ้าวเป่าฉินบนตั่งยาว แล้วนั่งลงรอคอย

ศิษย์ที่ดูแลห้องโถงเห็นมีแขกมาจึงยกน้ำชาไปต้อนรับ เขาวางน้ำชา ขนมและผลไม้ให้แขกแล้วก็ถอยไป

จางอี้ปินไม่แตะต้องน้ำชา ขนมและผลไม้พวกนั้นเลย เขามองไปที่ทางเข้าห้องโถง รอคอยเจ้าสำนักฯ มาพบ

เจ้าสำนักโอสถรับรู้ว่ามีแขกมาพบจึงออกไปพบแขก เมื่อได้เห็นหน้าแขกที่มาพบเขาก็รีบกุมมือคารวะ “ท่าน…”

“เกอเกอ*” จางอี้ปินพูดสองคำ (เกอเกอ 哥哥 แปลว่าพี่ชาย)

ทำให้เจ้าสำนักโอสถซึ่งกำลังจะพูดออกมาชะงักไปอึดใจหนึ่ง แล้วเขาก็พูดว่า “เกอเกอ”

เขารีบเดินไปหาจางอี้ปิน กำลังจะอ้าปากถาม จางอี้ปินก็ชิงบอกเสียก่อนว่า “ข้าพานางมาให้ท่านช่วยรักษา” นิ้วชี้ไปที่จ้าวเป่าฉิน

เจ้าสำนักโอสถมองตาม เขาเห็นสตรีอ้วนนางหนึ่งนอนอยู่บนตั่งตัวใหญ่ แต่บัดนี้ดูเล็กไปเมื่ออยู่ใต้ร่างสตรีอ้วนนางนี้ เขารีบเดินไปดูนางทันที จับมือนางพลิกให้หงายข้อมือแล้ววางนิ้วแตะจุดชีพจรของนาง เขาแตะอยู่พักหนึ่ง หัวคิ้วพลันขมวด พูดสองคำ “ครึ่งเทพ”

เขาดึงมือกลับแล้วขยับไปจัดการขาที่หักของนางทันที เขาจับขานางแล้วจัดกระดูกให้เข้าที่ กรึบๆ

จากนั้นเขาก็ขยับไปเอาโอสถเม็ดหนึ่งใส่ปากนางแล้วหันไปบอกจางอี้ปินว่า “ข้าจัดกระดูกให้นางแล้ว และให้โอสถระดับมนุษย์แก่นาง ไม่อาจใช้โอสถระดับเทพกับนางได้เพราะฤทธิ์รุนแรงเกินไปร่างกายนางย่อมทนฤทธิ์โอสถระดับเทพไม่ได้แน่”

“อืม” จางอี้ปินพยักหน้าแล้วพูดขอบคุณ “ขอบใจท่านมาก”

“นางคือ?” เจ้าสำนักโอสถถามอย่างอยากรู้

“นางคือครึ่งเทพที่ข้าเจอแถวชายแดน เกือบจะถูกเจ้าตัวตะกละกินแล้ว” จางอี้ปินอธิบายสั้นๆ

“อ่อ” เจ้าสำนักโอสถพยักหน้ารับรู้แล้วบ่นอย่างเสียดายว่า “เถากลืนจิตเถานั่นก็เติบใหญ่ถึงขนาดนั้นแล้ว หากนำมาตุ๋นกินย่อมเพิ่มพูนพลังไม่น้อยทีเดียว”

“ข้าตุ๋นมันไม่ลง” จางอี้ปินพูดแค่นั้น

เจ้าสำนักโอสถก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเถากลืนจิตอีก

“เมื่อท่านรักษานางแล้วข้าก็กลับล่ะ” จางอี้ปินบอกแล้วเอาถุงหยกปราณสวรรค์ออกมาวางไว้บนโต๊ะเป็นค่ารักษา แล้วเขาก็ใช้พลังทำให้จ้าวเป่าฉินลอยขึ้น

“เดี๋ยวก่อนเกอเกอ” เจ้าสำนักโอสถรีบเรียก

จางอี้ปินชะงักหันไปมองเจ้าสำนักโอสถ

เจ้าสำนักโอสถรีบเอาขวดโอสถออกมาแล้วยื่นให้จางอี้ปิน “นี่เป็นโอสถระดับมนุษย์ ท่านให้นางกินครั้งละ 1 เม็ด 3 เวลาต่อวันจะช่วยให้นางหายปวดได้ ส่วนนี่เป็นโอสถสมานกระดูกระดับมนุษย์เช่นกัน ท่านให้นางกินวันละ 2 เม็ดเช้าเย็นจะช่วยให้กระดูกของนางสมานกันเร็วขึ้น”

“อ่อ” จางอี้ปินรับขวดโอสถมา “ขอบใจ”

เขาเก็บขวดโอสถไปแล้วเดินจากไปทันทีพร้อมกับร่างของจ้าวเป่าฉินที่ลอยตามหลังไป

เจ้าสำนักโอสถมองตามจนคนลับตาไปแล้วเขาจึงกลับไปที่เรือนของเขา

ตอนแรกที่ได้ยินศิษย์รายงายว่า ‘จางอี้ปิน’ มาพบ เขาคิดว่าคงเป็นเทพสักคนที่ไม่สลักสำคัญอะไรกระมัง จึงมาพบตามมารยาทเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นว่า ‘จางอี้ปิน’ ที่มาพบคือใครเขาก็ตกใจมาก เพราะคนผู้นี้น้อยนักที่จะออกจากบ้าน เรียกได้ว่าเขาแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกเหมือนตี้จวินเข้าไปทุกทีแล้ว

พวกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ที่ห้องโถงล้วนมองดูท่าทางท่านเจ้าสำนักฯ ที่อ่อนน้อมต่อแขกยิ่งนัก พวกเขาจึงพยายามจดจำแขกท่านนี้ให้แม่นยำ ครั้งหน้าหากแขกท่านนี้มาอีก พวกเขาจะได้ไม่เผลอล่วงเกินอะไรเข้า ก็แขกที่ทำให้ท่านเจ้าสำนักฯ อ่อนน้อมได้มีน้อยมาก ทั่วทั้งแดนเทพนับๆ ดูแล้วมีไม่ถึง 10 คนกระมัง

จางอี้ปินออกจากห้องโถงถึงประตูหน้าในเวลาไม่กี่อึดใจ แล้วเขาก็ฉีกช่องว่างกลับไป

เหล่าศิษย์ที่เฝ้าประตูล้วนมองท่านเทพชั้นสูงผู้นั้นฉีกช่องว่างจากไปอย่างอิจฉาอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะกลายเป็นเทพชั้นสูงนะ คิดๆ แล้วคงอีกหลายร้อยปีเลยกระมัง ไม่ซิ ต้องบอกว่าหลายพันปีต่างหาก บางทีอาจจะหลายหมื่นปีเลยก็ได้ เฮ้อ…

เมื่อจางอี้ปินกลับไปถึง เขาก็พาจ้าวเป่าฉินไปนอนที่เตียงในเรือนของนาง แล้ววางขวดโอสถสองขวดไว้บนโต๊ะ เขามองหาเจ้าตัวตะกละ สักพักเขาก็เห็นมันเดินออกมาจากชายป่า ตามหลังมันมาคือถังหูลู่ เขาจึงเดินออกจากเรือนไปหาเจ้าตัวตะกละกับเจ้าถังหูลู่

เถากลืนจิตเห็นนายท่าน มันรีบวางท่อนไม้ที่เพิ่งตัดมาทิ้งลงกับพื้นแล้วรีบวิ่งไปหานายท่านทันที “นายท่าน! ท่านกลับมาแล้ว”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วมองถังหูลู่

ถังหูลู่ถูกมอง มันทำหูลู่ตกอย่างรู้ความผิด มันปล่อยท่อนไม้ที่คาบอยู่ในปากลงแล้วเดินไปนั่งหมอบตรงหน้านายท่าน

จางอี้ปินมองมันอย่างเฉยชามาก

ถังหูลู่ยิ่งใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มันกลัวว่านายท่านจะลงโทษมันรุนแรงมากกว่าที่เคยถูกลงทัณฑ์

“รอให้นางฟื้นแล้วค่อยให้นางตัดสินโทษทัณฑ์ของเจ้าเถอะ นางเป็นเจ้าทุกข์ไม่ใช่ข้า” จางอี้ปินพูดอย่างเฉยชาแล้วหมุนตัวเดินจากไป

ถังหูลู่งุนงง มันมองนายท่านอย่างงงๆ แล้วกะพริบตาปริบๆ มันหันไปมองเถากลืนจิต

เถากลืนจิตมองตอบอย่างงงๆ เช่นกัน

“นายท่านหมายความว่าอย่างไร?” ถังหูลู่ถามอย่างมึนงง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version