Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 8

Chapter 8

สัตว์เลี้ยงตัวใหม่

เถากลืนจิตมองดูจ้าวเป่าฉินขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ สองรอบแล้วพูดว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองหูลู่ดีไหม?”

“หูลู่?” จ้าวเป่าฉินเลิกคิ้วขึ้น

ถังหูลู่ค่อยๆ โผล่ดวงตาข้างหนึ่งตรงหน้าต่าง มันมองเข้าไปอย่างรอคอย ก็มันอุตส่าห์ให้เถากลืนจิตไปช่วยพูดให้มัน เพื่อที่สตรีนางนั้นจะได้ไม่ลงโทษลงทัณฑ์อะไรมันมากนัก ยิ่งถ้ายกโทษให้มันได้จะยิ่งยอดเยี่ยมมาก ฮี่ๆๆๆ

“หูลู่ เจ้าออกมาซิ” เถากลืนจิตเรียก

ถังหูลู่จึงค่อยๆ โผล่หน้าออกไปทีละนิด…ทีละนิด

เถากลืนจิตมองไปที่หน้าต่าง พยักเพยิดหน้า “นั่นไง หูลู่”

จ้าวเป่าฉินมองที่หน้าต่าง เธอเห็นดวงตาดวงใหญ่กว่าลูกฟุตบอล กับขนสีส้มเหมือนสีของดวงตะวันตกดินตอนหน้าหนาว แล้วเธอก็เห็นมันค่อยๆ เคลื่อนออกมาจนเห็นทั้งหน้า เธอเบิกตาโต อ้าปากค้าง ตัวกระถดไปจนติดหัวเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจจะรู้ได้ ใจเต้นตึกๆ ยิ่งกว่าตีกลองแล้ว

เถากลืนจิตมองจ้าวเป่าฉิน “ไม่ต้องกลัว มันไม่กล้าทำอะไรเจ้าแล้ว”

“มะ…ไม่…กะ…กล้า…แน่นะ” จ้าวเป่าฉินพูดตะกุกตะกักอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ เธอกลัวจริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นยังฝังใจไม่อาจลบเลือนได้ในเร็ววัน

“ไม่กล้าแล้ว มันรู้แล้วว่าเจ้าเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายท่านมันย่อมไม่กล้ากินเจ้าแล้ว” เถากลืนจิตพูดอย่างผู้ทรงภูมิ ท่าทางเลียนอย่างนายท่านไม่ผิดเพี้ยน

“สัตว์เลี้ยง!” จ้าวเป่าฉินเสียงสูงปรี๊ดขึ้นมาทันที เธอหันขวับไปจ้องเถากลืนจิต เฟ้ย! ฉันเป็นคนนะ!

“ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ!” เธอเถียงออกไปเสียงดังลั่น

ถังหูลู่กะพริบตาปริบๆ มองสตรีอ้วนกับเถากลืนจิต แล้วเบนสายตากลับไปมองสตรีอ้วนอีกครั้ง “เจ้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของนายท่าน เช่นนั้นเจ้าเป็นอะไร? นายหญิงรึ?”

“เพ้ยๆๆๆ นายหญิงมารดาเจ้าซิ!” เถากลืนจิตสถบออกมา มันยื่นเถาไปตีหน้าผากถังหูลู่ทีหนึ่ง

ถังหูลู่เบี่ยงหลบไวยิ่งทำให้เถายืดยาวเส้นนั้นฟาดอากาศอย่างพลาดเป้า

เถากลืนจิตหดเถากลับไปอย่างโมโห

ถังหูลู่โผล่หน้ากลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง “นางไม่ใช่นายหญิง เช่นนั้นนางเป็นอะไรกับนายท่าน?”

“เป็นศิษย์ข้า”

หนึ่งคน หนึ่งเถา หนึ่งเสือ หันไปมองตามเสียงเป็นตาเดียว พวกเขาเห็นจางอี้ปินยืนอยู่ตรงประตูเรือน

จางอี้ปินเดินเข้าไป เขานั่งลงที่เก้าอี้แล้วมองถังหูลู่กับเถากลืนจิต พูดออกมาอีกครั้งอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “นางเป็นศิษย์ข้า”

“อ๋า!” เถากลืนจิตปากอ้าตาค้างแล้ว

ถังหูลู่มีท่าทีเฉยๆ

จ้าวเป่าฉินอึ้งไป เธอกะพริบตาปริบๆ เรียงลำดับความคิดในสมองอยู่

เถากลืนจิตกะพริบตาปริบๆ แล้วพยายามตั้งสติ “นางเป็นศิษย์ท่าน?”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงรับอย่างเอื่อยเฉื่อยยิ่ง

“นายท่าน! ท่านรับนางเป็นศิษย์ได้อย่างไร? มีเทพมากความสามารถตั้งมากมายอยากเป็นศิษย์ท่าน มาคุกเข่าขอให้ท่านรับเป็นศิษย์ที่ตีนเขาตั้งหลายพันคน แต่ท่านไม่คิดจะรับพวกเขาเลย แล้วไยท่านจึงรับสตรีนางนี้เป็นศิษย์ท่านล่ะเจ้าคะ? นางเป็นครึ่งเทพนะเจ้าคะ ศิษย์ของท่านก็ควรจะเลือกคนที่เก่งกาจมากความสามารถไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” เถากลืนจิตพูดรัวเร็วออกมาอย่างแตกตื่นตกใจ มุมมองเรื่องรับศิษย์ของนายท่านของมันพังทลายดั่งโลกแตกสลายอย่างไรอย่างนั้น

“ข้ามอบตำราให้นางใช่หรือไม่?” จางอี้ปินย้อนถามเสียงเอื่อยเฉื่อย

“ใช่เจ้าค่ะ” เถากลืนจิตพยักหน้า

“เช่นนั้นนางก็เป็นศิษย์ข้าแล้วไม่ใช่หรือ?” จางอี้ปินถามอีกครั้งน้ำเสียงยังคงเอื่อยเฉื่อยเช่นเดิม

“อ่อ” เถากลืนจิตพยักหน้ารับ ครู่ต่อมามันก็เบิกตากว้าง ปากอ้าตาค้าง “อ๋า!”

มันหันไปมองสตรีอ้วนอย่างตกตะลึงแล้ว ดูอย่างไรสตรีนางนี้ก็ไม่คู่ควรให้นายท่านรับเป็นศิษย์สักนิด

จางอี้ปินหันไปมองถังหูลู่

ถังหูลู่ขนลุกชันขึ้นมาทันทีทันใด มันรีบหดศีรษะลงไปจนเหลือแค่ลูกตาข้างหนึ่งกับข้างแก้มส่วนหนึ่งให้เห็น

“เรื่องโทษทัณฑ์ของเจ้าก็ขึ้นอยู่กับเป่าฉิน เจ้าทำนางขาหัก นางจะหักขาเจ้าหรือให้เจ้าชดใช้คืนด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่นาง” จางอี้ปินพูดน้ำเสียงราบเรียบ

ถังหูลู่ฟังแล้วหนาวไปถึงกระดูก มันขนลุกชันแล้วลุกชันอีก มันพูดเสียงอ่อยอย่างขอความเมตตา “นายท่าน”

จางอี้ปินไม่สนใจมันอีก เขาหันไปมองจ้าวเป่าฉิน นิ้วก็ชี้ไปที่หุ่นเชิดทั้งสอง “ข้ามอบหุ่นเชิดสองตัวนี้ให้เจ้า พวกนางจะคอยรับใช้เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะสั่งอะไรพวกนางล้วนฟังคำสั่งเจ้าทั้งสิ้น”

“ขอบคุณค่ะ…เอ้ย เจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินยกมือไหว้

“เจ้าต้องคารวะเช่นนี้” จางอี้ปินกุมมือให้ดู

จ้าวเป่าฉินจึงเปลี่ยนจากไหว้เป็นกุมมือตามอย่างเขา เขาบอกว่าเป็นอาจารย์ก็ถูกแล้ว คนที่สอนสิ่งต่างๆ ให้ก็นับว่าเป็นครูบาอาจารย์ซิ ดังนั้นเธอเป็นลูกศิษย์เขาก็ถูกต้องแล้ว เธอลดมือลงแล้วมองหุ่นเชิด ยังสงสัยคาใจว่าหุ่นเชิดคืออะไร? เป็นคนแบบไหน? คนปัญญาอ่อนที่คอยแต่ทำตามคำสั่งเหรอ? “อาจารย์ หุ่นเชิดคือคนแบบไหนเหรอ?”

“ไม่ใช่คน” จางอี้ปินตอบ เขาขี้เกียจอธิบายให้มากความจึงชี้ไปที่หุ่นเชิดตัวหนึ่ง “เจ้าดู”

จ้าวเป่าฉินมองเยี่ยนหรงที่ถูกชี้ตัว พลัน! เยี่ยนหรงก็ค่อยๆ หดลงไป หดลงจริงๆ นะ หดลงเหมือนกำลังดูหนังอุลต้าแมนฉากที่อุลต้าแมนตัวหดเล็กลงนั่นแหละ เยี่ยนหรงหดเล็กลงจนกลายเป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่ง ทำเธออึ้งจนปากอ้าตาค้างไปเลย “โอ…”

“นี่คือหุ่นเชิด” จางอี้ปินบอกแล้วใส่พลังเข้าไปในหุ่นเชิดตัวเดิม มันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเยี่ยนหรง

“โอ…” จ้าวเป่าฉินเบิกตาโตอีกครั้ง เธอมองเยี่ยนหรงอย่างทึ่งๆ อึ้งๆ มาก

“เข้าใจแล้วนะ?” จางอี้ปินถาม

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ เหมือนไก่จิกข้าวแล้ว เป็นเทพมันดีแบบนี้เอง ทำอะไรๆ ได้หลายอย่างมาก!

ขณะที่เธอพยักหน้า จู่ๆ ท้องก็ร้องดังจ๊อกกกก—

เถากลืนจิตทำหน้าอับอายแทน

จ้าวเป่าฉินอายจนหน้าแดงๆ

จางอี้ปินกระแอมไอสองที พูดว่า “เจ้าคงหิวแล้ว เช่นนั้นก็ให้เจ้าตัวตะกละไปทำกับข้าวเถอะ”

จ้าวเป่าฉินหันขวับไปมองเถากลืนจิตทันที ให้มันทำกับข้าว! คงกินลงหรอก เธอรีบพูดออกไป “ไม่ต้องๆ ข้าไม่หิว”

“จะไม่หิวได้อย่างไร ท้องเจ้าร้องเสียดังขนาดนี้” เถากลืนจิตพูดแล้วทำหน้าภาคภูมิใจขึ้นมาทันทีทันใด “รอเดี๋ยวนะน้องสาว เดี๋ยวพี่เฟยจะไปทำกับข้าวให้เจ้ากินเอง”

“ไม่ต้องๆ ข้าไปทำเองดีกว่า” จ้าวเป่าฉินรีบโบกมือพัลวัน ให้มันไปทำกับข้าว แล้วเธอกระเดือกไม่ลงก็เสียของแย่ซิ เธอมองเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงแล้วสั่งว่า “พวกเธอสองคนมาอุ้มฉันไปที่ห้องครัวที”

“เจ้าต้องพูดว่า พวกเจ้าสองคนมาอุ้มข้าไปที่ห้องครัวที ต่างหาก” จางอี้ปินสอนน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย

“อ่อๆ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้าแล้วพูดใหม่ว่า “พวกเจ้าสองคนมาอุ้มข้าไปที่ห้องครัวที”

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงรับคำพร้อมกัน ทั้งสองขยับก้าวขึ้นไปบนเตียงแล้วยืนตรงหว่างขาคนหนึ่ง อีกคนยืนข้างหลัง จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันหามจ้าวเป่าฉินลงจากเตียง

เถากลืนจิตมองอย่างอึ้งๆ “เจ้าจะต้องลำบากไปไย ข้าทำให้ก็ได้”

จ้าวเป่าฉินรีบพูดพร้อมโบกมือ “ไม่ลำบากๆ ฉันทำเองดีกว่า รบกวนพี่เฟยไปทำเฟอร์นิเจอร์ให้ฉันดีกว่า”

“เอาๆ ก็ได้ๆ” เถากลืนจิตพยักหน้ารับ

จางอี้ปินยิ้มจางๆ ที่จ้าวเป่าฉินรู้จักพูดจาถนอมน้ำใจเจ้าตัวตะกละ ไม่พูดออกไปตรงๆ ว่ารสชาติอาหารที่มันทำนั้น ‘กลืนไม่ลง’ ให้มันชงชานั้นพอดื่มได้อยู่บ้าง แต่ฝีมือการทำอาหารของมันกลืนไม่ลงจริงๆ แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจพูดทำลายน้ำใจของมันได้ ก็เห็นสีหน้าของมันตอนที่รอดูเขากินแล้วรอคำชมซิ จะติว่า ‘กลืนไม่ลง’ ออกมาก็กระไรอยู่

“เจ้าไปต่อเครื่องเรือนให้นางเถอะ” เขาบอกมัน แล้วมองถังหูลู่ สั่งว่า “เจ้าก็ไปช่วยเจ้าตัวตะกละด้วย”

“ขอรับนายท่าน” ถังหูลู่รับคำสั่ง

เถากลืนจิตจึงเดินออกไป

ถังหูลู่เดินตามไป

จางอี้ปินมองหนึ่งเถา หนึ่งเสือ แล้วหันไปมองรอบๆ เรือนของศิษย์คนเดียวของเขา ในเรือนยังขาดเครื่องเรือนอีกมาก แต่เดี๋ยวเจ้าตัวตะกละก็ค่อยๆ ต่อให้เอง ส่วนข้าวของอย่างอื่นก็ค่อยๆ ซื้อหาทีหลังได้ เขามองๆ แล้วเดินออกไปนั่งรอที่ศาลา

จ้าวเป่าฉินถูกหามไปจนถึงห้องครัว ระหว่างทางที่ไปห้องครัวเธอก็ต้องบอกทางเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิงไปตลอดทาง เพราะหุ่นเชิดทั้งสองคนนี้ก็ไม่รู้ทางเช่นกัน เมื่อไปถึงห้องครัวเธอก็มองๆ วัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหาร แล้วชี้มือสั่งเยี่ยนหลิงให้จุดเตาไฟ

ซึ่งเยี่ยนหลิงทำไม่เป็น จ้าวเป่าฉินจึงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างทีละขั้นตอนอย่างละเอียด

เยี่ยนหลิงมองดูแล้วก็จดจำเอาไว้

เมื่อจุดเตาไฟแล้ว จ้าวเป่าฉินก็สั่งให้เยี่ยนหรงหุงข้าว ซึ่งเยี่ยนหรงก็ทำไม่เป็นอีก ดังนั้นจ้าวเป่าฉินจึงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างอีกแล้ว ภายในครัวจึงค่อนข้างวุ่นวาย จ้าวเป่าฉินคอยสั่งนั่น นู่น นี่ อย่างละเอียดทีละขั้นตอน

ก็นะ หุ่นเชิดทั้งสองคนนี้ไม่ฉลาดนี่นา จึงต้องค่อยๆ สอนเอาทีละอย่าง…ทีละอย่าง ดังนั้นกว่าจะหุงข้าว ทำกับข้าวเสร็จจึงเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว

เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เถากลืนจิตก็พุ่งพรวดมาที่หน้าต่าง “หอมมาก”

“กับข้าวเสร็จแล้ว ก็ยกมาที่ศาลานี่เจ้าตัวตะกละ” เสียงจางอี้ปินลอยแว่วมา

เถากลืนจิตจึงรีบสำรวมกริยาขึ้นมาทันทีทันใด มันยื่นเถาไปยกจานอาหารหลายจานแล้วเดินไปที่ศาลาทันที

“พวกเจ้าหามฉันไปที่ศาลาเถอะ” จ้าวเป่าฉินสั่งเยี่ยนหรง เยี่ยนหลิง

“เจ้าค่ะ” ทั้งสองรับคำสั่งแล้วช่วยกันหามจ้าวเป่าฉินออกจากห้องครัว

จ้าวเป่าฉินจึงบอกทางไปศาลากับทั้งสอง ทั้งสองก็หามไปตามทางที่บอก

เมื่อไปถึงศาลา จ้าวเป่าฉินก็นั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม นั่งตรงข้ามกับอาจารย์เหมือนเช่นเดิม

“หูลู่” จางอี้ปินส่งเสียงเรียกออกไป

ถังหูลู่ได้ยินเสียงเรียกจึงคำรามรับ “กรร—”

มันรีบวิ่งไปตามเสียงเรียกทันที

เมื่อไปถึงศาลามันก็เห็นนายท่านนั่งอยู่ สตรีอ้วนนั่งอยู่ เจ้าเถาตะกละก็อยู่ข้างๆ นายท่าน ส่วนหุ่นเชิดทั้งสองก็ยืนอยู่ข้างหลังสตรีอ้วน

“มากินข้าวด้วยกัน” จางอี้ปินสั่ง

ถังหูลู่จึงค่อยๆ เดินฝีเท้าเบายิ่งเข้าไปในศาลา แล้วนั่งลงกับพื้นอยู่ข้างๆ นายท่านอีกด้าน

จางอี้ปินเอากับข้าวจานหนึ่งโป๊ะใส่ชามข้าว แล้วใช้พลังทำให้ชามข้าวลอยไปวางตรงหน้าถังหูลู่

ถังหูลู่มองชามข้าวแล้วพูดว่า “ขอบคุณขอรับ”

“อืม” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา

เถากลืนจิตจึงตักข้าวอีกชามยกไปวางตรงหน้านายท่าน “นายท่านเจ้าขา”

“กินข้าวเถอะ” จางอี้ปินพูดแล้วยื่นตะเกียบไปคีบกับข้าว

จ้าวเป่าฉินจึงลงมือกินข้าวอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็เธอหิวจะแย่แล้ว แต่จะแอบกินก่อนคนอื่นก็ไม่ค่อยดีใช่ป่ะ อยู่ร่วมกันก็ต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันซิ

เถากลืนจิตเห็นนายท่านเริ่มกิน มันจึงลงมือกินทันทีอย่างไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ มันอยากกินจะตายแล้วตั้งแต่ตอนที่ได้กลิ่นอาหารหอมฉุยลอยออกไปจนถึงบริเวณที่มันกำลังทำงานอยู่

ถังหูลู่จึงก้มลงกินข้าวชามนั้น คำแรกที่มันได้กิน มันก็แทบอยากจะกระแทกชามให้ข้าวชามนั้นลอยขึ้นมาแล้วอ้าปากงับเข้าไปในคำเดียวทันที แต่มันไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะนายท่านไม่ชอบคนไร้มารยาท มันจึงต้องค่อยๆ กินอย่างเรียบร้อยยิ่ง

หลังจากกินเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป

จางอี้ปินเดินกลับเรือนไป

จ้าวเป่าฉินก็ให้หุ่นเชิดทั้งสองหามตัวเองกลับบ้าน อ่อ ต้องเรียกว่าเรือนซิ

ส่วนเถากลืนจิตกับถังหูลู่ก็กลับไปทำงานต่อ ทั้งสองช่วยกันต่อเครื่องเรือนให้จ้าวเป่าฉิน

วันคืนผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งขาของจ้าวเป่าฉินหายดีแล้ว เธอจึงเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยไม่ต้องให้หุ่นเชิดทั้งสองช่วยหามแล้ว

ทุกๆ วันเธอจะทำกับข้าวให้ทุกคนกิน

จางอี้ปินก็คอยออกไปจับสัตว์มาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารให้จ้าวเป่าฉิน เขาติดใจรสชาติอาหารของนางมาก เรียกว่าอร่อยยิ่งกว่าเหลาอาหารเลิศรสที่ขึ้นชื่อเสียอีก

จ้าวเป่าฉินก็สนิทกับเถากลืนจิตและถังหูลู่ดี แม้ว่าบางครั้งถังหูลู่จะถูกจ้าวเป่าฉินเรียกใช้งานอย่างหนัก มันก็ยอมนางทุกอย่างแล้ว ไม่เช่นนั้นนางอาจจะเอาเรื่องเอาราวเมื่อคราวนั้นก็ได้ มันยังไม่อยากอดกินถังหูลู่ฝีมือนางหรอกนะ ถังหูลู่ที่นางทำอร่อยยิ่งกว่าถังหูลู่ที่นายท่านซื้อมาให้มันกินมากนัก รสชาติเรียกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว ของแม่นางจ้าวเป็นฟ้า ส่วนของคนอื่นๆ ล้วนเป็นเหว

เมื่ออยู่กับนาง มันก็กลายเป็นแมวเชื่องๆ ตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งแล้ว ไม่มีท่าทีดุร้ายต่อนางอีกเลย

จางอี้ปินก็คอยสอนเรื่องต่างๆ ให้จ้าวเป่าฉินได้รับรู้

จ้าวเป่าฉินก็ตั้งอกตั้งใจฟังทุกคำพูดของอาจารย์เป็นอย่างดี รวมถึงการฝึกฝนสะสมพลังเทพให้เพิ่มพูน วันหนึ่งเธอจะได้กลายเป็นเทพเต็มตัวกับเขาเสียที

เวลาผ่านไป 2 ปี จ้าวเป่าฉินเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ กับอาจารย์จนรู้ซึ้งทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับหกภพแล้ว

คำเรียกขานชื่อก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นของเธอนานแล้วเช่นกัน

วันนี้มีเทพจากตำหนักเก้าชั้นฟ้ามาพบอาจารย์ จ้าวเป่าฉินจึงแอบชะเง้อมองอยู่ห่างๆ ข้างๆ เธอ เถากลืนจิตก็แอบอยู่ข้างๆ ชะเง้อมองอย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน เรียกได้ว่า ‘เรื่องของชาวบ้านคืองานของข้า’ ก็ได้ ซึ่งนิสัยข้อนี้ของเถากลืนจิตนั้นแก้ไม่หายเสียที มันชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องราวของผู้คนยิ่งนัก

เทพที่มาพบอาจารย์ รูปร่างหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาอยู่หรอก แต่ถ้าเทียบกับอาจารย์แล้วยังห่างชั้นกันมาก เธอไม่ได้ยกยออาจารย์ตัวเองนะ ก็เขาหล่อมากจริงๆ หล่อนิ่งๆ เหมือนมหาเทพตงหัวไม่มีผิด ทำให้เธอนึกสงสัยว่าตัวเองหลุดเข้ามาในนิยายเรื่อง Eternal Love(สามชาติสามภพป่าท้อสิบลี้)รึเปล่า?

เธอเห็นเทพคนนั้นยื่นเทียบเชิญให้อาจารย์ พูดคุยกันสองสามประโยคแล้วก็ขอตัวกลับไป

จางอี้ปินเหล่ตามองตรงที่จ้าวเป่าฉินแอบอยู่ เขาพูดน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า “ออกมา”

จ้าวเป่าฉินสะดุ้งทีหนึ่ง แล้วค่อยๆ ก้าวออกไปหาอาจารย์ เธอเรียกเสียงอ่อยอย่างกลัวถูกดุ “อาจารย์”

เถากลืนจิตสะดุ้งแล้วรีบเผ่นทันที

“เจ้าตัวตะกละ” จางอี้ปินเรียกมันน้ำเสียงราบเรียบ

เถากลืนจิตชะงักกึก! มันค่อยๆ หันไปยิ้มแหยๆ “นายท่าน”

หนึ่งคน หนึ่งเถา ค่อยๆ เดินไปหาจางอี้ปินอย่างเกรงๆ กลัวๆ

“ไร้มารยาทนัก” จางอี้ปินตำหนิน้ำเสียงราบเรียบหนึ่งประโยค เขายกชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง

จ้าวเป่าฉินกับเถากลืนจิตสะดุ้งเฮือก กลัวถูกทำโทษ

จางอี้ปินวางถ้วยชาลง “เจ้าตัวตะกละอยู่เฝ้าเรือนดีๆ ส่วนเป๋าเป้ยเจ้าไปตำหนักเก้าชั้นฟ้ากับข้า”

“เจ้าค่ะนายท่าน” เถากลืนจิตรับคำสั่งแล้วรีบเผ่นไปไวอย่างยิ่ง มันเผ่นก่อนที่นายท่านจะคิดลงโทษอะไรมัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version