ตอนที่ 30
เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ภายในตำหนักของเจินเจิน
“เจินเจินนนน” เสียงของเหล่าบรรดาสตรีทั้งหลายต่างพากันมารุมล้อมเจินเจินกันอย่างครึกครื้นออกจะคึกคักด้วยข่าวที่แพร่สะพัดออกไป ทำเอาตำหนักของเจินเจินนั้นช่างวุ่นวายโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“พวกเรามาให้กำลังใจเจ้านะ”
“เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆนะ”
“พวกเราอยู่ข้างเจ้านะ”
“เจินเจินนนนน”
เวลาผ่านไปหลายชั่วยามกว่าที่เหล่าอนุชายาและนางกำนัลประจำตำหนักของหลี่เซียเหยาจะพากันกลับไป
หลังจากพวกนางได้พากันมาให้กำลังใจเจินเจินกันอย่างสามัคคีเนืองแน่น เจินเจินจึงต้องใช้พลังงานในการต้อนรับขับสู้จนหมดสิ้นเรี่ยวแรงใดๆ
หญิงสาวจึงพาร่างอันแสนจะเหน็ดเหนื่อยกลับมายังห้องนอนเพื่อหวังจะได้นอนหลับให้ชื่นช่ำใจ
สองสามวันมานี่นางรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน กับหมอหลวงก็ยังมิได้ไปหา กับแผนการที่จะพาเหล่าสมุนไปจัดการถล่มเพื่อยึดครองแคว้นก็ยังกระทำการวางแผนไปไม่ถึงไหน
แล้วเมื่อไหร่จะได้มีอาณาจักรเป็นของตัวเองเสียที
เจินเจินครุ่นคิดอยู่ภายในใจขณะกำลังเดินทอดน่องเข้ามาภายในห้องนอนเพื่อเป้าหมายเดียวคือเตียงนอนนั่นเอง
พลันสายตาของเจินเจินก็สะดุดกับอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะไม่ไกลกันกับเตียงนอน มันมีลักษณะสีเหลืองสีส้มน่ากิน
อา…
ลูกพลับ!
หญิงสาวถึงกับรีบพุ่งตัวมาคว้าหมับก่อนจะนั่งกินลูกพลับอย่างกระตือรือร้น มิรู้ได้ว่าทำไมช่วงนี้นางถึงโปรดปรานลูกพลับหนักหนา
“ข้าเก็บมาให้เจ้า” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงใหญ่ดังขึ้นอย่างเรียกร้องความสนใจ เจินเจินของเขาสนใจลูกพลับมากกว่าเขาไปเสียได้
“ข้าแค่จะขอกินเจ้านี่ให้มีเรี่ยวแรงเสียก่อนเท่านั้น” เจินเจินเอ่ยแก้ตัวออกไปก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วโน้มตัวโผเข้าหาแผงอกกำยำที่แสนจะคุ้นเคย
หลี่เซียวเหยาเพียงกางแขนออกเพื่อรับร่างบางที่กำลังโถมกายเข้ามา พลางยิ้มกรุ้มกริ่มใส่หน้างามพร้อมด้วยก้มหน้ากดจูบหนักๆลงที่ริมฝีปากที่กำลังเคี้ยวลูกพลับจนเต็มปากนั่น
เจินเจินถึงกับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดี ขณะนั่งอยู่บนตักของหลี่เซียวเหยาบนเตียงนอน
หลี่เซียวเหยายังคงก้มหน้ากดจมูกใส่หญิงสาวในอ้อมกอดอย่างนึกเข่นเคี้ยวไปตามพวงแก้มเนียนนุ่มของนางอย่างหยอกเย้า พลางเอ่ยเสียงนุ่ม “เจ้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก แม้แต่เพศเดียวกัน”
“ข้ามักเป็นเช่นนี้” เจินเจินตอบรับขณะซุกซบคลอเคลียอยู่ตรงแผงอกอุ่นเปี่ยมเสน่ห์
หลี่เซียวเหยาก้มมองใบหน้างามที่กำลังอมยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อได้เจอหน้าของเขาจึงเอ่ยแกมกระเซ้า “เมื่อครู่ข้าเห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอิดโรย แต่ยามนี้สตรีนางนั้นพลันเปลี่ยนไปเมื่อได้เจอหน้าของข้า”
“ข้ามักเป็นเช่นนั้น” เจินเจินยังคงตอบรับคำเดิม
“อะไรของเจ้า” หลี่เซียวเหยาเริ่มขมวดคิ้ว “พูดคำอื่นไม่เป็นแล้วหรือไร”
“ข้าคิดถึงท่าน” หญิงสาวรีบตอบทันควัน
“เจ้า…” ชายหนุ่มถึงกับถลึงตามองสตรีในอ้อมกอด
นางช่างลื่นไหลไร้ที่ติ! คิดได้ดังนั้นจึงกดริมฝีปากประทับจูบหนักหน่วงใส่ริมฝีปากช่างเจรจานั่นทันที
ซักพักหลี่เซียวเหยาก็ถอนริมฝีปากออกมาเพียงนิดก่อนจะกดจูบเข้าไปใหม่
เขาจูบเจินเจินอย่างโหยหาเพลิดเพลินในเวลาเดียวกัน
จูบของชายหนุ่มยังคงประทับแนบแน่นอยู่ตรงริมฝีปากได้รูปของเจินเจิน
ซักพักเขาเพียงถอนริมฝีปากออกก่อนเพื่อให้นางได้หายใจ แล้วกดจูบเข้าไปใหม่
เขายังคงบรรจงจูบนางอยู่อย่างนั้น เนิ่นนาน นุ่มนวล
เจินเจินถึงกับหน้าแดงแก้มแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่เคย แต่ทำไมมันรู้สึกหน่วงๆ ความรู้สึกนี้มันช่างร้อนรุ่มดั่งไฟสุมทรวง หญิงสาวถึงกับใจเต้นระส่ำอยู่ภายในอ้อมกอดของชายหนุ่ม
หลี่เซียวเหยาถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของเจินเจินอย่างอ้อยอิ่ง
เขาเพียงก้มมองร่างนุ่มนิ่มในอ้อมแขน เห็นใบหน้างามของนางเห่อแดง ดวงตาของนางหวานเชื่อมหยาดเยิ้ม พลันเกิดใจสั่นกระตุก ไม่ใช่ว่าไม่เคย เพียงแต่ว่ามันยังอยู่ในช่วงห้ามใจ เขาต้องห้ามใจเอาไว้เพื่อลูกของเขาที่อยู่ในครรภ์ของนาง
อา…
ช่างทรมาน
ทรมานยิ่งนัก…
คิดได้ดังนั้นก็ก้มหน้าจูบเจินเจินต่อ
จูบแล้วจูบอีกอยู่อย่างนั้น
เจินเจินยังคงหลับตาพริ้มตอบรับจูบของเขาอยู่เพลิดเพลิน พลางเบียดกายซุกซบคลอเคลียหาความอบอุ่นจากร่างบึกบึนช่วงอกแข็งแกร่ง มือเรียวงามของนางยังคงจับขยุ้มอยู่กับสาบเสื้อตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยา
ยามนี้นางอยากอยู่อย่างนี้ไม่อยากขยับไปไหนเอาเสียเลย
“เจ้า…” หลี่เซียวเหยาขยับริมฝีปากแม้แนบชิดอยู่เพื่อเอ่ยขึ้นเบาๆขณะก้มหน้าแนบสนิทกับใบหน้างามที่ตอนนี้เริ่มแสดงออกถึงความต้องการไม่ต่างจากเขา
“เจ้าควรพักผ่อน เจินเจิน…” เขาเอ่ยออกมาอย่างสุดจะกลั้นด้วยลมหายใจร้อนกรุ่น
เขากำลังอยากทำมากกว่าจูบ
อยากทำมากกว่าลูบคลำ
อยากทำมากกว่าเบียดเสียด
อยากทำมากกว่าคลอเคลีย
อยาก…
อยากเหลือเกิน…
“ท่านต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจินเจินเอ่ยออกไปแม้ภายในใจจะรู้ดีถึงแผนการของหลี่เซียวเหยา
แต่มันก็ยังอดที่จะนึกขัดเคืองใจมิได้
อยากทำแล้วทำไมไม่ทำเล่า??? นางคิด
“ทั้งหมดนี้ ข้าทำเพื่อเรา…” ชายหนุ่มตอบเสียงนุ่มใส่หน้าสตรีในอ้อมกอด เขาต้องทะนุถนอมนางให้มากที่สุดรอจนกว่านางจะคลอดลูกออกมาแข็งแรงเป็นอย่างดี
“อืม…ข้าเชื่อใจท่าน” หญิงสาวกล่าวอย่างอกเอาใจ
ยามนี้นางรับรู้ได้ว่าหลี่เซียวเหยากำลังเล่นตามน้ำระหว่างมารดาของเขากับสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นนั่น
สืบเนื่องจากว่า สตรีนางนั้นค่อนข้างจะมีอิทธิพลกับแคว้นหลี่และแคว้นต้าหลี่ การจะกระทำสิ่งอันใดต้องคิดการให้รอบคอบ มิเช่นนั้นอาจเกิดศึกภายในราชวงศ์ขึ้น
ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี นางเป็นใคร นางเป็นเจินเจินนะ นางสวยและฉลาดอย่าบอกใคร เจินเจินคิดในใจอย่างหลงตัวเองไม่เปลี่ยนแปลง
ชายหนุ่มหญิงสาวยังคงโอบกอดคลอเคลียนัวเนียพลางห้ามใจของตนอยู่อย่างยากลำบาก ด้วยภายในใจของพวกเข้านั้นกำลังเข้าใจกันไป คนละอย่าง คนละทิศคนละทาง อย่างสิ้นเชิง
“ข้าต้องกลับไปแล้ว… เจ้าควรพักผ่อนเสีย เจินเจิน…” หลี่เซียวเหยาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าลมหายใจติดขัด ขณะยังคงประคองกอดร่างนุ่มนิ่มไว้อย่างแนบแน่น
เขาเริ่มจะประคองอารมณ์ของตนเองเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ถ้ายังอยู่กับเจินเจินนานกว่านื้ เขาคงได้จับนางกดและเผด็จศึกนางทั้งคืนเป็นแน่
“อืม…ข้ารู้แล้ว…” เจินเจินกัดเม้มริมฝีปากของตนเองเอาไว้แน่นอย่างเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่าน หลี่เซียวเหยาของนางช่างเป็นบุรุษที่มีความรับผิดชอบในแผนการเป็นอย่างยิ่ง
นางต้องให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดีให้ถึงที่สุด นางย่อมเป็นเช่นนี้ นางทั้งสวยและก็ฉลาดเสียจริง
“ข้าไปล่ะ…” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเบาๆ ขณะค่อยๆปล่อยมือของตนออกจากมือเรียวงามของเจินเจินอยู่ตรงประตูห้องนอน
“อืม…” เจินเจินเอ่ยเสียงเบาไม่ต่างกัน นางกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อ่อนไหวขั้นรุนแรง
สองหนุ่มสาวค่อยๆปล่อยมือออกจากกันอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้าพลางทอดสายตามองกันละกันอย่างอาลัยอาวรณ์ปานจะขาดใจ
เจินเจินยังคงยืนเกาะบานประตูเอาไว้แน่นเพื่อมองตามแผ่นหลังของหลี่เซียวเหยาที่กำลังเดินจากไปจนลับสายตา
หญิงสาวถึงกับร่ำไห้ออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
จะร้องไห้อะไรกันนักกันหนา นางยังคงแปลกใจ
ณ มุมมืดมุมหนึ่งภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยา…
“จริงรึ?” เสียงหวานปานน้ำผึ้งของหลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างสาแก่ใจ
“ดียิ่งช่างดียิ่ง!” นางกำลังสะใจกับข่าวคราวที่ได้รับจากนางกำนัลคนหนึ่ง
“องค์ชายสี่กับสตรีของพระองค์มิได้นำพาต่อกันแล้วจริงๆนะเจ้าคะ ทั้งสองคนผละออกจากกันอย่างน่าเวทนาปานจะขาดใจ ข้าน้อยเห็นมากับตา องค์ชายสี่เดินออกมาจากห้องของแม่นางเจินเจินโดยไม่หันหลังกลับไปมอง ส่วนแม่นางเจินเจินก็
ยืนเกาะประตูร่ำไห้อย่างอาลัยอาวรณ์ปริ่มๆคล้ายกับใจจะขาด ช่างเป็นภาพที่น่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” นางกำนัลที่ยามนี้มีตำแหน่งพ่วงขึ้นมาคือตำแหน่งสายลับจับข่าวมาขายให้ หลิงอวิ๋นกำลังเอ่ยรายงานรัวเร็วไม่มีตกหล่น
“หึ! สมใจข้ายิ่งนัก” หลิงอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางยื่นถุงเงินให้นางกำนัลนางนี้
“เจ้าทำได้ดี นี่รางวัลของเจ้า คอยจับตาดูสองคนนั่นเอาไว้ให้ แล้วนำข่าวมาบอกแจ้งแก่ข้า ห้ามมีตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ ไปได้แล้ว” จบคำก็เดินกรีดกรายจากไปอย่างสวยงาม
อา… การจับแยกคู่รักออกจากกันเป็นอะไรที่รื่นเริงบันเทิงใจยิ่ง
หลิงอวิ๋นคิดในใจอย่างปลื้มปริ่มรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น
หึ! เมื่อองค์ชายสี่แยกกับสตรีนางนั้นแล้วมันก็มิใช่เรื่องยากที่นางจะทำให้เขาโปรดปรานนาง ความสวยงามรึ นางมีมากมายเสียจนมิรู้ได้ว่ามีส่วนใดด่างพร้อย เรื่องบนเตียงรึ นางก็มิได้น้อยหน้าใครอย่างแน่นอน…
อา…
มีความสุข…
มีความสุขเสียจริงเชียว
หลิงอวิ๋นเดินทอดน่องจากไปอย่างกรุ้มกริ่มตัวลอย ปล่อยให้นางกำนัลยืนก้มหน้าน้อยๆยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงมุมมืดมุมเดิม
“เจ้าทำได้ดี” ซักพักเสียงทุ้มต่ำของบุรุษผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเนิบนาบจากทางด้านหลังของนางกำนัลนางนี้
“เพคะองค์ชาย” นางกำนัลที่รู้ตัวได้ว่า มิได้ยืนอยู่คนเดียวอีกต่อไปจึงรีบหันหน้าไปหาทางต้นเสียงพร้อมทั้งทำความเคารพบุรุษผู้สูงศักดิ์ในทันที
หลี่เซียวเหยายังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “เจ้าจงบอกกล่าวแก่นางในทำนองอย่างนี้ให้ได้มากที่สุด ให้นางได้ตายใจไปเรื่อยๆ” จบคำชายหนุ่มเพียงยกถุงเงินถุงหนึ่งให้นางกำนัลรับเอาไว้ก่อนเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
นางกำนัลคนเดินรับถุงเงินเอาไว้ด้วยรอยยิ้มมุมปากที่กว้างขึ้น ด้วยเพราะถุงเงินถุงที่สองนี้หนักกว่าถุงแรกอยู่มากมายนัก หนักเสียจนนางต้องย่อเข่าเลยทีเดียว
นางกำนัลคนเดิมยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่คิดจะเดินออกจากมุมมืดมุมเดิมนี้แต่อย่างใด
ซักพักก็มีเงาของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นที่ทางด้านข้างของนางกำนัลพร้อมกับเสียงแว่วหวานเปี่ยมเสน่ห์ดังขึ้น “จับตาดูพวกเขาเอาไว้ให้ดี”
“เจ้าค่ะแม่นาง” นางกำนัลรีบตอบคำอย่างภักดี
“ถ้าหากองค์ชายทรงพลั้งเผลอให้กับสตรีนางนั้นเมื่อไหร่ เจ้ารีบเข้าไปขัดจังหวะเลยนะ ขัดแบบไม่ให้พวกเขาได้ไปต่อ เอาแบบค้างกลางอากาศชนิดปางตายไปเลย เข้าใจหรือไม่” เจินเจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานฉ่ำพลางยิ้มแย้มอย่างจริงใจ
“แน่นอนเจ้าค่ะ แม่นาง เชื่อมือข้าน้อยได้เลย” นางกำนัลคนเดิมยิ้มแย้มตอบรับกลับไปด้วยใบหน้ากลมแป้นดวงตาหยีหรี่จนเป็นเส้นตรง
“ดียิ่ง” เจินเจินแย้มยิ้มส่งท้ายก่อนเดินจากไปนิ่งๆด้วยมาดอ่อนหวานแต่ทรงพลัง
นางกำนัลยังคงก้มหน้าน้อยๆยกยิ้มมุมปากเกือบฉีกถึงใบหู
นางยิ้มจนมิรู้ได้ว่าจะหุบยิ้มลงได้อย่างไร
ด้วยเพราะแม่นางเจินเจินของนางนั้น ให้ทั้งบ้าน ให้ทั้งรถม้า พร้อมให้นางได้ออกไปเสวยสุขได้ตลอดเวลา
อา…แม่นางเจินเจินของข้า…
แม่นางฟ้านางสวรรค์ของบ่าว…