ตอนที่ 33
อาณาจักรของสองเรา
ภายในพระราชวังของอาณาจักรแห่งนี้ยังคงมีเหล่าสมุนรูปร่างล่าสันกำยำใหญ่โตเดินกันขวักไขว่ไปมาอย่างเนืองแน่น
เนื่องจากว่าทุกคนยังคงตามติดหัวหน้าใหญ่อย่างหลี่เซียวเหยาและหัวหน้าเจินเจินของพวกเขาอยู่อย่างภักดีไม่สร่างซา
ตามด้วยเหล่าอนุชายาที่ยังคงคอยติดตามหลี่เซียวเหยาและเจินเจินอยู่อย่างหน้าชื่นตาบานไม่เปลี่ยนแปลง
ภายในลานกว้างสำหรับฝึกยุทธของราชวังของแคว้น…
“ข้านึกชมชอบอนุชายาของหัวหน้าใหญ่อยู่นางหนึ่ง”
เสียงทุ้มใหญ่ของสมุนนายหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างทุกข์ใจกับสหายสมุนด้วยกันอยู่ตรงโต๊ะกลางสวนภายในพระราชวัง
“ข้าชอบนางจริงๆ” เขายังคงเอ่ยต่ออย่างอารมณ์พลุ่งพล่านเกินเก็บข่ม จนสหายที่นั่งอยู่ด้วยกันต้องคอยปลอบใจถึงความเป็นไปที่ช่างยากเย็นอย่างเห็นได้ชัดเจน
และภาพนั้นก็หาได้รอดพ้นสายตาของคมกริบของหลี่เซียวเหยาไม่
ภายในศาลากลางสวนสวยอีกทางหนึ่งของอุทยาน…
“ข้าช่างเหงาใจยิ่งนัก” เสียงอ่อนหวานของอนุชายาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เมื่อนึกภาพของเจินเจินกับหลี่เซียวเหยารักใคร่กลมเกลียวกัน นางกำลังอยากมีความรู้สึกระหว่างคนรักกระทำต่อกันอย่างนั้นบ้าง
“ข้าเองก็เช่นเดียวกัน” เสียงหวานใสของอนุชายาอีกคนเอ่ยตาม พลางถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงคล้ายนัดหมาย
ซักพักก็มีเหล่าบุรุษรูปร่างกำยำเดินผ่านไปตามทางเดินเขาเข้ามาตามคำสั่งของเจินเจินเพื่อเข้ามารับการมอบหมายงานจากเจินเจิน
อนุชายาอีกคนบังเอิญหันไปเห็นบุรุษผู้นั้น ซึ่งแม้จะเป็นระยะทางที่ไกลกันมากแต่ก็สามารถทำให้นางถึงกับหน้าแดงเกินเก็บข่ม ด้วยเพราะบุรุษผู้นั้นนางแอบพึงใจปักใจอยู่อย่างเงียบเชียบ
และภาพนั้นก็หาได้รอดพ้นจากสายตาของเจินเจินไม่
“เจ้ากำลังมีความรัก” เสียงแว่วหวานของเจินเจินดังขึ้นอยู่ตรงทางเดินไม่ไกลจากศาลา
“อ่ะ… หม่อมฉัน เอ่อ…หม่อมฉัน” อนุชายาคนเดิมยิ่งเพิ่มระดับความหน้าแดงเกินยับยั้ง
ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาตามความรู้สึกอย่างไม่คิดจะปิดบัง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาพวกนางมักจะพูดคุยกันอย่างเปิดอกกันอยู่เสมอเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่แคว้นต้าหลี่ “หม่อมฉัน…พึงใจบุรุษท่านนั้น เพคะ”
“แล้วเจ้าเล่า” เจินเจินหันหน้าไปถามอนุชายาอีกคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเนื่องจากได้ยินประโยคที่ทั้งสองคุยกันก่อนหน้านี้
“เอ่อ…หม่อมฉัน” อนุชายาอีกคนเอ่ยตอบไม่เป็นคำแต่สีหน้าของนางกลับบ่งบอกแก่เจินเจินได้อย่างชัดเจน
“พวกเจ้ารู้อะไรหรือไม่” เจินเจินรีบเอ่ยออกมาด้วยประโยคที่ทำให้สองอนุชายาในศาลาและอนุชายาอีกสองสามคนจากมุมไหนก็มิทราบได้โผล่ออกมาอย่างร่วมยินดีรับฟัง
“บุรุษคนนั้นเป็นแม่ทัพ และบุรุษคนนั้นเป็นรองแม่ทัพ ส่วนบุรุษอีกด้านหนึ่งเป็น…เป็น…เฮ่อ! เอาเถอะ บุรุษแต่ละคนของข้าฐานะล้วนไม่ธรรมดา ฝีมือยิ่งไม่ธรรมดา แต่…”
เจินเจินเว้นวรรคเพียงนิดแต่กลับทำให้เหล่าสนมหูผึ่งทั้งยังมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นโดยไม่ทันได้สังเกต
“พวกเราในฐานะสตรีที่มีจำนวนน้อยกว่าเหล่าบุรุษในขณะนี้” เจินเจินเอ่ยออกมาอย่างเรียบเรียงคาพูดให้คนฟังเข้าใจได้ง่ายเพราะว่าอาณาจักร์แห่งนี้ของนางกับหลี่เซียวเหยานั้นมีสมุนอยู่มากมายนับไม่ถ้วนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุรุษ
“เช่นนั้นแล้ว สตรีเช่นพวกเจ้า ย่อมมีสิทธิ์เลือก”
“หือ!” เหล่าอนุชายาพากันอุทานพร้อมกระวีกระวาดเข้ามาใกล้เจินเจินอีกนิด
“มิใช่ว่าจะต้องเป็นบุรุษที่มีสิทธิ์เลือกบุปผาเพียงฝ่ายเดียว เหล่าสตรีอย่างพวกเราก็มีสิทธิ์ชี้นิ้วคัดเลือกบุรุษเช่นเดียวกัน” เจินเจินกล่าวปิดท้ายสรุปอย่างสวยงาม
“อา….” และเสียงอื้ออึงของเหล่าอนุชายาก็ดังกระหึ่มอย่างตื่นเต้นและเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
ในเวลาต่อมา…
“กระหม่อมต้องทำอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ” เสียงสมุนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างต้องการคำปรึกษาจากหลี่เซียวเหยาเมื่อมีประกาศจากเจ้าของอาณาจักรอย่างหลี่เซียวเหยาและเจินเจินว่าให้บรรดาบุรุษแสดงออกถึงความสามารถเพื่อให้ต้องตาต้องใจเหล่าสตรีภายในพระราชวัง
หลี่เซียวเหยาที่บังเอิญได้ยินเหล่าสมุนปรับทุกข์ใส่กันจึงมีความเห็นที่ไปในทิศทางเดียวกันกับเจินเจิน ซึ่งต่อให้เขาไม่เห็นด้วย เจินเจินก็เอาชนะเขาได้อยู่ดี
“เจ้าก็ต้องคอยติดตามเพื่อที่จะได้คอยดูแลเอาใจใส่ หาโอกาสเพื่อที่จะได้เสวนากับนางคนที่เจ้าพึงใจ” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นเพื่อชี้นำ
ถึงแม้ว่าตัวเขามิเคยต้องเกี้ยวพาราสีนางใด หนำซ้ำเจินเจินยังเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเมื่อแรกเริ่มพบเจอกัน
แต่ทว่าหลังจากนั้นล้วนเป็นเขาที่ต้องคอยตามติดนางเพื่อดูแลเอาใจใส่ไม่ห่างกาย
“แล้วถ้าหากนางปฏิเสธกระหม่อมเล่า” เสียงสมุนอีกคนเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง
“เจ้าก็ต้องทำใจ” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นอย่างมิรู้ได้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใด
“ถ้าหากว่านางพึงใจคนอื่น เจ้าก็ไม่ควรทำตัวเป็นปัญหาให้นาง เข้าใจหรือไม่”
ในเวลาต่อมา…
ภาพภายในอาณาจักรของหลี่เซียวเหยาและเจินเจินแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยภาพของกิจกรรมต่างๆที่บรรดาบุรุษเพียรพยายามทำเพื่อที่จะเอาชนะใจเหล่าสตรี
โดยที่เหล่าสตรีเพียงนั่งรอชมเพื่อเป็นฝ่ายเลือกเฟ้นบุรุษที่นางพึงใจ
ช่างเป็นภาพที่สร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้แก่บรรดาสตรีเพศผู้อ่อนแอจิตใจเปราะบางยิ่งนัก
อา…
ชีวิตน้อยๆของเหล่าสตรีภายในอาณาจักรแห่งนี้
ช่างเต็มไปด้วยความสุขกายสบายใจเหลือจะกล่าวเสียนี่กระไร
หลายปีต่อมา…
ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาภายนอกอาณาเขตของราชวังของหลี่เซียวเหยา…
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังใช้มุมสูงจากเชิงเขาตรงนี้ยืนสำรวจอาณาจักรของตนไปโดยรอบทิศทางอย่างถ้วนทั่ว
เขาเพียงยืนนิ่งๆด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์อย่างงามสง่าไม่สร่างซา สายตาคมเข้มกำลังทอดมองออกไปยังเบื้องหน้าจนสุดสายตา เขามีนามว่าหลี่เซียวเหยา
อีกมุมหนึ่งซึ่งไม่ไกลกันกับมุมที่ชายหนุ่มยืนอยู่นั้น ได้ปรากฏร่างงามระหงของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเดินหมุนตัวไปหมุนตัวมา ล้อเล่นอยู่กับหมู่ภมรอย่างอารมณ์ดี
นางมีนามว่า เจินเจิน
เพียงครู่สายตาของหญิงสาวพลันสะดุดเข้ากับชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
อา…
บุรุษผู้นี้ช่าง….
หญิงสาวไม่รอช้า นางรีบกระโดดเข้าไปหายังทิศทางที่ชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นในทันที
“ท่าน” เสียงแว่วหวานของนางเอ่ยทักออกไปพร้อมกับวงแขนเรียวสวยอ้าออกเพื่อหมายจะเข้าไปโอบกอดชายหนุ่มผู้นั้น
อ๊ะ!
เดี๋ยวนะ!
ทำไมบรรยากาศและภาพยามนี้มันคุ้นๆ
บุรุษหนุ่มรูปงามยืนนิ่งๆอยู่ใต้ต้นไม้…
อา…
เจินเจินถึงกับชะงักกึกเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้าที่แสนจะคุ้นตา
คลับคล้ายคลับคลำว่าเคยเกิดภาพเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน
หลี่เซียวเหยาเมื่อมองเห็นแล้วว่าเจินเจินเดินหมุนตัวไปมาก่อนทำท่าจะกระโจนเข้าหา
เขาจึงยืนรอให้นางกระโดดเข้ามา แต่นางกลับหยุดชะงักเสียกลางคัน เขาถึงกับงุนงง
ชายหนุ่มเพียงยืนมองหญิงสาวที่กำลังทำท่าทางฉงนกับอะไรบางอย่างด้วยท่าทางน่าเอ็นดูจึงเป็นฝ่ายยกวงแขนของตนขึ้นแล้วอ้าออกเพื่อเป็นสัญญาณตอบรับการจู่โจมของนาง
เจินเจินถึงกับตกตะลึงตาโตกับภาพตรงหน้า
บุรุษรูปงามใต้ต้นไม้ใหญ่หันหน้ามามองนางพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์และวงแขนพร้อมโอบกอด
หญิงสาวถึงกับหน้าร้อนผ่าวเห่อแดงฉับพลันด้วยภาพที่ปรากฏอยู่ตรงด้านหน้านั้นช่างคล้ายคลึงกับความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว
ในกาลนั้น
บุรุษผู้นี้
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้วยมาดนิ่งๆสีหน้าเย็นชาพร้อมด้วยสายตาดำดิ่งลึกลับไร้ก้นบึ้ง ทำหน้าถมึงทึงพร้อมฟาดฟันนาง แต่ยามนี้…
รอยยิ้มนั้น
วงแขนนั้น
อา…
น้ำตาจะไหล
เจินเจินถึงกับเม้มริมฝีปากของตนเอาไว้แน่นพลางกระโดดจนตัวลอยเข้าไปหาอ้อมกอดของหลี่เซียวเหยา
หลี่เซียวเหยารีบโผรับการเข้าหาของเจินเจินก่อนจะก้มหน้าลงจูบหนักๆที่ริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่
เจินเจินถึงกับหน้าแดงเห่อร้อนแก้มพองตาโต
“อะไรของเจ้า” หลี่เซียวเหยาเห็นเจินเจินทำท่าทางอย่างนั้นจึงเอ่ยถามออกมาแกมกระเซ้า นางยังคงเป็นเจินเจินของเขาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่
หญิงสาวมิได้เอ่ยคาใด นางเพียงซุกหน้าซบเข้ากับแผงอกอุ่นอย่างคลอเคลียอยู่อย่างนั้น
อา…
ดีจริง
ช่างดีจริงๆ
เจินเจินคิดในใจพลางกอดรัดหลี่เซียวเหยาเอาไว้อย่างแนบแน่น
หลี่เซียวเหยาเพียงก้มมองเจินเจินที่ยังคงซุกซบอย่างแนบแน่นไม่ออกห่าง เขาจึงประคองกอดนางเอาไว้ให้แนบอกอุ่นอยู่อย่างนั้น
“ข้ารักเจ้า…” เขากระซิบออกมาเพียงเบาๆ
และประโยคนั้นก็ทำใครบางคนถึงกับเพิ่มแรงกอดรัดในทันที
“ข้ารักเจ้า” เขายังคงเอ่ย “ข้ารักเจ้า…เจินเจิน”
เจินเจินจึงเพิ่มแรงกอด
“ข้ารักเจ้า…”
อา…
บุรุษผู้นี้…
จับกินตรงนี้เสียเลยเป็นไร
ร่างงามเร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มพลันตกอยู่ใต้ร่างของนางในทันที
ตรงเนินสูงของเชิงหุบเขา…
ภายใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งเดิมซึ่งมีภาพของชายหนุ่มยืนอยู่อย่างสง่างามเมื่อครู่นั้น พลันหายไปเมื่อมีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา
สตรีนางนั้นกำลังกระทำการบางอย่างกับชายหนุ่มรูปงามผู้นั้น
อยู่ตรงหลังพุ่มไม้นั่นแล…