ตอนที่ 5
อดีตที่ควรลืม
“ยอมแล้ว ยอมแล้ว” เสียงหวานที่กำลังหวีดแหลมของเจินเจินร้องขึ้นอย่างโหยหวนเพื่อห้ามปรามบุรุษรูปร่างสูงสง่าที่กำลังจับอุ้มร่างระหงของนางเพื่อหมายจะโยนทิ้งลงไปในบึงดอกบัวกลางสวนสวยของตำหนักหลี่เซียวเหยา
“จะล่วงเกินข้าอีกหรือไม่” หลี่เซียวเหยาคำรามเสียงกดต่ำขณะชูยกร่างบางของเจินเจินเพื่อหมายจะโยนนางทิ้งลงในสระน้ำแห่งนี้
“มันหนาวน๊า” เจินเจินอ้อนเสียงโอดครวญอยู่บนอ้อมแขนแข็งแกร่งของชายหนุ่ม
“ตอบ!” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำคำรามรอดไรฟันพร้อมทำท่าจะโยนร่างของหญิงสาว
“ไม่แล้ว ไม่แล้ว ปล่อยก่อน ปล่อยก่อน ค่อยๆคุยกัน” หญิงสาวรีบส่งเสียงหวานพร้อมรอยยิ้มอย่างมีจริตมารยาใส่เจ้าของวงแขนแข็งแรงที่พร้อมจะทุ่มนางลงไปในบึงสระบัว
“ถ้าเจ้ามิใช่คนของหงฮองเฮา ข้าคงสั่งประหารเจ้าไปแล้ว” หลี่เซียวเหยายังคงคำรามเสียงเครียดใส่หน้าสตรีในอ้อมแขน
“ถ้าท่านฆ่าข้า… ลูกน้องของข้า…ย่อมตามมาเผาตำหนักของท่านน๊า” เจินเจินยังคงเถียงออกไปแม้น้ำเสียงจะติดโอดครวญพลางส่งสายตามองหาลูกน้องของตน
มันหายหัวไปไหนกันหมด! หึ!
“เช่นนั้นจงลงไปเล่นน้ำในสระบัวเสีย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมทำท่าจะโยนอีกครั้ง
“ไม่เผา เพคะ ไม่เผา” หญิงสาวร้องเสียงหลงพลางโอบกอดกระชับรอบลำคอหนาของชายหนุ่มเอาไว้อย่างแนบแน่น
“ลงไป” เขาทำท่าโยนลงสระ
“ไม่…นะ…” นางกระชับกอดแน่น
ทั้งสองชายหญิงต่างยื้อยุดกันไปมาอยู่ริมขอบสระบัว ฝ่ายหนึ่งจับอุ้มร่างบางนุ่มนิ่มเอาไว้พร้อมทำท่าจะโยนออกไป อีกฝ่ายหนึ่งโอบเกี่ยวรอบลำคอรอบช่วงไหล่พัลวัน
“เหนื่อยแล้ว พักก่อน”
“แล้วคิดว่าข้าไม่เหนื่อยรึ”
“เอาน่า องค์ชาย…” เจินเจินลากเสียงยาว “ข้าก็แค่อยากให้ท่านได้ปลดปล่อยบ้าง”
ประโยคของเจินเจินทำหลี่เซียวเหยาต้องก้มหน้ามองนาง
หญิงสาวยังคงเอ่ยเย้า “เป็นอย่างไร โล่งหรือไม่”
“ไม่!”
“เฮ่อ! ท่านควรปล่อยวาง”
“มันมิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”
“ก็ข้าชอบท่าน”
“แต่ข้าไม่ชอบเจ้า”
“แล้วอย่างไร”
“เจ้า!” หลี่เซียวเหยาเอ่ยแค่นั้นพร้อมทำท่าจะโยนเจินเจินลงสระบัวจริงๆ
หญิงสาวรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ยอมแล้ว พอแล้ว ไม่ชอบก็ไม่ชอบ โธ่!”
ชายหนุ่มก้มมองหน้าของหญิงสาวที่ตนโอบอุ้มอยู่แนบอกเพียงนิด ก่อนจะวางร่างนั้นของนางลงบนพื้นดินอย่างแรง
นางบังอาจมาแกล้งเขา เขาแค่อยากเอาคืนบ้าง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามิเคยได้ทำอะไรอย่างนี้มานานแล้ว
ตั้งแต่เกิดเรื่องอัปยศครานั้น เขาที่เป็นถึงองค์ชายจึงรู้สึกได้ว่าถูกหยามเกียรติจนไม่อาจคิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่สู้หน้าผู้ใดได้อีก
เขาผู้ที่ไม่คิดจะมีอนุ
เขาผู้ที่รักปักใจเพียงชายาของตน
เหตุใดเขาจึงต้องเจอเรื่องอัปยศเยี่ยงนั้น
มันไม่ยุติธรรม
เขาจึงเก็บตัวเก็บตนกลบฝังตนเองมาโดยตลอด
กลบฝังตนเองจนมิด มิดเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
กลับถูกสตรีร้ายกาจตนนี้ขุดขึ้นมา
“นั่งก่อน ใจเย็นก่อน” เจินเจินที่ถูกโยนทิ้งลงพื้นแต่กลับกลิ้งตัวได้อย่างสวยงามเอ่ยขึ้นกับหลี่เซียวเหยา
ชายหนุ่มจึงหลุดจากภวังค์ของตนก่อนนั่งลงอย่างเสียมิได้ ด้วยเพราะเหน็ดเหนื่อยกับสตรีนางนี้มาครู่ใหญ่
ทั้งสองจึงอยู่ในลักษณะของการนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมสระบัว คล้ายสหายพากันนั่งชมทิวทัศน์กระนั้น
บรรายากาศโดยรอบกลับมาเป็นปกติ
แสงแดดทอประกาย สายลมพัดผ่าน ใบไม้ปลิวว่อน
ความเงียบสงบจึงเกิดขึ้น
แต่…
เพียงไม่นาน
“ข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟัง ดีหรือไม่” จู่ๆเจินเจินก็เอ่ยขึ้นเนิบๆ ซึ่งแม้ว่าจะไร้ปฏิกิริยาตอบรับหรือปฏิเสธอันใดจากบุรุษผู้หย่อนกายลงนั่งไม่ไกลกัน แต่หญิงสาวก็ยังคงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“มีสตรีนางหนึ่ง” หญิงสาวเริ่มเรื่องโดยไม่หันไปมองบุรุษผู้ที่นางเองก็ไม่แน่ใจว่าจะฟังหรือไม่ “นางถูกโจรป่าหลายคนช่วยกันรุมขืนใจอย่างไร้ทางต่อสู้”
ประโยคนั้นทำเอาหลี่เซียวเหยาที่ไม่คิดจะฟังกลับต้องชะงักฟังตาปริบๆ แต่ยังคงนั่งนิ่งๆหันหน้ามองออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับสตรีเจ้าของประโยค
เสียงเนิบนาบของเจินเจินยังคงเล่าต่อเนื่อง “หลังจากโจรป่าใจทรามพวกนั้นขืนใจสตรีนางนั้นจนครบทุกคนแล้วนั้น ต่อมาสตรีนางนั้นก็ถูกโจรป่าจับมาขายเป็นหญิงคณิกาให้หอนางโลมแห่งหนึ่ง และ…เพียงไม่นาน…ท้องของนางก็เริ่มบวมนูน…ถึงได้รู้ว่าตัวของนางนั้นได้ตั้งครรภ์เสียแล้ว”
หลี่เซียวเหยายิ่งชะงัก แม้จะยังมิได้หันไปทางเจินเจิน
“สตรีนางนั้น” เสียงทุ้มต่ำของเขาที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากผู้เล่าเรื่องราวเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เป็นเจ้า…” เขาถามเบาๆตามความคิดสันนิษฐาน
เจินเจินส่ายหน้าเบาๆก่อนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดังเดิม “ข้าเป็นบุตรสาวของสตรีนางนั้น”
คำตอบของหญิงสาวทำเอาชายหนุ่มแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเริ่มตั้งใจฟังน้ำเสียงหวานๆของนางที่ยังคงเล่าเรื่องราวต่อไป
“ข้าเกิดและเติบโตมาในหอนางโลมนั่น เมื่อข้าอายุได้ประมาณห้าขวบข้าได้แอบเห็นบรรดาบุรุษและสตรีทำกิจกรรมแปลกประหลาดบนเตียงนอนอยู่บ่อยครั้งและได้เห็นมาโดยตลอด จนรู้สึกชินชา…”
หญิงสาวทำท่าไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระขณะยังคงเอ่ยต่อ
“พอข้าอายุได้เพียงแปดขวบนั้น…ด้วยความสวยของข้าที่เริ่มปรากฏแก่สายตาก็มีชายแก่ผู้หนึ่งรู้สึกพิศวาสข้าขึ้นมา จึงขอซื้อข้าไปร่วมหลับนอน”
ประโยคนั้นของเจินเจิน ทำหลี่เซียวเหยาใจกระตุก
อีกแล้ว!
“และนั่น ก็เป็นครั้งแรก ที่ข้าได้ฆ่าคน” เจินเจินยังคงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงปกติคล้ายกับว่ามิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
“ข้าอาศัยจังหวะตอนที่ชายแก่ผู้นั้นกำลังก้มหน้าก้มตาถอดเสื้อผ้าของมัน ข้าเข้าจู่โจมโดยการจ้วงแทงมันตรงคอด้วยปิ่นปักผมไปหลายครั้งก่อนจะใช้มีดที่ท่านแม่แอบให้ไว้ก่อนเข้าห้องแทงซ้ำเข้าไปไม่ยั้ง”
หญิงสาวหรี่ตาแวววาวพลางเรื่องราวอย่างเอ่ยต่อเนื่อง
“ข้ายังคงจ้วงแทงมันแม้ว่ามันจะสิ้นใจตายไปแล้ว โลหิตสีแดงฉาดของมันกระจุยกระจายจนอาบไปทั่วร่างกายของข้า”
เจินเจินหยุดกระตุกยิ้มมุมปากเพียงนิดก่อนเอ่ยต่อเรื่อยๆดังเดิม “ท่านแม่มักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโจรป่าและพวกบุรุษที่ชอบเอาเปรียบท่านให้ข้าฟังอยู่เสมอ ท่านแม่มักจะยัดเยียดความแค้นทั้งหลายของท่านมาให้ข้า ข้าจึงทำอย่างนั้นได้ไม่ยากข้าจึงตัดสินใจฆ่าตาแก่นั่น…ได้ไม่ยาก”
“เจ้าฆ่าชายแก่ผู้นั้นแล้ว ไม่เป็นไรรึ ไม่ถูกจับรึ เจ้าแค่แปดขวบเท่านั้น” ชายหนุ่มที่เพียงนั่งฟังนิ่งๆเริ่มสนใจและไต่ถาม
“แน่นอนข้าถูกไล่จับกุม” เจินเจินตอบกลับก่อนหยุดเอ่ยเสียเฉยๆ
หญิงสาวเพียงเหม่อมองออกไปที่ดอกบัวที่อยู่กลางบึงนิ่งๆอยู่อึดใจ
“แล้ว…” หลี่เซียวเหยาเลิกคิ้วคมขึ้นถามแค่นั้น
“ท่านแม่…” หญิงสาวจึงเริ่มเล่าต่อ
“ท่านแม่ใช้ชีวิตของท่าน เพื่อช่วยข้า” หญิงสาวหลุบตาลงเพียงนิดพลางเอ่ยต่อเนินนาบ
“ท่านสละชีพของท่าน ท่านยอมถูกจับเพื่อให้ข้าได้หนีออกมา”
ความเงียบสงัดจึงก่อตัวและปกคลุมทั้งสองอีกอึดใจ
ผ่านไปซักพักเสียงแว่วหวานก็เอ่ยขึ้นอีกครา
“ข้าโชคดีที่เวลานั้นได้เจอกับหงเหม่ยหลงและหลิวฉวนหยู่ร์ที่ช่วงนั้นท่านประมุขหงซีกวนกำลังพาพวกนางออกท่องยุทธภพและมาเจอกับข้าที่ร่างกายเต็มไปด้วยโลหิตและบาดแผลซึ่งกำลังถูกรุมทำร้ายเพื่อหมายจับกุม ข้าจึงได้มีโอกาสติดตามพวกเขา”
“ข้าได้ฝึกวิชาต่างๆอยู่หลายปี ข้าตั้งใจฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะได้กลับมาที่หอนางโลมนั่นอีกครา” นางยังคงเล่าเรื่องราวอย่างต่อเนื่องด้วยท่วงท่าสบายอกสบายใจ เมื่อสังเกตเห็นแล้วว่าหลี่เซียวเหยาเริ่มสนใจฟังอย่างจริงจัง
“และเมื่อข้าโตขึ้นข้าก็กลับมาที่หอนางโลมอีกครั้ง ข้าได้ฝึกฆ่าคนโดยการฆ่าบุรุษที่มาซื้อบริการกับหญิงคณิกา และช่วงจังหวะที่บุรุษพวกนั้นกำลังมัวเมาอยู่บนเรือนร่างของอิสตรีช่างเป็นจังหวะที่ข้าปลิดชีพพวกมันได้อย่างน่าอัศจรรย์”
เจินเจินหยุดการเล่าเรื่องราวเพียงนิดพลางอมยิ้มแล้วหลุดหัวเราะคิก ก่อนเอียงหน้าไปถามชายหนุ่มที่นั่งฟังตาปริบๆ “ท่านว่าข้าโหดหรือไม่”
หลี่เซียวเหยาเพียงหรี่ตาคมเข้มมองสบสายตาของนางแล้วใช้ความเงียบแทนคำตอบ
เขาเพียงทอดสายตามองสตรีที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไกลกันนี้อย่างนึกระแวงขึ้นมาอยู่หลายส่วน
บุคลิกของนางที่ดูจะสนุกสนานขี้เล่นอยู่ตลอดเวลากลับมีมุมที่น่ากลัวถึงเพียงนี้
“ท่านรู้อะไรหรือไม่” เจินเจินยังคงกล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี “ไม่ว่าข้าจะฆ่าบุรุษที่ชอบเอาเปรียบสตรีไปมากมายกี่คน แต่มันก็ไม่หมด มันไม่มีวันหมด และยังคงมีมากเหมือนเช่นเคย ข้าจึงเปลี่ยนใจ หลอกล่อให้บุรุษมาอยู่ใต้อาณัติของข้าเสียเลย ท่านลองนึกภาพตามข้านะ” เจินเจินลุกขึ้นยืนพร้อมทำท่าทางประกอบ
“ข้าผู้ยืนอยู่เบื้องบน เอามือป้องปากหัวเราะ โฮะ โฮะ โฮะ อยู่แบบนี้ แล้วมีบุรุษมากมายอยู่เบื้องล่างของข้า” ว่าแล้วก็ทำท่าเอามือป้องปากหัวเราะ พร้อมปรายตามองเบื้องล่างตรงพื้นหญ้าอย่างอารมณ์ดี จนหลี่เซียวเหยาเห็นภาพชัดเจนประหนึ่งดังภาพวาดกระนั้น
“ในเมื่อบุรุษเอาเปรียบอิสตรีได้ ข้าย่อมทำได้เช่นกัน โฮะ โฮะ โฮะ” นางยังคงเอ่ยต่อพร้อมทำท่าเดิมประกอบ
แต่เมื่อเห็นแล้วว่าชายหนุ่มผู้ที่ถูกบังคับให้ฟังเรื่องราวไม่มีทีท่าจะหัวเราะตาม นางจึงกระแอมครั้งหนึ่งก่อนทรุดตัวลงนั่งท่าเดิม พลางถามเสียงเบา “ไม่ขันรึ?”
“เรื่องที่เจ้าเล่ามา มีส่วนใดน่าขัน” เขาตอบนิ่งๆ รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในอดีตของนาง
สตรีนางนี้ทำเขาได้เปิดหูเปิดตายิ่งแล้ว
“เฮ่อ! อดีตก็ส่วนอดีต ความเจ็บปวดเหล่านั้น ข้าเจ็บมามากพอแล้วในอดีต” หญิงสาวรับรู้ได้จากสายตาของชายหนุ่มที่มองมาจึงกล่าวขึ้นอย่างไม่ถือสาในอดีตของตนเอง
“แต่ถึงอย่างไร เรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับกามารมณ์ ย่อมเป็นสตรีที่เสียเปรียบ มิใช่บุรุษ” เขาเอ่ยขัดขึ้นเมื่อนึกถึงภาพที่สตรีนางนี้ชอบแอบกินเต้าหู้เขาอยู่ร่ำไป
“เห็นข้าเป็นอย่างนี้ ข้าก็เลือกปฏิบัติอยู่นะ” เจินเจินเอ่ยขึ้นอย่างรู้ความนัยของบุรุษผู้นี้
“อีกอย่าง” หญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะเว้นระยะอีกเพียงนิด
“ข้ามิชอบอยู่ใต้ร่างบุรุษ”
คำพูดตรงไปตรงมาของเจินเจินทำเอาหลี่เซียวเหยาถึงกับทำหน้าไม่ถูก
เจินเจินยังคงเอ่ยต่ออย่างไม่นึกละอายแต่อย่างใด “ถ้ามิใช่บุรุษที่มีความรักให้แก่ข้าแล้ว ข้าย่อมไม่ขึ้นเตียงด้วย แต่กับบุรุษที่ข้ารู้สึกชื่นชอบข้าก็ขอกินเต้าหู้บ้างก็เท่านั้น”
หญิงสาวกดเสียงให้เบาลงก่อนเอียงหน้าเหล่สายตามองมาทางหลี่เซียวเหยาพลางเอ่ยเย้า “ท่านเป็นผู้นั้น”
ชายหนุ่มเพียงหรี่ตามองตอบนิ่งๆมิได้เอ่ยคำใด
ช่างหน้าไม่อาย! เขาคิดในใจ
“แล้วท่านเล่า” หญิงสาวเปลี่ยนบริบทเอ่ยถามชายหนุ่มเสียอย่างนั้น “ท่านคงรักอดีตชายาของท่านอยู่อย่างมากมาย จนไม่อาจจะขึ้นเตียงเริงรื่นบนเรือนร่างของสตรีนางใดกระมัง”
ประโยคของนางยังคงตรงไปตรงมาอย่างไม่มีความละอายอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มนิ่งฟังพลางคิดในใจ ในอดีตครานั้น เมื่อยามที่เขาร่วมรักกับชายาของเขา สตรีนางนั้นคงกำลังนึกถึงหน้าของบุรุษอื่นอยู่
แค่นึกถึงตรงนี้
เขายิ่งนึกรังเกียจ
สตรีช่างน่ารังเกียจ
เจินเจินเห็นเขานิ่งเงียบไปไม่ยอมตอบคำถามใดๆ นางจึงคิดเอาเองว่าเขาคงยังรักปักใจอยู่กับอดีตชายาของเขาอยู่อย่างเหนียวแน่น
ซึ่งนางก็ไม่คิดจะแข่งขันกับผีกับสตรีที่ตายไปแล้วแต่อย่างใด
และถึงแม้ว่านางจะยังไม่มีโอกาสได้ประสบพบเจอกับบุรุษที่จะสามารถมอบความรักปักใจให้แก่นาง นางก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจอันใด
นางก็แค่มองหาไปเรื่อยๆ
อืม…
ตั้งแต่เกิดมานี่
เห็นจะมีบุรุษแค่ไม่กี่คนที่นางชื่นชมและชื่นชอบ
หงซีกวนท่านประมุขของสำนักหมื่นโลกันตร์ผู้มีพระคุณล้นเหลือ
หลี่ซื่อหมินฮ่องเต้แคว้นต้าหลี่พระสวามีของฮองเฮาหงเหม่ยหลงเจ้านายสายตรงของนาง
และก็หลี่เซียวเหยาผู้นี้ ผู้ที่มีรักปักใจกับอดีตภรรยาที่ตายไปกระมัง
อา…
นางคงมีความคาดหวังในตัวบุรุษสูงเกินไป
บุรุษแต่ละคนที่นางชมชอบช่างอยู่สูงเกินเอื้อม
ผิดกับสตรีเช่นนาง
ชาตินี้…
นางคงต้องอยู่ไปอย่างนี้เสียแล้ว….
เจินเจินคิดอย่างเข้าใจในชีวิตพร้อมปลดปลงและยอมจำนนอย่างอ่อนใจ