ตอนที่ 1029 ฉางเหอ
เดือนที่สองในหนึ่งปีของการเปิดโลกแท้จริงที่ห้า
เดือนนี้นอกทะเลลำดับห้าเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงเข่นฆ่าดังก้องไปทุกทิศ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทำให้ที่นี่กลายเป็นแดนแห่งภัยพิบัติ
หลังจากบรรพบุรุษหลงไห่เริ่มลงมือก็ไม่กลับมาอีกเลย บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็เช่นกัน มีสิ่งมีชีวิตเข้ามาเรื่อยๆ เข่นฆ่าเรื่อยๆ ส่วนจื่อหลงเจินเหรินก็ลงมืออย่าง ไม่ลังเล
ตอนนี้ เดือนสองเหลือเพียงสามวันสุดท้าย ทว่าการต่อสู้ที่นี่กลับดุเดือดถึงขีดสุด
คนที่จื่อหลงเจินเหรินประมือด้วยคือยักษ์สองหัว มันมีขั้นพลังแข็งแกร่งแทบจะสูสี กับเขา สองคนต่างใช้อภินิหารส่งเสียงดังสนั่น ฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยง
ข้างกายบรรพบุรุษหลงไห่ นอกจากชายร่างกำยำก่อนหน้านี้แล้วยังมีหญิงชราอีกคน สามคนประมือกันจึงเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ส่วนสัตว์ร้ายและกลุ่มคนจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอื่นๆ ถูกบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงต้านเอาไว้ คนเหล่านี้ไม่มียอดฝีมือ แต่ก็มีภัยพิบัติตะวันไม่น้อย ประกอบกับมีเกือบพันคน มีเพียงทะเลเพลิงของบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเท่านั้นถึงจะล้อมพวกเขาไม่ให้ออกมาได้
เวลาผ่านไป ไม่นานเดือนที่สองก็จบลง เมื่อเดินที่สามมาถึง สนามรบของที่นี่ถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง สาเหตุคือชาวเผ่ารวมธรรมที่มีตัวเป็นงูตรงเข้ามาจากฟ้ากระจ่างดาว พวกเขามีจำนวนหลายพัน ช่วงที่เข้ามา คนนำหน้าไม่ใช่ขั้นกุม แต่กลับห่างจากขั้นกุมเพียงครึ่งก้าว!
ชาวเผ่าคนอื่นก็ยังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ตอนที่เข้ามาใกล้ก็เกิดเสียงเข่นฆ่าดังสนั่น
หากเพียงแค่พวกเขาคงไม่เท่าไร ทว่าแทบเป็นขณะเดียวกับที่เผ่ารวมธรรมมาถึง กลางฟ้าก็มีสายรุ้งตรงเข้ามาอีกสองสาย นั่นคือ เต่าทมิฬยักษ์สองตัว
มันมีขนาดร้อยจั้ง บนหลังมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งอยู่บนหลัง ผิวหนังทั่วร่างชายคนนั้นเป็นสีเขียว แววตามาพร้อมประกายสีแดง มีไอหนาวแผ่มาจากในร่าง ส่วนหญิงคนนั้นก็งดงามไม่ธรรมดา อาภรณ์น้อยชิ้น ความน่าหลงใหลทางสีหน้าทำให้คนใจสั่นไหว
“ทะเลลำดับห้าคึกคักดีจริง” หญิงคนนั้นยิ้มงดงาม ก่อนตบเต่าทมิฬใต้ร่าง เต่าตัวนี้พลันพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
การมาของพวกเขาและเผ่ารวมธรรมที่มาจำนวนมาก ทำให้สงครามไม่อยู่ข้าง ซูหมิงเลย
บรรพบุรุษหลงไห่หน้าเปลี่ยนสี บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงหรี่ตาลง จื่อหลงเจินเหรินขมวดคิ้ว ถึงพวกเขาสามคนจะยังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด ทว่าตอนนี้ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดก็ยังไม่เห็นความหวัง
ถึงอย่างไรนี่เพิ่งจะเดือนที่สาม ยังเหลือเวลาอีกเก้าเดือนกว่า
ชั่วขณะที่พวกจื่อหลงสามคนเกิดความลังเล จูโหย่วไฉที่นั่งอยู่ข้างซูหมิงและยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งมาตลอดลืมตาขึ้น นัยน์ตาเรียบนิ่ง
เขายืนขึ้นอย่างช้าๆ ทันทีที่ยืนขึ้น ร่างกายอ้วนใหญ่พลันเผยพลังที่ไม่เข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบทันที ระหว่างที่พลังนี้วนโคจร จูโหย่วไฉหลับตาลง
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง เขาให้ความรู้สึกราวกับเป็นคนละคน ทั้งตัวราวกับทวน คมกริบพุ่งออก ความเฉียบคมสั่นสะเทือนฟ้าดินปะทุออกมา
เขายกมือขวาคว้าอากาศไปทางซูหมิง ทวนสิ้นสูญที่ซูหมิงปักลงก่อนหน้านี้พลันสั่นไหวแล้วส่งเสียงอื้ออึงดุจเสียงโห่ร้อง มันบินขึ้นมาอยู่ในมือขวาเขาที่ชูขึ้นราวกับสายฟ้า
เมื่อกำเอาไว้แล้วพลังทั่วร่างจูโหย่วไฉก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ม้วนตลบฟ้ากระจ่างดาว ปั่นป่วนมวลอากาศ ส่งผลกระทบถึงกฏ สั่นสะเทือนทุกคนที่กำลังสู้กันนอกทะเลลำดับห้า
ทุกคนไม่ว่าใครล้วนใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงในวินาทีนี้ ขั้นพลังพวกเขายังเกิดการเสื่อมถอยประหนึ่งแห้งเหี่ยว ทำให้พวกเขาต่างมองไปยังระลอกคลื่นพลังน่ากลัวด้วยความหวาดกลัว
จูโหย่วไฉกำทวนสิ้นสูญ เมื่อปลดปล่อยพลังทั่วร่างออกมา แม้ร่างกายเขาจะยังอ้วนใหญ่ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คล้ายว่าไม่ใช่ร่างกายนี้ แต่เป็นคนยักษ์ที่ใหญ่พอจะค้ำยันฟ้าดิน!
กระทั่งมวลอากาศด้านหลังจูโหย่วไฉยังบิดเบี้ยว เห็นมีร่างเงาปรากฏขึ้นรางๆ ร่างเงานั้นคือชายวัยกลางคน เป็นชายผมขาวที่เศร้าโศกอย่างยิ่งและมีใบหน้าเศร้าซึม!
เขาในยามนี้ไม่ใช่จูโหย่วไฉ แต่เป็น…เซียนนักรบฉางเหอแห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์!
ภายในร่างกายเขาพลันมีวิญญาณสองดวง หนึ่งคือจูโหย่วไฉ อีกหนึ่งคือฉางเหอ วิญญาณสองดวงหลอมรวมกันเป็นบางครั้ง แยกออกเป็นบางครั้ง แต่ว่าตอนนี้ดวงจิตของฉางเหอขึ้นมาอยู่กลางจักรวาล
มือขวากำทวนยาว หลังเหมือนยกขึ้นอย่างเนิบช้าตรงหน้าแล้ว จูโหย่วไฉก้มหน้าลงกล่าวเสียงเบา
“ชีวิตมีอะไรให้น่าดีใจ…” เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนปาทวนทวนยาวในมือไปยังผืนฟ้าข้างหน้า
พริบตาที่มันลากผ่าน ฟ้ากระจ่างดาวหยุดนิ่ง มวลอากาศตรงหน้าจูโหย่วไฉพลันแยกออก มันลุกลามไกลออกไปช้าๆ ดังนั้นรอยแยกจึงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นรอยแยกมิติยักษ์ยาวหมื่นจั้ง
รอยแยกยืดยาวไปเหมือนช้า แต่ทุกสิ่งในฟ้ากระจ่างดาวตอนนี้ถูกหยุดนิ่ง ดังนั้นความช้าแบบนี้จึงไม่ช้า แต่เร็วที่สุดในฟ้าดิน!
ขณะลากผ่านไป สิ่งแรกที่สัมผัสกับรอยแยกมิติหมื่นจั้งคือยักษ์สองหัวที่กำลังสู้กับ จื่อหลงเจินเหริน คนยักษ์มีแววตาหวาดกลัว แต่กลับหลบรอยแยกนั้นไม่ได้ จากนั้นเป็นสองคนที่ประมือกับบรรพบุรุษหลงไห่ พวกเขาก็ถูกรอยแยกลากผ่านเช่นกัน
ผู้ฝึกฌานเกือบพันที่สู้กับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงและยังมีชาวเผ่ารวมธรรมอีกหลายพัน รวมถึงผู้ฝึกฌานชายหญิงที่หนึ่งเย็นชาอีกหนึ่งน่าหลงใหลบนเต่าทมิฬ ทั้งหมด…ล้วนถูกรอยแยกมิติหมื่นจั้งลากผ่านร่างไป
จนกระทั่งรอยแยกหมื่นจั้งข้ามผ่านมวลอากาศไป หายไปยังสุดสายตา ทุกอย่างของที่นี่กลับมาดังเดิมประหนึ่งฟื้นจากสภาพหยุดนิ่ง
ทว่าตอนที่ฟื้นกลับมา ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีการดิ้นรน คนยักษ์สองหัวตรงหน้าจื่อหลงร่างแหลกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งจิตแรกยังหนีไม่ได้กลายเป็นอากาศธาตุไป
สองคนตรงหน้าหลงไห่ก็มีจุดจบแบบเดียวกัน สิ่งมีชีวิตเกือบพันที่กำลังประมือกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็ไม่ละเว้น ชาวเผ่ารวมธรรมไม่ว่าขั้นพลังใดล้วนสลายเป็นควันหายไป
และยังมีชายหญิงบนเต่าที่เพิ่งมา ในช่วงที่ฟ้ากระจ่างดาวกลับมาเป็นปกติ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของอากาศธาตุเช่นกัน
เหมือนกับคำพูดของจูโหย่วไฉ ชีวิตมีอะไรให้น่าดีใจ…..
ไม่สู้ตายไปเสียจะดีกว่า!
โดยรอบเงียบสงัด
จื่อหลงเจินเหรินตัวสั่น เขาไม่เคยคาดถึงเหตุการณ์นี้มาก่อน มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป พลังทำลายล้างแก่กล้านั้นทำให้เขาไม่มีความสามารถต่อต้านได้แม้แต่น้อย หากอีกฝ่ายจะสังหารเขา ต่อให้มีเขามากกว่านี้อีกก็ต้านไม่ไหว ต้องสลายไปเหมือนกับ คนตรงหน้า
‘ยอดฝีมือขั้นเกิด เขาคือเซียนนักรบฉางเหอจริงๆ!’ จื่อหลงเจินเหรินหน้าซีดขาว ตอนที่มองจูโหย่วไฉ นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว
บรรพบุรุษหลงไห่ตะลึงค้าง ถึงเขาจะเป็นยอดฝีมือขั้นกุม แต่สำหรับเขาแล้ว ขั้นเกิดคือ ขั้นพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ เป็นสิ่งที่เขาไม่แม้แต่จะกล้าฝัน เป็นที่รู้ว่า ขั้นกุมก็คือความปรารถนาสูงสุดของเขาแล้ว ส่วนขั้นเกิด…เขาไม่เคยคิดถึงวันที่ก้าวสู้ระดับนั้นเลย
สำหรับเขาแล้ว ความแกร่งของขั้นเกิดมันก็เหมือนกับผู้ฝึกฌานมองผู้ฝึกฌานทารก
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตัวสั่นด้วยความกลัว เวลาเมื่อครู่นี้ แม้เขาจะไม่สัมผัสถึงความตายของตน แต่กลับรู้สึกถึงความหวาดกลัวจากหลายพันคนข้างกายที่ชีวิตหายไปในพริบตา
‘ยอดฝีมือขั้นเกิด วิชาหมุนย้อนความเป็นตาย…..นะ….นี่คือจูโหย่วไฉหรือ….’
‘นี่ไม่ใช่ขั้นเกิดธรรมดา นี่คือสัญญาณที่จะก้าวสู่ขั้นดับสูญ มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะใช้การหมุนย้อนความเป็นตายได้!’ จื่อหลงเจินเหรินเงยหน้าขึ้นมองจูโหย่วไฉ ดวงตาเขาฉายแววฮึกเหิมขึ้นมา
ซูหมิงลืมตาอยู่ก่อนแล้ว สายตามองจูโหย่วไฉตรงหน้า เห็นความเหงาของชายร่างเงามายา เห็นความโดดเดี่ยวเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งกับความเจ็บปวดทางสีหน้า
เขานึกถึงตอนที่ตนได้ทวนสิ้นสูญและเห็นภาพเหล่านั้น
ฉางเหอผู้เป็นดวงตะวันเจิดจรัสแห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ของ ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นเจ้าภัยพิบัติโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต…เขาทำได้เพียงมอง คนรักกลายเป็นเม็ดยา ตอนที่อาจารย์บอกให้เขากินเม็ดยาเพื่อก้าวสู่ขั้นดับนั้น เขาเลือกต่อต้านและขัดขืนเป็นครั้งแรกในชีวิต
เลือกแล้วว่าจะบ้าบิ่นใส่อาจารย์!
เขายอมทิ้งทุกอย่าง ต้องการเพียงทุกอย่างกลับมา หากต้องแลกกับการก้าวสู่ ขั้นดับด้วยวิธีนี้ เขา….ไม่เอาเสียดีกว่า!
“ชีวิตมีอะไรให้น่ามีดีใจ…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
จูโหย่วไฉก้มหน้าลง กลิ่นอายพลังในร่างพลันหายไป เมื่อกลับมาในสภาพเดิมแล้ว เขาปล่อยทวนสิ้นสูญในมือ ทวนส่งเสียงอื้ออึงด้วยความเศร้า ก่อนจะกลับมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงอีกครั้งแล้วปักเข้าไปที่เดิม
จูโหย่วไฉนั่งขัดสมาธิลงหลับตา บนใบหน้ามีความมึนชาและเหนื่อยล้า
ในตัวเขาอบอวลไปด้วยความเศร้าที่คนอื่นสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งมาก แต่มีเพียงซูหมิงคนเดียวที่เห็นเรื่องราวของเขาจึงสัมผัสได้ ความเศร้านี้…หลอมรวมในวิญญาณเขาแล้ว
พวกจื่อหลงสามคนกลับมาอย่างเงียบๆ มานั่งฌานอยู่รอบๆ สายตามองจูโหย่วไฉเป็นบางครั้ง สีหน้ามีความเคารพอย่างเด่นชัด
ผ่านไปพักใหญ่ซูหมิงหลับตาลงอีกครั้ง
เวลาผ่านไป เดือนที่สาม เดือนที่สี่จนกระทั่งถึงเดือนที่ห้า นอกทะเลลำดับห้าก็ไม่มีใครในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาอีก ราวกับว่า…ที่นี่กลายเป็นแดนต้องห้าม
เพราะกลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่นอกทะเลลำดับห้าและยังมีพลังของรอยแยกมิติที่ไม่จางหาย จึงทำให้ทุกคนที่มาที่นี่สัมผัสได้ ก่อนเลือกจากไปพร้อมด้วยหน้าถอดสี
เมื่อเดินที่หกมาถึง นอกทะเลลำดับห้า หนึ่งในสี่เผ่าใหญ่ที่ลึกลับที่สุดอย่าง เผ่าเหริงอูก็มาถึง คนที่มาด้วยยังมีบรรพบุรุษของเผ่า รวมถึง….ชายชราเผ่ารวมธรรมเดินออกมาจากอากาศ ทั่วร่างเขาเป็นเกล็ดเน่าเปื่อย มีเส้นผมขาวสีดอกเลา
พวกเขายืนอยู่นอกทะเลลำดับห้า ห่างจากพวกซูหมิงไปราวหลายพันจั้ง มองทอดไกลด้วยสีหน้าเย็นชา
“เดือนหกแล้ว ผู้ปกปักในทะเลลำดับห้าควรจะมาถึงแล้ว”