ตอนที่ 1088 สร้างอำนาจ
ทันทีที่ชายชราคุกเข่าคารวะซูหมิง โดยรอบก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง ทุกสายตาล้วนจับจ้องซูหมิงพร้อมกันในเวลานี้ ในแววตามีความเหลือเชื่อและตกใจกลัวอย่าง สุดขีด และยังมีความตกตะลึงอยู่ลึกๆ รวมถึงในความคิดทุกคนเกิดเสียงดังสนั่นจนความคิดขาวโพลน
ราวกับว่าในความคิดทุกคนตอนนี้มีคำพูดประโยคหนึ่งดังก้องต่อเนื่อง
‘คนนั้น…ก็คือองค์ชายเต้าคง’ เป็นคำพูดประโยคนี้เองที่ดังก้องนับครั้งไม่ถ้วน ก่อขึ้นเป็นเสียงโครมครามดุจฟ้าผ่าในใจผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ
ชายชราที่กลับมาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตคนนั้น คำพูด สีหน้า ร่างสั่นเทาของเขา และยังมีสายตาที่มีความกลัวเหลืออยู่ ทุกอย่างยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้พูดโกหก ตั้งแต่ที่เขาเอ่ยถึงบรรพบุรุษหลงไห่ เอ่ยถึงเซียนจื่อหลงจากโลกแท้จริงที่สี่ มันยิ่งทำให้คำพูดเขายากจะมีจุดใดคุยโวโออวด
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้ ความตื่นตะลึงที่มอบให้ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ตอนนี้ชายชราหน้าดำหน้าซีดขาว ผู้แข็งแกร่งอย่างเขาตอนนี้ความคิดขาวโพลน มีเพียงภาพการทำลายล้างหนึ่งโลกที่วาดขึ้นมาในใจเขาโดยที่ยับยั้งไม่อยู่
ผู้อาวุโสสำนักสองคนข้างกายก็เช่นกัน
ส่วนเป้ยปังลมหายใจกระชั้น ตอนที่มองซูหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเร็วไว ยามนี้พูดไม่ออกแม้แต่น้อย
ซูหมิงยังคงสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เพราะเขาได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้วกับเรื่องแดนรักษาการณ์โลกหยินศักดิ์สิทธิ์ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตถูกทำลายกระจายไปทั่วทั้งสี่โลกแท้จริง
ต่อให้ตอนนี้ประกาศออกไปก็ไม่เป็นอะไร เพราะแม้ตอนนี้ยังไม่ได้เล่าต่อกัน แต่เมื่อคนจากโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์มาถึงในช่วงพิธีแต่งตั้งใหญ่ เกรงว่าคงจะมาพร้อมกับความโกรธแค้น
คนอื่นรู้ช้ารู้เร็วก็เท่านั้น สำหรับซูหมิงไม่ต่างกัน
ยามนี้ขณะโดยรอบเงียบลง แววตาซูหมิงเฉยชา เขากวาดสายตามององค์ชาย เก้าคนบนแท่นดอกบัวตรงหน้าแวบหนึ่ง ตอนนี้เก้าคนหน้าซีดขาว ต่างมีสีหน้าเหม่อลอย ราวกับยังไม่ได้สติกลับมาจากความตกตะลึงก่อนหน้านี้ ถึงอย่างไร…สิ่งที่ซูหมิงทำก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกฌานทุกคนตกใจตื่นและหวาดกลัว
ชั่วขณะที่ซูหมิงมองเก้าคน เก้าคนนี้พลันตัวสั่นและเกิดความรู้สึกขนลุก ประหนึ่งว่าซูหมิงตอนก่อนหน้านี้ยังเป็นชายชราบาดเจ็บใกล้จะสิ้นอายุขัย แต่พริบตาเดียวกลับกลายเป็นวิญญาณร้ายโบราณ ความรุนแรงในการสับเปลี่ยนแบบนี้ส่งผลให้ เก้าคนนี้ตัวสั่น ซ้ำยังถอยหลังไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอย่างไม่ลังเล หมายจะออกจากแท่นดอกบัวนี้
“ไม่ใช่ว่าจะมาท้าประลองหรอกรึ เหตุใดต้องรีบไปขนาดนั้น” ซูหมิงพูดราบเรียบก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว ขณะกำลังจะลงมือนั้น ชายชราเป้ยปังหน้าเปลี่ยนสีอย่างเด่นชัด เขาพุ่งไปข้างหน้าในพริบตา ใช้พลังขั้นเกิดมาปรากฏกายบนแท่นดอกบัวของซูหมิงในฉับพลัน ยืนอยู่ระหว่างซูหมิงกับองค์ชายเก้าคนที่กำลังถอยหนี
“องค์ชายเต้าคงอย่าเพิ่งใจร้อน ระหว่างพวกเจ้าห้ามสังหารกันในพิธีแต่งตั้งใหญ่” ชายชราเป้ยปังเอ่ยจบก็รู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย เขาคาดการณ์ได้ว่าเต้าคงตรงหน้าจะต้องถากถางเรื่องก่อนหน้านี้แน่ เขาจึงลอบถอนหายใจ เรื่องนี้เขาเองก็รู้ว่าตนลำเอียงจริงๆ
แต่เขาไม่นึกเลยว่าเต้าคงในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต….จะแกร่งขนาดนี้ การกระทำต่างๆ ไม่ใช่ผู้ฝึกฌานธรรมดาจะทำได้ ต่อให้เป็นเขาก็ยังยากจะทำได้ ทำลายหนึ่งโลก สังหารทุกสิ่งมีชีวิต ตอนนี้เป้ยปังพลันรู้สึกว่ารอบตัวเต้าคงตรงหน้าจะต้องมีวิญญาณอาฆาตเหนือจินตนาการอยู่แน่นอน
ซูหมิงมองชายชราเป้ยปังตรงหน้าอย่างเย็นชา เขาไม่ได้พูดถากถางอย่างที่เป้ยปังคาดเอาไว้ แต่พูดขึ้นเรียบๆ
“ให้เก้าคนนี้คุกเข่าลง ตะโกนเสียงดังว่าองค์ชายเต้าคง แล้วแซ่เต้าจะถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
เป้ยปังได้ยินดังนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจถึงถอนหายใจโล่งอก เต้าคงตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกลึกลับยากจะคาดเดา แม้อีกฝ่ายจะดูบาดเจ็บสาหัสอยู่ แต่เขาทำลายหนึ่งโลกได้ คนแบบนี้ถึงจะบาดหนักแต่ห้ามดูถูกเด็ดขาด
โดยเฉพาะความสงบนิ่งในแววตาซูหมิง มันยิ่งทำให้เป้ยปังตื่นตัวขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้พอได้ยินคำพูดซูหมิง เขาจึงหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อไปในทันที
“พวกเจ้าเก้าคนฝ่าฝืนกฏก่อน ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีกรึ!”
สิ้นเสียงเป้ยปัง ในองค์ชายเก้าคนมีห้าคนตัวสั่นพร้อมคุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล อีกสี่คนที่เหลือมีสองคนลังเล แต่ไม่นานก็เลือกคุกเข่าลง
เหลืออีกสองคนคือเต้าหลินกับเต้าฝ่า พวกเขาหน้าเหยเกย ตรงมุมปากเต้าหลิน มีโลหิตไหล เห็นได้ว่าเขากัดฟันจนแตก ก่อนก้มหน้าคุกเข่าลงเงียบๆ ความอัปยศ ครั้งนี้ทำลายความโอหังของเขาจนป่นปี้ การคุกเข่าครั้งนี้ สิ่งที่คุกเข่าไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่ยังมีวิญญาณ เกียรติยศและความภูมิใจ
คนที่ยืนอยู่คนสุดท้ายคือเต้าฝ่า ตอนนี้ชายวัยกลางคนที่ดูอบอุ่นมากไม่มีสีหน้าอบอุ่นอีก แต่มีแววตาดุร้าย เขาจ้องซูหมิงเขม็ง ร่างกายเหยียดตรง
“ฝ่าเอ๋อร์ คุกเข่าลงขอโทษองค์ชายเต้าคง!” ชายชราหน้าดำหน้าเปลี่ยนสี เขาตะโกนเสียงดังพร้อมกับจะเดินหน้าไป
ทว่าแทบเป็นช่วงที่เขายกเท้าขึ้น ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ทวนมุ่งสู่ชีวิตถูกปาออกไปข้างหน้าพร้อมกับเกิดเสียงดังสนั่น ลากเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปทางเต้าฝ่า
แทบเป็นทันทีที่ทวนมุ่งสู่ชีวิตพุ่งออกไป ซูหมิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“จูโหย่วไฉ”
ในมุมมองทุกคนที่คือนามหนึ่ง ขณะที่พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดซูหมิงถึงพูดนามนี้ เป้ยปังพลันยกมือขวาขึ้นหมายจะคว้าทวนมุ่งสู่ชีวิตที่ซูหมิงปาเอาไว้ ทว่าเขากลับตัวสั่นสะท้าน มือขวาหยุดชะงักกลางอากาศ
ภยันตรายร้ายแรงพลันผุดขึ้นมาทั่วร่าง เขารู้สึกชัดถึงจิตสังหารส่งมาจากใน มวลอากาศ ชั่วพริบตาเดียวก็ผนึกตนเอาไว้ นี่คือจิตสัมผัสของคนที่มีขั้นพลังสูงกว่าตนจนเกือบจะบรรลุถึงขั้นดับ หากตนผลีผลาม เช่นนั้นจะมีการโจมตีฟ้าผ่าเข้ามาในฉับพลัน
ในชั่วเสี้ยวพริบตา เป้ยปังนึกไปถึงคำพูดของคนที่กลับมาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตซึ่งเกี่ยวกับผู้ติดตามขั้นเกิดของซูหมิง
ตอนที่เขาหยุดชะงัก ทวนมุ่งสู่ชีวิตลากยาวผ่านข้างกายเขาไป วูบเดียวก็พุ่งไปหา เต้าฝ่า เต้าฝ่าตะโกนเสียงต่ำ ชายชราหน้าดำห้อเหยียดเข้ามา แต่ความเร็วพวกเขาไม่เท่าทวนมุ่งสู่ชีวิต ท่ามกลางเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ชายชราหน้าดำเงยหน้าตะโกนเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
เต้าฝ่าร่างระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ โลหิตสาดกระจาย วิญญาณและจิตแรกแหลกสลายไปในพริบตา หลังถูกทวนมุ่งสู่ชีวิตทะลวงผ่านไปแล้ว วิญญาณเขาสูญสิ้นไป
ทุกอย่างเล่ามาเหมือนช้า แต่ความจริงจบในเพียงเสี้ยวพริบตา โลหิตสาดกระจายไปตกบนตัวองค์ชายเก้าคนที่คุกเข่าอยู่รอบๆ พวกเขาต่างตัวสั่นงันงก ขนาดเต้าหลินยังหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาด
“เต้าคง เจ้ากล้าสังหารฝ่าเอ๋อร์ของข้า!” ชายชราหน้าดำตะโกนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เขาหันหน้ามาจ้องซูหมิงตาเขม็ง ในดวงตามีเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก
“ข้าจะไม่ได้ฆ่าแต่ฝ่าเอ๋อร์ของเจ้า หากเจ้ายังเอะอะโวยวายไม่เลิก ข้ายังกล้าสังหารเจ้าที่นี่ด้วย เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกฌานขั้นชะตาเล็กจ้อย แต่กลับกล้าอวดดีต่อ หน้าข้าหลายต่อหลายครั้ง!” สิ่งที่ตอบกลับเสียงตะโกนของชายชราหน้าดำคือคำพูดเรียบนิ่งจากซูหมิง
คำพูดราวกับน้ำเย็นหนึ่งถังตกใส่หัวชายชราหน้าดำ ส่งผลให้เขาตัวสั่นและต้องระงับความโกรธเหลือล้นในใจเอาไว้ เขานึกไปถึงทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ นั่นคือความน่ากลัวจากการทำลายหนึ่งโลก โดยเฉพาะนึกถึงเมื่อครู่ที่เป้ยปังจะยกมือขวาง แต่กลับหยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไป
ความโกรธแค้นและความเจ็บปวดในใจก็ไม่ใช่ว่าจะระงับกันง่ายขนาดนั้น แต่ตอนที่เห็นแววตาเย็นชาของซูหมิง เขากลับต้องฝืนระงับจิตสังหารในใจเอาไว้ อีกครั้ง เขาเข้าใจว่าหากตนลงมือจะเท่ากับฝ่าฝืนกฏสำนัก แล้วอีกฝ่ายยังให้ผู้ติดตามสังหารตนได้อีกด้วย
ชายชราหน้าดำกระอักเลือด นี่คือการที่เขาฝืนระงับความคลุ้มคลั่งในใจจนก่อเป็นอาการบาดเจ็บภายใน มันไม่หนัก แต่ในใจเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความคับอกคับใจและอึดอัด ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหลังเขาเป็นผู้อาวุโสสำนัก
“องค์ชายเต้าคง”
“องค์ชายเต้าคง”
“องค์ชายเต้าคง” องค์ชายแปดคนที่คุกเข่าอยู่รวมถึงเต้าหลินต่างก้มหน้าลงกล่าวกับซูหมิงติดกันสามประโยค
เกียรติยศพวกเขาถูกเหยียบย่ำไม่เป็นชิ้นดี ความภูมิใจในฐานะองค์ชายถูกซูหมิงย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า หลังกระทืบอย่างแรงหลายทีแล้ว มันก็แหลกเหลว
ความอึดอัดและความอับอายในใจ การยอมศิโรราบเพราะกลัวตาย มันมีผลกระทบกว่าการสังหารพวกเขาอีก แต่ว่า….บางครั้ง ถึงจะรู้อยู้แล้วว่าการคุกเข่าครั้งนี้จะทำให้ชีวิตนี้ไม่มีอำนาจบารมีอีก แต่ว่าเพื่อเอาชีวิตรอดก็ต้องยอมคุกเข่าอย่างน่าอัปยศ
นี่คือเป้าหมายของซูหมิง เขาจะไม่สังหารแปดคนนี้ แต่จะทำลายฐานะองค์ชายของพวกเขาแบบไร้รูป จุดนี้เขาทำสำเร็จแล้ว และก็เป็นสิ่งที่ชายชราหน้าดำคิดจะทำกับเขาก่อนหน้านี้ด้วย
ภาพนี้อยู่ในสายตาของผู้ฝึกฌานทุกคนรอบๆ เวลานี้อำนาจของซูหมิงบรรลุถึงระดับราวกับพายุคลั่งแล้ว มันถาโถมไปรอบๆ กลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกที่สุดในความทรงจำของผู้ฝึกฌานทั้งหมดโดยรอบ
“ผู้อาวุโสเป้ยปัง ช่วยรักษาบาดแผลให้ข้าตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ด้วย” แววตาซูหมิงสงบนิ่ง เขานั่งขัดสมาธิลงบนแท่นดอกบัว ดวงตาปิดลงและโคจรขั้นพลังในร่างกาย สูบพลังชีวิตจำนวนมากจากแท่นดอกบัว
ชายชราเป้ยปังหน้ามืดทะมึน ทว่าพลานุภาพจากมวลอากาศยังอยู่ เขาจึงลอบถอนหายใจเงียบๆ ซูหมิงไม่ได้ทักท้วงเรื่องที่เขาไม่ได้ปรามองค์ชายคนอื่นที่มา ท้าประลอง นี่ก็ถือว่าเห็นแก่หน้าเขาแล้ว ตอนนี้ขณะถอนหายใจก็แผ่กระจาย ขั้นพลังออกไป ทันใดนั้นพลังชีวิตที่ซูหมิงสูบไปกลับมากมายขึ้นมหาศาล