ตอนที่ 1102 ดวงตานั้น 6
“ฮ่าๆ ยินดีด้วยที่สำนักดาราสัจธรรมได้แต่งตั้งใต้เท้า ข้าเฝ้ารอมากว่าใต้เท้าสำนักดาราสัจธรรมจะสง่างามถึงเพียงใด ครั้งนี้มาอวยพรแทนบิดา และก็อยากมา ผูกมิตรกับใต้เท้าหลายท่านแห่งสำนักดาราสัจธรรมด้วย” องค์ชายสามผู้หล่อเหลา ยืนอยู่บนมังกรยมโลกตัวใหญ่ เขาไม่ต้องแผ่กระจายขั้นพลัง เพียงพลังอำนาจจาก ตัวเขาก็ล้ำเลิศแล้ว
นี่ก็คือโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกที่มีมังกรยมโลก
ขณะผู้อาวุโสสำนักยี่สิบสี่ท่านนั้นแห่งสำนักดาราสัจธรรมยิ้ม มังกรยมโลกพันตัวต่างบินไปยังแผ่นดินใหญ่นกกระจอกแดง จนเมื่อองค์ชายสามคว้าตัวอวี่เซวียนลงไปยังพื้นดินแล้ว ผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกข้างบนก็ต่างลงไปยังแผ่นดินนกกระจอกแดง
ช่วงที่พวกเขาลงจากมังกรยมโลก มังกรยมโลกเหล่านี้พลันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องหู ท่ามกลางแววตาดุร้ายขยับวูบวาบ สายตาพวกมันจ้องสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ค้ำยันแผ่นดินสำนักดาราสัจธรรมตาเขม็ง
“หุบปาก!” องค์ชายสามเอ่ยเรียบๆ สิ้นเสียง เหมือนมีมือใหญ่ไร้รูปพันข้างบีบคอมังกรยมโลกพันตัวเอาไว้ ทำให้เสียงคำรามพวกมันหยุดลง
ภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรม แต่แน่นอนว่ามีน้อยคนนักที่มองแวบเดียวจะรู้ว่านั่นคือการแสดงขององค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก
มังกรยมโลกเหล่านั้นไม่ใช่สัตว์ธรรมดา พวกมันมีสติปัญญาเหมือนคนทั่วไป แน่นอนว่าไม่มีทางคำรามก่อกวนในโอกาสแบบนี้ดั่งสัตว์ไร้สติปัญญา ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้องค์ชายสามคงสั่งเอาไว้เพื่อแสดงพลังอำนาจของตน
“ยินดีต้อนรับสหายจากสามโลกมาเข้าร่วมพิธีสำนักดาราสัจธรรม วันนี้เป็นพิธีแต่งตั้งใหญ่ของสำนักดาราสัจธรรม ทุกท่าน……” ตอนนี้ผู้อาวุโสสำนักเจ็ดสิบสองท่านบนฟ้าแยกย้ายกันไปล้อมรอบเอาไว้ มีเพียงสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราที่อยู่ไกลๆ ยืนอมยิ้มอยู่ตรงนั้น คนที่พูดก็คือผู้เฒ่าจันทรา
ทว่าเขายังกล่าวไม่จบ ก็มีเสียงหึเย็นชาแหบแห้งดังขัดขึ้น
“ข้าจะถามเป็นครั้งที่สอง เต้าคงอยู่ที่ใด!” บนแผ่นดินพยัคฆ์ขาว กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์เปล่งแสงคมกริบมา โต๊ะยาวจำนวนมากบนแผ่นดินมีเพียงสองผู้เฒ่าโยวหมิงรวมถึงชายชราขั้นเกิด ผู้เฒ่าหมิงในนั้นแค่นเสียงหึเย็นชาพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
สิ้นคำพูด เสียงดังก้องไปรอบๆ ราวกับฟ้าผ่า จึงดึงดูดสายตาของทุกคนจาก โลกแท้จริงที่สี่บนแผ่นดินเต่าทมิฬทันที รวมถึงคนจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกบนแผ่นดินนกกระจอกแดงก็พากันมองไปด้วย
พวกเขาได้ยินนามเต้าคงแล้วต่างมีสีหน้าปกติ บ้างก็มีประหลาดใจ และยังมียิ้มกับมีท่าทีคึกคักอยู่อีกน้อยคน
“เต้าคง? นั่นคือคนที่ทำลายแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ทำลายขุมอำนาจรักษาการณ์โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่รึ? ข้าได้ยินว่าเขาเป็นหนึ่งในใต้เท้าแห่งสำนักดาราสัจธรรม” องค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยเนิบช้า คำพูดดูเหมือนปกติ แต่ความจริงเป็นการเติมเชื้อเพลิงลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงอย่างไรในใจองค์ชายสามผู้เย่อหยิ่งคนนี้ก็ตกตะลึงกับทุกเรื่องของซูหมิงมาตลอด จึงรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองและยังเกิดความริษยาอย่างประหลาดในใจ
อวี่เซวียนข้างๆ เฉยชาตลอด หน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย เต้าคงก็ดี จะใครก็ดี ไม่อาจก่อระลอกคลื่นในใจนางได้
ทางโลกแท้จริงที่สี่ ชายชราเสื้อคลุมฟ้ายังคงยิ้มไม่เปลี่ยน อ่านความคิดในใจไม่ออก แต่เซียนจื่อหลงข้างกายกลับมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย และยังถอนหายใจเบา
การทำลายล้างรักษาการณ์โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ในแดนต้นกำเนิดจิตกับ การปรากฏของเตาหลอมลำดับห้า ด้วยเบาะแสเหล่านี้หากเขายังไม่เข้าใจสาเหตุ และยังไม่รู้ว่คนคนนั้นในตอนนั้นเป็นใต้เท้าสำนักดาราสัจธรรมในตอนนี้อีก เช่นนั้นเขาก็คงไม่คู่ควรกับขั้นพลังนี้ ไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่าเซียนจื่อหลง
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ของเตาหลอมลำดับห้า ภาพต่างๆ ในทะเลลำดับห้า เขายากจะลืมเลือนเรื่องเหล่านี้ไปชั่วชีวิต โดยเฉพาะเต้าคงที่ผงาดขึ้น ยิ่งทำให้ส่วนลึกในใจเซียนจื่อหลงเกิดความรู้สึกเสียดาย
“วันนี้เป็นพิธีแต่งตั้งใหญ่ของสำนักดาราสัจธรรม ผู้เฒ่าหมิง ขอให้เจ้าควบคุมอารมณ์ด้วย เต้าคงที่เจ้าอยากพบจะลงมาในเร็วๆ นี้แล้ว” ผู้เฒ่าจันทรามองสองผู้เฒ่าโยวหมิงแห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ
ผู้เฒ่าหมิงโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเยาะ แต่กลับไม่โต้ตอบอะไร ที่เขาพูดก่อนหน้านี้เพียงเพื่อแสดงความบ้าอำนาจของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าโลกแท้จริงอื่นๆ และแสดง…..ความประสงค์ที่ไม่ยอมยุติเรื่องนี้
และทำให้โลกแท้จริงที่คิดจะก้าวก่ายต้องทบทวนให้ดี
“พิธีแต่งตั้งใหญ่ เริ่ม ยินดีต้อนรับใต้เท้าสามท่านแห่งสำนักดาราสัจธรรมลงมายัง พิธีใหญ่!” เสียงผู้เฒ่าจันทราราบเรียบ ตอนที่เสียงดังก้องเขายังยกมือขวาสะบัด แขนเสื้อ ทันใดนั้นฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ช่วงที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหว มีสายรุ้งยาวสามสายลงมาจากฟ้าข้างบน
สายรุ้งยาวสามสายนั้นดึงดูดสายตาของผู้ฝึกฌานทั้งหมดที่นี่ โดยเฉพาะคนโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ยังมองไปด้วยจิตสังหาร
เทียบกับความสงบนิ่งของชายชราเสื้อคลุมฟ้าแล้ว เซียนจื่อหลงพลันเพ่งมองสายรุ้งสามสายนั้น พริบตาเดียวก็จับจ้องไปยังสายรุ้งสีม่วง
องค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกมองไปอย่างเย็นชา อวี่เซวียนข้างๆ มองไปข้างหน้า ในดวงตาว่างเปล่าราวกับไม่มีวิญญาณอยู่
เกิดเสียงโครมดังขึ้น เมื่อสายรุ้งสามสายลงมาแล้วก็เกิดแสงสว่างจ้าแสบตา ฉับพลันนั้นกลางมวลอากาศใต้แผ่นดินมังกรดำเกิดคลื่นเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
“คารวะใต้เท้า!”
เสียงดังเกินกว่าเสียงฟ้าผ่า ตอนที่เสียงดังก้องเข้ามา ผู้อาวุโสสำนักหกสิบเก้าท่านที่กระจายกันต่างประสานมือคารวะไปทางสายรุ้งยาวสามสายนั้นพร้อมกัน
ช่วงที่แสงสว่างพร่างพราวขยายออก แสงสว่างสีม่วง แดงและส้มสามสีพลันสว่างแสบตา จากนั้นหายไป เผยเป็นพวกเต้าคงสามคนอย่างชัดเจน!
นอกกายเต้าหวามีดอกบัวล้อมรอบอยู่เก้าดอก ขั้นพลังภัยพิบัติตะวันกระจายออกมาโดยที่เขาไม่ปิดบังเอาไว้แม้แต่น้อย สีหน้าดูโอหังและยังตื่นเต้น
ส่วนเต้าหลินมีดอกบัวสิบสองดอกโอบล้อม ขั้นพลังกุมแผ่กระจาย ทำให้เขาในยามนี้เป็นที่จับตามองของทุกคน
แต่ว่าจับตามองอยู่เพียงพริบตาเดียว ก็ถูกซูหมิงแย่งไปอย่างสมบูรณ์ เส้นผม สีแดง ดวงตามีเส้นเลือดฝอย แววตาคลุ้มคลั่งแฝงไว้ด้วยประกายกระหายเลือดทำลายล้างทุกสิ่งมีชีวิต เดิมทีดอกบัวสิบแปดดอกเป็นสีขาว แต่ยามนี้ถูกย้อมเป็นดอกบัวโลหิต พวกมันวนเวียนรอบตัวเขาไม่หยุด แต่ละวงเปล่งแสงสว่างโลหิตวิบวับน่าตะลึง
นี่คือซูหมิงในสภาพระงับจิตใจ ปิดซ่อนการปะทุ เต็มไปด้วยความรู้สึกทำลายล้าง กระทั่งยังมีความชั่วร้ายรุนแรง ซูหมิงผมแดง!
การปรากฏตัวของเขาเป็นที่จับจ้องของทุกคนโดยพลัน เสี้ยวพริบตาเดียวก็ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นี่ ในตัวซูหมิงผมแดงมีความเย่อหยิ่ง มีความบ้าอำนาจและพลังที่ไม่สนใจกฏแผ่ขยายออกมา
ความบ้าอำนาจนี้คือความบ้าคลั่งที่จะสังหารคนอย่างไม่เห็นใจ ความรู้สึกเย่อหยิ่งก็คือความคลุ้มคลั่งที่สามารถทำลายล้างโลก ส่วนพลังที่ไม่สนกฏคือความ น่ากลัวจากการที่ไม่ตรึกตรองถึงผลที่ตามมา
เพียงแต่คนที่สบตาเขาจะใจสั่นสะท้านโดยพลัน ถูกดวงตาที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างเหมือนทะลวงผ่านจิตใจ ทำให้ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ
โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรม แม้ก่อนหน้านี้จะเห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ของซูหมิง แต่ไม่เคยเห็นในร่างผมแดงมาก่อน ตอนนี้มองไปก็อดใจสั่นไหวขึ้นมามิได้
เดิมทีอวี่เซวียนมองไปข้างหน้าอย่างเฉยชา ตอนที่ซูหมิงปรากฏตัว นางไม่ได้เงยหน้าขึ้น ในสายตานางทุกอย่างที่นี่ไม่ก่อให้นางเกิดคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อยตั้งแต่เข้ามาสำนักดาราสัจธรรม ทว่าถึงที่นี่จะเป็นโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่ก็ไม่ใช่แดนมรณะ หยิน ไม่ใช่เผ่าหมาน ไม่มียอดเขาลำดับเก้าที่คุ้นเคย และก็ไม่มี…..เขา
ดังนั้นนางจึงไม่เงยหน้าขึ้น
แต่ว่าตอนที่นางสังเกตเห็นองค์ชายสามแห่งโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกตรงหน้าเงยหน้ามองแล้วสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ นางก็เงยหน้าขึ้นมองคนผมแดงราวดวงตะวันเจิดจ้าที่ยืนอยู่กลางมวลอากาศราวกับดวงตะวัน ส่วนอีกสองคนข้างกายกลายเป็นเครื่องประดับเหมือนใบไม้เขียว ดังนั้นเขาจึงนูนเด่นชัดออกมาอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เองนางมองดวงตาซูหมิง
ดวงตานี้ อวี่เซวียนตัวสั่น ดวงตาสองข้างมองซูหมิงเขม็ง ความเฉยชาภายในหายไป ราวกับว่าวิญญาณกลับสู่ร่างในพริบตา ความมัวหมองในดวงตาก็หายไปด้วย แล้วแทนที่ด้วยความปราดเปรียวกับลมหายใจกระชั้น
นางไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง ตัวสั่น มือสองข้างจับชายอาภรณ์เอาไว้แน่น ตอนนี้นางลืมทุกอย่างรอบตัว ลืมทุกสิ่ง ในดวงตามีเพียงคนเดียว มีเพียงซูหมิง
คนนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกตา แต่ในความรู้สึกกลับคุ้นเคยอย่างยิ่ง ความคุ้นเคย ฝังอยู่ในวิญญาณ เป็นความงดงามที่ไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต
แม้หน้าตาซูหมิงจะเปลี่ยนไป แต่วิญญาณเขาไม่เปลี่ยน ถึงกลิ่นอายพลังจะ ต่างกับตอนนั้น แต่ว่า…..ในวิญญาณเขา เพราะหนึ่งจูบจากนางในตอนนั้นที่ทำให้วิญญาณเขาสมบูรณ์แบบแฝงไว้ด้วยจิตของอวี่เซวียน พวกเขา…..จึงหลอมรวมด้วยกันมานานแล้ว
เขาหลอกทุกคนได้ แต่หลอกอวี่เซวียนไม่ได้!
อวี่เซวียนกัดริมฝีปากล่าง ใบหน้าเผยรอยยิ้มทีละน้อย พันกว่าปีมานี้ ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น นางไม่เคยยิ้มอีกเลย รอยยิ้มมีความปราดเปรียว หลักแหลม มีความคิดถึงลึกซึ้งและความนุ่มนวลที่ไม่อาจละลายหายไป เหมือนกับว่านางในตอนนี้ ฟื้นจากความตาย ตื่นจากความเฉยชาอย่างแท้จริง นางยิ้มแล้ว รอยยิ้มงดงามเช่นนี้ ใครมองก็ไม่อาจลืมเลือน
รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มของอวี่เซวียน นั่นคือความน่ารักแบบมีชีวิตชีวา คือแสงพร่างพราวในความขมุกขมัวจากคราบน้ำตา
นางมองซูหมิง ความยึดมั่นในดวงตานั้นเหนี่ยวนำจิตใจที่กำลังบ้าคลั่งของซูหมิงตอนนี้ ทำให้เขาก้มหน้าลงมองผ่านมังกรยมโลกพันตัว มองมายังแผ่นดินนกกระจอกแดง มองมายังโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก มองอวี่เซวียนที่กำลังมองตนอยู่ข้างหลัง องค์ชายสาม
ดวงตานี้….
ซูหมิงใจสั่นสะท้าน นี่คือร่างเงาที่ต่อให้ตอนนี้เขาเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง แม้จิตใจจะเต็มไปด้วยการทำลายล้าง แต่ก็ยังไม่อาจลบร่างเงานี้!
ความบ้าคลั่งของเขาคือความกระหายเลือดต่อทุกสิ่งมีชีวิต แต่ร่างเงานี้กลับเป็นตราประทับที่แม้ฟ้าพังพินาศลงก็ยังไม่ถูกลบหายไป
‘รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมีนามว่าอวี่เซวียน…..เซวียนคือพืชลืมทุกข์ ข้าคือพืชลืมทุกข์กลางสายฝน นี่คือนามที่มารดาตั้งให้ข้า อยากให้ข้าไม่มีความทุกข์ไปชั่วชีวิต มีความสุขตลอดไป…..ท่านแม่กำลังเรียกข้า ข้าต้องไปอยู่กับท่านแม่…..ก่อนไป ข้าจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้เจ้า’
จูบในตอนนั้นกลายเป็นดวงตานั้นในตอนนี้ กลายเป็นการทำลายฟ้ากระจ่างดาว แล้วนำเศษฟ้ารวมเป็นภาพวาด ในภาพนั้นเป็นใบหน้าของนาง…..