ตอนที่ 1113 บิดากับบุตร
“คารวะนายท่าน!” ชายร่างกำยำสูงหลายสิบจั้งสองคนคุกเข่าอยู่ข้างหลังซูหมิง ชายสองคนนี้มีสิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือบนหัวพวกเขาต่างมีหัวที่สามงอกออกมา
สีหน้าดุร้าย ตอนที่คุกเข่าลงในมือพวกเขาสองคนถือศีรษะคนละหนึ่งหัว สองหัวนี้ไม่มีเลือด นั่นคือ…..หัวของหุ่นเชิดประจำตัวของสองผู้เฒ่าโยวหมิง
ด้านหลังไปอีก ตอนที่เสียงกรีดร้องแหลมดังก้อง สิ่งมีชีวิตจากเตาหลอมลำดับห้าหลายหมื่นตัวต่างเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าก่อนพุ่งเข้ามาหาซูหมิงพร้อมกัน จากนั้นคุกเข่าลงเปล่งเสียงตะโกนเป็นหนึ่งเดียว
“คารวะนายท่าน!” ในมือสิ่งมีชีวิตหลายหมื่นตัวถือศีรษะอาบเลือด ศีรษะเหล่านั้นล้วนเป็นของผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์
ไกลออกไปยิ่งกว่า มีมารร้ายแห่งเตาหลอมลำดับห้าสุดลูกหูลูกตา พวกมันต่างคุกเข่าคารวะอยู่บนพื้นพลางเปล่งเสียงคำรามเป็นหนึ่งเดียว
“คารวะนายท่าน!”
ขณะเดียวกันมีเสียงกรีดร้องแหลมดังสนั่นฟ้าดินสองเสียง ไกลออกไปพลันมีกลิ่นอายพลังแก่กล้าห้าสายที่มากพอจะทำให้ใจคนสั่นไหวระเบิดขึ้น นั่นคือกลิ่นอายพลังของขั้นดับ เป็นพลังจุดสูงสุดที่เต็มไปด้วยการทำลายล้าง
ครั้นกลิ่นอายพลังระเบิดขึ้น ก็มีร่างเงาสูงใหญ่ห้าร่างเดินมาจากที่ไกลๆ อย่างเนิบช้า
ห้าร่างนี้มีวิญญาณเพลิงแก่ชราหนึ่ง ทั่วร่างสวมเสื้อเกราะเพลิงทั้งตัว ดวงตาเรียบนิ่ง ดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ในมือถือเศษบันทึกเป็นตาย และยังมีพู่กันเปิดยมโลก
คนที่สองข้างเขาเป็นโครงกระดูกผอมแห้ง หากมิใช่เพราะดวงตาเขามีเพลิงผีร้ายขยับวูบวาบ คงมีโอกาสสูงมากที่จะคิดว่าเขาเป็นหุ่ดเชิดจากศพ
แขนขาเขาแข็งค้าง ตอนเดินมาไม่ใช่ก้าว แต่ลอยมาข้างหน้า
คนที่สามเป็นชายร่างกำยำเก้าหัว หน้าหลังซ้ายขวาตรงคอมีทั้งหมดเก้าหัว ซึ่งมันมากพอจะทำให้คนสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง
มือเขาถือศีรษะหนึ่งหัว หัวนั้นดวงตายังลืมอยู่ ยังคงมีความเหลือเชื่อ นั่นคือ หัวของผู้เฒ่าโยว!
คนที่สี่เป็นหญิงชรา นางยันไม้เท้า เส้นผมเงิน ดวงตาสีเงิน ภายนอกแก่ชรา เผยเป็นความรู้สึกดับสูญ
คนสุดท้ายเป็นเด็กหนุ่มชุดคลุมดำ สีหน้าเฉยชา ดวงตาหมองหม่น บนตัวเขามีบาดแผลเกือบหลายร้อยแห่ง นั่นคือบาดแผลในอดีต แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สมาน
เขามีสีหน้าเย็นชา ดวงตาเย็นชา ทั้งตัวราวกับดาบเล่มหนึ่งสามารถแทงไปทางใดก็ได้ตามความปรารถนาของเจ้าของเต้าหลอมลำดับห้า แม้จะเป็นตัวเขาเองก็ตาม
ในมือเขาก็ถือศีรษะหนึ่งหัวเช่นกัน นั่นคือผู้เฒ่าหมิง
ยอดฝีมือขั้นดับ แม้จะเกือบไม่ดับสูญ ทว่า…..หากขั้นดับที่แกร่งกว่าห้าคนลงมือพร้อมกัน ประกอบกับแรงกดดันจากเตาหลอมลำดับห้า ทุกอย่างนี้จะทำให้ขั้นดับ…..เกิดการสิ้นชีพอย่างตอนนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นพลังจริงๆ ของสองผู้เฒ่า หากไม่ใช่เพราะมีบันทึกเป็นตายกับพู่กันเปิดยมโลก ก็คงไม่มีทางบรรลุถึงขั้นดับได้จริงๆ
“คารวะนายท่าน!” สิ่งมีชีวิตที่แผ่กลิ่นอายพลังน่าสะพรึงห้าคนนี้เดินผ่านกลุ่มคนมาทีละก้าว จนกระทั่งข้ามผ่านสหายคนอื่นๆ จนมาอยู่ข้างหลังซูหมิง ก่อนคุกเข่าลงเอ่ยเสียงดังอื้ออึง
ตอนนี้ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีทางที่จะไม่ถูกจับตามองแน่ๆ และไม่มีทางที่จะไม่เป็นดวงตะวันเจิดจ้า รวมถึงไม่มีทางที่จะไม่เป็นดวงดาวที่สว่างที่สุดในฟ้า
ข้างหลังเขาเป็นกองทัพวิญญาณร้ายหน้าตาประหลาดมองไม่เห็นสุดปลาย หากเพียงเจ้าปกครองโลกคุกเข่าก็ไม่เท่าไร ถึงจะเป็นขั้นภัยพิบัติตะวันคุกเข่าก็ยังมีคนรับได้ กระทั่งขั้นกุมคุกเข่าก็พอจะฝืนรับไหว
แต่ว่า…..การคารวะของขั้นชะตา การยอมศิโรราบของขั้นเกิด และการคารวะของขั้นดับกลับทำให้พลังอำนาจของซูหมิงเด่นขึ้นจนถึงระดับที่ไม่อาจบรรยาย!
คนโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์สิ้นชีพทั้งหมด คนจากโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกวิญญาณสลายไปทั้งหมด ทุกอย่างเหล่านี้ก่อขึ้นเป็นกลิ่นคาวเลือดวนเวียนอยู่ที่นี่ พริบตาเดียวก็ทำให้นามของซูหมิงเหมือนกลายเป็นสีแดงอาบชุ่มไปด้วยเลือด!
จื่อหลงเจินเหรินตัวสั่น คนจากโลกแท้จริงที่สี่รอบตัวเขาต่างยากจะเย็นชาต่อไปได้อีก พวกเขาต่างมองซูหมิงด้วยแววตา….ฮึกเหิม!
ในความฮึกเหิมยังมีความเคารพอย่างไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ที่ซูหมิงทำสำหรับผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงที่สี่เหล่านี้แล้วคืองานเลี้ยงที่งดงามที่สุด ทำให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มและเกิดความฮึกเหิมต่อซูหมิงอย่างหาที่สุดมิได้
ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมสิบล้านคนล้วนเงียบ สายตามองเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความกลัว พวกเขาไม่ต้องตรึกตรองอีกแล้ว กระทั่งผู้อาวุโสสำนักเหล่านั้นยังมองสิ่งมีชีวิตแน่นขนัดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันเหลือล้นข้างหลังซูหมิงรวมถึงเตาหลอมลำดับห้าที่มีทะเลเพลิงโอบล้อมลอยอยู่กลางอากาศด้วยแววตาหวาดผวา
สุดท้ายพวกเขามองยอดฝีมือที่มีกลิ่นอายพลังน่าสะพรึงห้าคนข้างหลังซูหมิงโดยไม่ต้องนัดหมาย!
ชายชราเสื้อคลุมฟ้าสลายผนึกน้ำทะเลที่ขังสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราออก เขาหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่ว่ากลับมีสีหน้าตื่นเต้น ความตื่นเต้นแบบนี้ ด้วยอายุของเขาจึงเห็นได้น้อยมาก แต่ยามนี้ไม่เพียงแต่โผล่ขึ้นมา แต่ในนั้นยังแฝงไว้ด้วยการเฝ้ารอคอยอย่างแรงกล้า
ในทันทีที่ผนึกแห่งทะเลคลายออก สามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราเหม่อมองรอบๆ ด้วยสีหน้าตกตะลึง ถึงพวกเขาจะถูกผนึกชั่วคราว แต่ก็ยังเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เหตุการณ์นี้เหนือเกินจินตนาการพวกเขา พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่ทรงพลังที่สุดของเตาหลอมลำดับห้าไม่ใช่ทะเลเพลิง ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของมัน แต่เป็น…..สิ่งมีชีวิตที่ทำให้ศัตรูมากมายสิ้นหวังจากในเตาหลอม
“ไม่มีคนนอกแล้ว….” น้ำเสียงซูหมิงแหบแห้ง ตอนที่กล่าวเนิบๆ ยังกวาดสายตามองผ่านชายชราเสื้อคลุมฟ้าไปมองสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดารา
กล่าวจบซูหมิงเดินหน้าไป สิ่งมีชีวิตจากเตาหลอมลำดับห้ามากมายข้างหลังต่างคำรามพร้อมกัน หลังยืนขึ้นแล้วก็ตามซูหมิงไป
พลังเหลือล้นปะทุมาจากกองทัพใหญ่อย่างรุนแรง ทำให้สามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราหน้าขาวซีดและเปลี่ยนสีไปโดยพลัน
“เจ้าขนร่วง เปิดเส้นทางปราการก่อนหน้านี้ให้ข้า ข้าจะไปพบ….เต้าเฉิน ผู้ยิ่งใหญ่” เสียงซูหมิงแหบแห้งเหมือนมีเส้นเลือดฝอย กล่าวจบ ในใจเขาก็เจ็บปวดราวหัวใจถูกฉีก
“เต้าคง เจ้า…..” ผู้เฒ่าจันทราหนึ่งในสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราเพิ่งกล่าว ก็มีเสียงถอนหายใจดังแว่วมาจากบนฟ้า ทันใดนั้นมีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากในอากาศ
เขาคือศิษย์ของเต้าเฉิน ปู่ของซูหมิง….ซัง!
เขาดูไม่แก่ชรา แต่ในดวงตากลับมีความรู้สึกของเวลา ภายในยังซ่อนความเมตตาและความเจ็บปวดเอาไว้ เขามองซูหมิง ในตัวเขามีของขวัญที่ซูเซวียนอีจะมอบให้ ซูหมิงมาด้วย
ทว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะเรื่องก่อนหน้านี้
“เจ้าอยากมาก็มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเอง ให้พวกมันอยู่ที่นี่ตกลงหรือไม่?” ซังมองซูหมิงเงียบๆ ตอนที่เอ่ย ในน้ำเสียงมีความเมตตาตอนอยู่ภูเขาทมิฬโดยไม่รู้ตัว
ซูหมิงตัวสั่นสะท้านเบาๆ จนตรวจไม่พบ เขาเงยหน้ามองซังเงียบๆ อยู่นานมากก็ยังไม่พูดอะไร แต่เพียงขยับวูบไหวตัวบินขึ้นฟ้าไปตรงจุดที่ซังอยู่
ตอนที่เขาเข้ามาใกล้ ซังถอนหายใจเบาแล้วสะบัดแขนเสื้อม้วนซูหมิงหายไปจากที่นี่
ณ แดนพิธีแต่งตั้งสำนักดาราสัจธรรม แม้ซูหมิงจะไปแล้ว แต่สิ่งมีชีวิตจาก เตาหลอมลำดับห้ายังคงยืนอยู่ที่นี่อย่างเย็นชา ความเรียบนิ่งแผ่กระจายมาจากตัวพวกเขา ดวงตาเย็นชามองไปรอบๆ พร้อมกันนั้นในตัวพวกมันยังมีความรู้สึกที่ไม่ เกรงกลัวสิ่งใดแผ่ออกมาไม่หยุด
นอกแท่นบวงสรวงที่ปิดด่านนั่งฌานของบรรพบุรุษเต้าเฉิน อากาศที่นี่มีแสงแดดสดใสและลมโชยอ่อนๆ โดยรอบเขียวขจี มองไกลๆ เป็นกลุ่มเมฆขาว ทั้งยังมีนกกระสา บินว่อน กลิ่นหอมดอกไม้อบอวลไปรอบๆ ซ้ำยังมีเสียงสายน้ำราวกับเสียงธรรมชาติดังแว่วมา ทำให้ที่นี่….งดงามมาก
ทว่าเมื่อซูหมิงปรากฏตัวที่นี่ นิสัยที่สี่จากตัวเขาที่เป็นการดับสูญแห่งสีดำซึ่งตอบรับกับฤดูใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วงและหนาวพลันทำให้ท้องฟ้าที่นี่มืดหม่น ทำให้สีเขียวขจีที่นี่มัวหมองในบัดดล
ความแค้นที่มากพอจะทำล้ายล้างฟ้าดินในสีดำแห่งการดับสูญของซูหมิงทำให้เมฆขาวที่นี่กลายเป็นสีดำ ทำให้เสียงนกและกลิ่นหอมดอกไม้ที่นี่หายไป ซ้ำยังบดบังเสียงน้ำไหล ส่งผลให้ที่นี่….เหมือนตกลงสู่นรก
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายพลังเขาเปลี่ยนฟ้า ซังเห็นดังนั้นก็เงียบไป
ในดวงตาซูหมิงมีความมัวหมองแห่งการดับสูญ ทว่าในความมัวหมองกลับมีความบ้าคลั่งที่รุนแรงจนเผาสายเลือด เผาทุกอย่าง เขาเดินขึ้นไปบนแท่นบวงสรวงเงียบๆ ทุกก้าวเหยียบลงโลกจะมืดครึ้มลงเล็กน้อย จนตอนที่เขายืนอยู่บนแท่นบวงสรวง โลกนี้…..มืดลงทั้งหมด
ซูหมิงยกเท้าขวาขึ้นกระทืบลงแท่นบวงสรวงอย่างแรง เกิดเสียงโครมดังขึ้น ร่างเงาเขาพลันหายไป แล้วมาปรากฏอีกครั้งยังแดนนั่งฌานของซูเซวียนอี มองร่างเงานั่งฌานที่หันหลังให้เขา
“เพราะเหตุใด!” ซูหมิงมองร่างเงานั้น ในใจเกิดการฉีกขาดอีกครั้ง เขาตัวสั่น ไม่ได้ตะโกนเสียงดังสนั่นฟ้า ไม่ได้ตะโกนด้วยความโกรธ เป็นเพียงเสียงพึมพำที่มีความแปลกหน้าอยู่ประโยคหนึ่ง
“ข้ากับมารดาเจ้า….ตอนที่ยังไม่เป็นคู่ชีวิตก็ยังไม่รู้จักกัน” ซูเซวียนอีเงียบไปนานก่อนพูดเบาๆ คำพูดดังก้องห้องลับและยังมาพร้อมกับการหวนคะนึงคิดของเขา
“แต่เมื่อพวกเรากลายเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว นางเป็นคนรักเพียงคนเดียวในชีวิตข้า…..จนกระทั่งโลกแท้จริงที่ห้าสูญสิ้นไป ข้าเห็นชาวเผ่าทุกคนตายกับตา ข้าเห็นร่างปู่ย่าเจ้าสูญสลายไป เห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนของข้าฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว เห็น ชาวเผ่าทุกคน…..ระเบิดตัวเองโดยไม่สนสิ่งใดเพื่อให้ข้าหนีไป เพื่อรักษาความรุ่งเรืองของเผ่ายมโลก!
ข้าเห็นภาพเหล่านี้ มองไป…มองมา….จนกระทั่งข้าพานางแล้วก็เจ้าที่ยังไม่กำเนิดตามเตาหลอมลำดับห้ามายังทะเลดาราต้นกำเนิดจิตด้วยความปวดร้าว
หลังมาถึงทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ในชีวิตข้ามีความบ้าคลั่งเพิ่มมา ข้าจะแก้แค้น ข้าจะทำลายทุกอย่าง ข้าจะให้เผ่ายมโลกกลับมาผงาดอีกครั้ง!”
“ในที่สุดข้าก็หาวิธีแก้คำสาปให้เจ้าได้ แต่ตอนที่วิธีนี้จะเป็นจริง เต้าเฉินพาผู้ฝึกฌานโลกนี้เข้ามา…..
ศึกครั้งนั้นมารดาเจ้าตายลง ศึกครั้งนั้น….ข้ายึดร่างเต้าเฉินและกลายเป็นเต้าเฉิน!
ก่อนหน้านี้เจ้าถามใช่หรือไม่ว่าตอนที่เจ้าต้องการข้า ข้าไปอยู่ที่ใด ข้าอยู่ที่นี่ ข้ามองเจ้าอยู่ที่นี่เงียบๆ เพราะหลังจากข้ายึดร่างเต้าเฉินแล้ว ข้าก็สู้กับผู้ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ ศึกครั้งนั้นไม่มีใครรู้มันเกิดขึ้นในห้องลับที่นี่!” เสียงซูเซวียนอีดังสนั่นกึกก้อง