Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1115

ตอนที่ 1115 อวี่เซวียน เฟยเอ๋อร์

“แต่ว่า ท่านแค่เอาข้ากับมารดาข้าเป็นตัวหมากก็เท่านั้น พวกเราคือครอบครัวท่าน ท่านมีสิทธิ์ทำแบบนี้ หากข้าเกลียดก็คงเป็นลูกไม่รักดี ข้าก็แค่แค้น! แต่ว่า…..เหตุใดท่านถึงยังเอาสหายข้า เอาทุกคนที่ข้ารู้จักมาเป็นตัวหมาก!” ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ดวงตามีเส้นเลือดฝอย

“พวกเขาไม่เกี่ยวกับท่าน อวี่เซวียนไม่เหมาะกับข้ารึ? นางไม่ใช่ไม่เหมาะกับข้า แต่นางมีภารกิจที่ท่านมอบให้อยู่ต่างหาก นางจะต้องอยู่ที่โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก เพราะท่านก็ใช้นางเป็นตัวหมากตั้งแต่นางเกิดมาแล้วเหมือนกัน!

อวี่เซวียน เฟยเอ๋อร์ พวกนางคือคนเดียวกัน!” ซูหมิงกำหมัดขวา เส้นเลือดฝอยในดวงตามากขึ้น เขาเหมือนรู้สึกถึงหยดน้ำตาที่ไหลลงบนใบหน้าก่อนหน้านี้

“น้องสาวที่อยู่เป็นเพื่อนข้าตอนทุกอย่างข้างกายข้ามืดมิดคนนั้น…..บุตรสาว เทพหมานรุ่นสอง…..ข้าน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ข้าน่าจะนึกออกก่อนหน้านี้ แต่จนกระทั่งท่านขวางมือข้า ตอนนั้น….ข้าเข้าใจแล้ว” ซูหมิงส่ายศีรษะ เขามาที่นี่เพื่อถามว่าเพราะเหตุใด

แต่ตัวเขาก็เข้าใจแล้ว นี่คือคำถามเพราะเหตุใดที่เขารู้คำตอบอยู่แล้ว

“ข้าช่วยท่านไปมากแล้ว…..ปล่อยข้าไปเถอะ และก็ปล่อยมารดาข้า ปล่อยสหายของข้า จากนี้ท่านจงเดินไปตามเส้นทางการผงาดขึ้นของเผ่ายมโลก ดำเนินตามหลักไม่มีเผ่าจะมีครอบครัวได้อย่างไรต่อไป

เป็นเช่นนี้จริงๆ ไม่มีเผ่าจะมีครอบครัวได้อย่างไร มีเผ่าแล้ว ท่านจะได้สร้างครอบครัวตัวเองขึ้นมาใหม่ แต่ว่า….ครอบครัวของท่านจะไม่ใช่ข้ากับมารดาข้าอีก

แต่สิ่งที่ข้ายึดถือคือไม่มีครอบครัวจะมีเผ่าได้อย่างไร เพราะว่ามีครอบครัวข้าถึงปกป้องเผ่าเพื่อครอบครัว ทำให้เผ่าผงาดขึ้นเพราะความสงบสุขของครอบครัว สิ่งที่สนับสนุนทุกอย่างที่ข้าทำก็คือครอบครัว!” โลหิตไหลจากมุมปากซูหมิง นั่นเป็นเพราะเสียงตะโกนของซูเซวียนอีเมื่อครู่สะเทือนร่างกายเขา ขณะเอ่ย เขาเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากแล้วถอยหลังไปหลายก้าว สายตามองซูเซวียนอี

“สำหรับทั้งเผ่ายมโลก ท่าน…..เป็นผู้อาวุโสที่คู่ควรแก่การเคารพ เป็นจิตวิญญาณของเผ่าที่คนรักใคร่บูชา” ซูหมิงพูดพลางประสานมือคารวะลงลึกๆ

“ทว่าเป็นบิดา เป็นสามี ท่าน…..” ซูหมิงเงยหน้าขึ้น แววตาเหมือนมองคนแปลกหน้า เขาไม่พูดต่อ แต่หมุนตัวกลับเดินไปทางอากาศ

“อย่าใช้ประโยชน์จากข้าอีก อย่าวางแผนต่อมารดาและสหายของข้าอีก นี่คือครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ข้าเพียงแค่ไม่เรียกท่านว่าบิดา แต่หากยังมีครั้งหน้า…..พวกเราจะเป็นศัตรูกัน! จากนี้ท่านคือวีรบุรุษของเผ่ายมโลก และข้า….เป็นเพียงคนต่ำต้อยที่ปกป้องครอบครัว ปกป้องสหาย พวกเราอย่าเกี่ยวข้องกันอีก” ซูหมิงเดินเข้าไปในอากาศ ค่อยๆ หายไป

ตอนที่เขาปรากฏตัว เขามายืนอยู่บนแท่นบวงสรวง ตรงหน้าเป็นซัง ซังมองซูหมิงด้วยแววตาซับซ้อน อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับถอนหายใจเบา ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง

“นี่คือของที่บิดาเจ้าให้ข้าเอามาให้เจ้า เขาเคยบอกว่าหากเจ้าควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้ เจ้าจะทำให้หนึ่งเผ่าของเจ้ารุ่งเรือง หากเจ้าควบคุมไม่ได้ เจ้าจะปลอดภัยไปชั่วชีวิต”

ซูหมิงไม่มองกระบี่ไม้ แต่มองผู้ฝึกฌานนามซังตรงหน้า เขามองอีกฝ่าย เส้นเลือดฝอยในดวงตาเปลี่ยนเป็นความคิดถึงทีละน้อย

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงก็เดินเข้าไปกอดซัง

“ท่านปู่ ลาซูคิดถึงท่านมาก…..”

ซังตัวสั่น เขาตบหลังซูหมิงเบาๆ ใบหน้าดูหนุ่ม แต่ตอนนี้กลับมีความเมตตาและปลงอนิจจังเหมือนคนชรา

“กระบี่เล่มนี้…..” ซังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเขาพลันฉายแววเด็ดขาด ตอนที่ ยกมือขวาขึ้น กระบี่เล่มนี้พลันหายไปในมือเขา

“เจ้าคงไม่ต้องการกระบี่เล่มนี้ ลาซูน้อยของข้าเติบใหญ่แล้ว เจ้าท่องไปทั่วฟ้าด้วยตัวเองได้แล้ว ไปเถอะ ไปตามเส้นทางตามที่เจ้าคิด!” ซังมองซูหมิงด้วยสีหน้ามีเมตตาและคิดถึงเช่นกัน เขามองเด็กคนนี้เติบใหญ่มากับตาตัวเอง เลี้ยงดูกับมือตัวเอง ดังนั้นความรักความผูกพันกับซูหมิงจึงเป็นความทรงจำที่ฝังลึกที่สุดในชีวิตเขา

เขามองซูหมิงเป็นบุตรของตัวเอง

ซูหมิงมองซัง ผ่านไปพักใหญ่ก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วโขกศีรษะให้กับซังหลายครั้ง คนที่เขาคารวะคือท่านปู่ของเขา ท่านปู่ที่สนับสนุนจนเขาเติบใหญ่ สอนเขาทุกอย่าง และให้ความอบอุ่นตอนเขายังเยาว์วัย

ซูหมิงไปแล้ว ตอนที่ออกจากฟ้าดินแห่งนี้ไปไกล ซังมองร่างเงาซูหมิงไกลๆ ก่อนหมุนตัวกลับช้าๆ เดินเข้าไปในแท่นบวงสรวงแล้วมาปรากฏในแดนปิดด่านนั่งฌานของซูเซวียนอี

เขามองซูเซวียนอีเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้ววางกระบี่ไม้ไว้ข้างๆ

“ในกระบี่เล่มนี้มีดวงจิตของท่านอยู่ ถึงข้าจะไม่ใช่เผ่ายมโลก แต่ข้าก็มองออก ดวงจิตนี้นอกจากจะปกป้องเขาแล้ว ยัง…..เปลี่ยนวงโคจรนิสัยกับชะตาชีวิตเขา เขาเติบใหญ่แล้ว อาจารย์…..ปล่อยเขาไปเถอะ” ซังถอนหายใจ ก่อนคารวะเงาแผ่นหลังซูเซวียนอีเงียบๆ

“ครอบครัวกับเผ่า…..” ผ่านไปพักใหญ่ซูเซวียนอีถึงพูดเสียงเบา เหมือนกับเขาไม่ได้ยินเสียงซังข้างหลัง เขามองกลองป๋องแป๋งและปิ่นปักผมตรงหน้า มองไปมองมา ตรงหน้าเหมือนลอยขึ้นมาเป็นใบหน้าสตรีคนหนึ่ง

เวลาผ่านไปช้าๆ ตอนที่มีเสียงถอนหายใจดังมาจากซูเซวียนอี เขา….หมุนตัวกลับมาช้าๆ….จากนั้นยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ!

เขาเป็นชายวัยกลางคน สีหน้าเรียบนิ่งแต่น่าเกรงขาม ร่างกายกำยำเหมือนค้ำยัน ฟ้าดินได้ ซังไมได้แปลกใจกับการยืนของเขา ยังคงอยู่ในท่าก้มหน้าคารวะดังเดิม

ตอนที่ซูหมิงเดินออกจากแดนนั่งฌานของซูเซวียนอีจนกลับไปยังแดนพิธีแต่งตั้ง คนโลกแท้จริงที่สี่จากไปแล้ว ที่เหลืออยู่มีเพียงผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรม แล้วก็สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในเตาหลอมลำดับห้า

พวกเขาเห็นซูหมิงแล้วก็คารวะพร้อมกันทันที

ในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนแห่งสำนักดาราสัจธรรมก็พากันเหลือบตามองซูหมิง สีหน้ามีความคิดต่างกัน โดยเฉพาะผู้อาวุโสสำนักเหล่านั้นและสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดารา

พวกเขามองซูหมิงเดินออกมาจากมวลอากาศ มองซูหมิงเดินมาถึงกลุ่มสิ่งมีชีวิตในเตาหลอมลำดับห้า มองเขาโบกมือ ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตที่แผ่กลิ่นอายเฉยชาทั่วร่างต่างกลายเป็นสายรุ้งยาวหายไปในเตาหลอมลำดับห้า จนเห็นว่าเตาหลอมลำดับห้าเล็กลงเรื่อยๆ แล้วก็หลอมรวมเข้าไปตรงระหว่างคิ้วซูหมิง

โดยรอบเงียบสงบ ซูหมิงมองแผ่นดินนกกระจอกแดงเงียบๆ ตอนนี้เองแววตาเขามีความแน่วแน่

“เต้าคง เต้าหวา เต้าหลิน พวกเจ้าสามคนเป็นใต้เท้าของสำนักดาราสัจธรรม มีฐานะสูงส่ง พวกเจ้ามีสิทธิ์เปิดตำหนักรับคน แต่เป็นใต้เท้า หากสุดท้ายคิดจะสืบอำนาจต่อจากท่านเต้าเฉินจะต้องมีคะแนนสงคราม!” ผู้เฒ่าดาราหนึ่งในสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราทำลายความเงียบด้วยเสียงต่ำ

เสียงเขาดังกังวานไปรอบๆ มองข้ามเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไป แต่กล่าวช้าๆ ถึงช่วงสุดท้ายของพิธีแต่งตั้ง

“เริ่มสงครามเถอะ พวกเจ้าสามคนคือใต้เท้าอย่างเปิดเผยของสำนักดาราสัจธรรม แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังพวกเจ้ายังมีใต้เท้าลับอีกสามท่าน ใต้เท้าลับก็มีสิทธิ์รับสืบต่อสำนักดาราสัจธรรมเหมือนกัน เริ่มสงครามได้!

พวกเจ้าต้องการคะแนนสงคราม คนแรกที่สังหารพันธมิตรเซียนได้สิบล้านคนก่อนจะได้เป็นว่าที่เจ้าปกครองแห่งดาราสัจธรรม!

จากตารางคะแนนสงครามนี้ ถึงพวกเจ้าจะเป็นใต้เท้า แต่หากพวกเจ้าตาย คนที่อยู่หน้าสุดของกระดานคะแนนสงครามจะได้รับสิทธิ์ใต้เท้าแทนเจ้า และได้เป็นว่าที่ ใต้เท้าแทน หากพวกเขาตายทั้งหมด ว่าที่ใต้เท้าอีกสามท่านที่โผล่มาจะต้องแต่งตั้งเป็นใต้เท้าอย่างแท้จริงใหม่

เริ่มสงครามเถอะ สำนักดาราสัจธรรม…..บุกพันธมิตรเซียนอย่างสุดกำลัง!” ผู้เฒ่าดาราดวงตาวาววับ ทันทีที่เสียงดังก้องเข้าถึงหูผู้ฝึกฌานทุกคนก็กลายเป็น ความฮึกเหิม

ไม่รู้กี่ปีมาแล้ว แม้สำนักดาราสัจธรรมจะเปิดสงครามกับพันธมิตรเซียน ทว่าสงครามถูกควบคุมอยู่ในขอบเขตที่แน่นอน ไม่ได้ลงมือกันอย่างสุดกำลัง แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าห้องโถงผู้อาวุโสสำนักดาราสัจธรรมได้ตัดสินใจนานแล้วว่าเมื่อปรากฏใต้เท้าขึ้นจะเปิดฉากสงครามกับพันธมิตรเซียนอย่างสุดกำลัง

ตอนนี้เมื่อเสียงผู้เฒ่าดาราดังก้อง ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทั้งหมดโดยรอบต่างเงยหน้าตะโกนเสียงดัง

“เริ่มสงคราม!”

“เริ่มสงคราม!”

“เริ่มสงคราม!”

“ครั้งนี้พวกเราจะไม่รบแบบเฉื่อยชากับพันธมิตรเซียนดังแต่ก่อนอีก ครั้งนี้ พวกเราจะเปิดสงครามกันอย่างเต็มที่ จะต้องทำลายพันธมิตรเซียนให้สิ้นซาก!” ผู้เฒ่าดาราเอ่ยด้วยเสียงที่ฮึกเหิมกว่าเดิม ตอนที่เสียงดังก้อง ผู้เฒ่าจันทราข้างกายกวาดสายตามองทุกคน

“ครั้งนี้สำนักดาราสัจธรรมของพวกเราแบ่งเป็นกองทัพใหญ่สิบกลุ่ม มีศิษย์ทั้งหมดสามสิบล้านคน บุกเข้าไปยังพันธมิตรเซียนในทิศทางต่างกัน เต้าคง เต้าหวา เต้าหลิน พวกเจ้าสามคนต้องเป็นผู้บัญชาการในกองกำลังของตัวเอง ไม่ต้องเข้าร่วมกับกองทัพทั้งหมด ภารกิจของพวกเจ้าแยกออกมา แต่ละคนมีภาจกิจต่างกัน!” ผู้เฒ่าจันทรากล่าวพลางยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นมีแผ่นหยกสามแผ่นพุ่งไปหาพวก ซูหมิงสามคน

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา ในดวงตามีการดับสูญหม่นๆ เมื่อแผ่นหยกเข้ามาใกล้ เขาไม่ได้ใช้มือขวารับ เพียงมองแวบหนึ่ง แผ่นหยกก็เกิดเสียงดังปังพร้อมแตกเป็นชิ้นๆ ตรงหน้า

แม้มันจะระเบิดออก แต่ทุกอย่างในนั้นเขามองเห็นทั้งหมดในแวบเดียวแล้ว

หลังกลับมาจากแดนนั่งฌานของซูเซวียนอี เดิมทีซูหมิงตั้งใจจะออกจากสำนักดาราสัจธรรม แต่พอได้ยินคำว่าเปิดฉากสงครามและได้เห็นภารกิจของเขาในแผ่นหยกแล้ว ดวงตาเขาก็ขยับประกายบางๆ ก่อนล้มเลิกความคิดออกจากที่นี่ไปชั่วคราว

ตอนแรกเขาคิดจะไปหาศิษย์พี่สามคน ไปแดนมรณะหยิน ไปเอาร่างจริงกลับมาจากพันธมิตรเซียน ทุกอย่างนี้ด้วยขั้นพลังเขาตอนนี้ก็ยังไม่พอ อีกทั้งการจะไปหา อวี่เซวียนที่โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก เขาก็ต้องมีขั้นพลังแกร่งกว่านี้

ซูหมิงดวงตาวาววับ เขาหมุนตัวกลับเงียบๆ ก่อนขยับวูบไหวบินไกลออกไป กระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกตามไปข้างหลังทันที จูโหย่วไฉก็เดินมาเงียบๆ ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงใช้ความเร็วทั้งหมดกลายเป็นสายรุ้งยาวหายตามซูหมิงไป

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ซูหมิงก็ไม่ได้พาใครไปอีก เขาห้อเหยียดไปเงียบๆ มุ่งหน้าไปยังจุดที่ข้อมูลจากในแผ่นหยกให้เขาไป

คล้อยหลังเขา เต้าหลินกับเต้าหวาสองคนต่างถือแผ่นหยกพลางใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ สองคนต่างขมวดคิ้วขึ้น สีหน้าปั้นยากเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ จึงคารวะสามผู้เฒ่าตะวันจันทราและดาราแล้วหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวแยกกันไปสองทางอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปรวมคนสนิทและผู้ติดตามของตน รวมกับคนในตระกูลอีก ไม่น้อยด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version