ตอนที่ 113 พบผู้คน
เมื่อยามเช้าตรู่วันที่สองมาเยือน ด้านนอกยังคงมีฝนตกไม่หยุด ทำให้มองดูขมุกขมัว ภายในถ้ำรอยแยกตรงภูเขาเล็ก ซูหมิงมีสีหน้าเหนื่อยล้า ทว่าแววตาเปล่งประกาย
บนมือขวาของเขามีของเหลวสีดำเคลื่อนตัว ราวกับกำลังหล่อรวมกัน ทว่าลองมาแล้วหลายครั้ง ก็เหมือนจะเข้ากันไม่ได้
จิตใจของซูหมิงสงบนิ่ง ควบคุมเปลวเพลิงกลางฝ่ามือ ผ่านไปอีกชั่วครู่จึงเพิ่มความแรงของเปลวเพลิง กลายเป็นลูกเพลิงหุ้มของเหลวสีดำเอาไว้ภายใน
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ใบหน้าซูหมิงขาวซีด ช่วงที่ร่างกายเขาอ่อนแอ การใช้พลังโลหิตสร้างเปลวเพลิงเป็นเวลานาน ทำให้เขาแทบทนไม่ไหว ยามนี้หอบหายใจแรง เปลวเพลิงบนมือขวาค่อยๆ หายไป จนท้ายที่สุดในฝ่ามือเขาปรากฎเป็นเม็ดโอสถสีดำสามเม็ด
กลิ่นหอมสมุนไพรโชยปะทะเข้าสู่ใบหน้า เมื่อสูดดมทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง เขาหยิบทั้งสามเม็ดขึ้นมาเบื้องหน้า พิจารณาอย่างละเอียด แม้มันจะไม่ใช่สีเขียว ทว่าเขาคุ้นเคยกลิ่นหอมสมุนไพรดี เขาหยิบใส่ปากหนึ่งเม็ดอย่างไม่ลังเล เม็ดโอสถยังมีความร้อนอยู่ แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายซูหมิงได้
เมื่อละลายในปาก ซูหมิงหลับตา รับสัมผัสอย่างสงบนิ่ง
“แปลกไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังเป็นโอสถชำระล้าง” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เก็บเม็ดโอสถชำระล้างอีกสองเม็ดกลับไป เขานั่งขัดสมาธิ เมื่อพักผ่อนจนความเหนื่อยล้าหายไปแล้ว จึงมองกองสมุนไพรเบื้องหน้า สีหน้าเด็ดเดี่ยว
“ในเมื่อโอสถชำระล้างใช้ท่อนไม้ถูกฟ้าผ่ามาแทนได้ เช่นนั้นก็น่าจะหลอมโอสถแดนใต้ได้เช่นเดียวกัน โอสถชนิดนี้…ข้าไม่รู้ว่ามันมีผลอย่างไร ทว่าดูแล้วเจ็ดส่วนไม่น่าจะมีสรรพคุณเพิ่มพลังโลหิตเหมือนกับโอสถวิญญาณผา ถึงอย่างไรหลังจากเปิดประตูบานที่สอง ในกลุ่มเม็ดโอสถสามชนิด โอสถมอบจิตไม่ต้องสนใจ โอสถวิญญาณผาเพิ่มพลังโลหิต โอสถแดนใต้ก็ไม่น่าจะมีสรรพคุณซ้ำกัน”
ซูหมิงฝากความหวังไว้กับโอสถแดนใต้ หากคำนวณผิดพลาดก็ต้องพาร่างกายอ่อนแอจากที่แห่งนี้ไปหาวิธีรักษาแบบอื่น
ซูหมิงไม่ได้หลอมสมุนไพรในทันที เพื่อหลอมโอสถแดนใต้อย่างมั่นใจ แต่พักผ่อนอยู่นานจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกมืดทึบ หลังจากพักผ่อนมาทั้งวันแล้ว จึงเริ่มหลอมเม็ดโอสถแดนใต้ที่บางทีอาจจะสำคัญกับเขา
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป พริบตาเดียวก็ครึ่งเดือน ซูหมิงอยู่ในสถานที่แปลกตาแห่งนี้ใกล้จะครบสองเดือนแล้ว โดยเฉพาะครึ่งเดือนสุดท้าย การหลอมโอสถทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ทว่าโอสถแดนใต้ชนิดนี้เขาหลอมมันเป็นครั้งแรก ย่อมเกิดความล้มเหลว ทว่าด้วยความพยามของเขา กลับมีวันหนึ่งในครึ่งเดือนหลังที่หลอมโอสถแดนใต้จนสำเร็จได้มาสองเม็ด
ใบหน้าซูหมิงขาวซีด แววตาสงบนิ่ง มองเม็ดโอสถสีม่วงสองเม็ดที่ใหญ่กว่าโอสถชำระล้างหนึ่งกำปั้นมือ ตัวมันไม่มีกลิ่นหอมสมุนไพร ดูธรรมดามาก
เมื่อขบคิดอยู่ชั่วครู่ ซูหมิงจึงหยิบมาหนึ่งเม็ด แล้วนำใส่ปากอย่างไม่ลังเล ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เขามีความคิดเป็นของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มหลอมสมุนไพร นอกจากโอสถโลหิตที่หลอมได้โดยบังเอิญแล้ว โอสถชนิดอื่นล้วนไม่มีภัย และที่สำคัญคือเขาไม่ได้อู้ฟู่ถึงขั้นยอมเสียไปหนึ่งเม็ดเพื่อทดลอง
หลังจากนำเม็ดโอสถสีม่วงใส่ปาก มันไม่ได้ละลายในทันที แต่ค่อยๆ ปริแตก แฝงไว้ด้วยรสขม ไหลผ่านลำคอลงสู่ร่างกาย จากนั้นเขาจึงกลืนเม็ดโอสถชำระล้างตามเข้าไป ก่อนนั่งขัดสมาธิหลับตา โคจรพลังโลหิตในกายเพื่อสัมผัสถึงสรรพคุณของโอสถแดนใต้
ผ่านไปครึ่งชั่วยามอย่างช้าๆ ซูหมิงพลันตัวสั่นเทา เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้นพลันผุดขึ้นบนตัว แต่มีเพียงแปดสิบกว่าเส้นที่เป็นสีแดงสด ที่เหลือล้วนมืดสลัว
ร่างกายของเขาสั่นรุนแรงขึ้น สีหน้าเผยความเจ็บปวด ผ่านไปชั่วครู่พลันลืมตาขึ้น กระอักโลหิตสีดำ ก่อนพบว่าโลหิตสีดำบนพื้นมีกลิ่นเน่าเหม็น
ในช่วงที่กระอักโลหิต ใบหน้าซูหมิงมีเลือดฝาดเล็กน้อย เส้นเลือดมืดสลัวบนร่างกายมีประมาณสิบกว่าเส้นที่ราวกับเกิดใหม่ ค่อยๆ เปล่งแสงสีแดงสว่างจ้า
ผ่านไปนาน ซูหมิงมีลมหายใจเป็นปกติ มองโอสถแดนใต้ที่เหลือเม็ดสุดท้ายในมือ
“โอสถแดนใต้มีสรรพคุณรักษา! หากข้าหลอมมันได้ก่อนสงครามชนเผ่า……”
ซูหมิงหลับตา ถอนหายใจเบา
ภายในเทือกเขาส่วนลึกของป่าฝน ซูหมิงอาศัยอยู่ในนั้น แทบจะไม่ออกไปข้างนอก ทุกครั้งที่ออกไปจะเป็นเพราะสมุนไพรขาดแคลน บ้างก็ไม่มีกิ่งไม้ราตรีประกายจึงต้องออกไปหาด้านนอก
ดีว่าป่าฝนกว้างใหญ่ เหตุการณ์ฟ้าผ่าต้นไม้จึงไม่ได้พบเห็นยากนัก ต้นไม้ถูกฟ้าผ่าต้นหนึ่งสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการหลอมได้จำนวนมาก
กาลเวลาผ่านไปอย่างเร่งรีบ พริบตาเดียวก็หนึ่งปี
ในหนึ่งปีนี้ มีครึ่งปีที่ฝนหยุดตก ทว่าไม่มีหิมะที่ซูหมิงคุ้นเคย ราวกับว่าที่นี่ไม่มีฤดูหนาว
บาดแผลของเขาสาหัสยิ่งนัก ในเวลาหนึ่งปีกับโอสถแดนใต้จำนวนมาก เส้นเลือดของเขาฟื้นฟูกลับมาเพียงหนึ่งร้อยเก้าสิบเส้น ยังห่างจากปลายสุดค่อนข้างไกล
ในหนึ่งปีนี้ ซูหมิงเคยออกไปหาสมุนไพรด้านนอกหลายครั้ง เคยเห็นร่องรอยมนุษย์ กระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเห็นกลุ่มคนสิบกว่าคนกำลังล่างูเหลือมยักษ์ในป่าฝน นักรบหมานเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต
มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวในนั้นที่ทะลวงอยู่ลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต ดูจากสีหน้าคนรอบกายเขาแล้วน่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
ชุดของพวกเขาไม่ใช่หนังสัตว์ แต่เป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ในมือถือหอกเป็นอาวุธส่วนใหญ่ เห็นคันศรเป็นส่วนน้อย อีกทั้งบนตัวพวกเขา แทบทุกคนตรงข้อมือล้วนมัดกระดิ่งใบเล็กสีดำ ทว่ากลับไม่มีเสียงใดๆ มีเพียงชายหนุ่มที่มีสองใบ อีกทั้งซูหมิงยังสังเกตเห็นว่า ในกลุ่มคนเหล่านี้มีเด็กหนุ่มลำดับห้าขั้นรวมโลหิตคนหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดราวกับป่วย มีคนคุ้มกันอยู่ภายใน บนข้อมือของเขามีกระดิ่งสี่ใบ
นี่เป็นชนเผ่าที่ต่างกับเขาทมิฬและร่องลมอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงที่ซูหมิงสังเกตเห็นพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้มากนัก แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังเป็นที่สังเกตของชายหนุ่มลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต เขาไม่ส่งเสียงในทันที เพียงแต่มองราวกับไม่สนใจ แต่ขยับเข้ามาใกล้ซูหมิง
การกระทำของเขาช่างดูอ่อนหัดนักในสายตาซูหมิง เขาพลันขยับตัวจากไปทันที หากคิดจะหนี ด้วยความเร็วของเขาคนเหล่านี้ไม่มีทางขวางได้
เขาไม่สนใจคนเหล่านี้ แต่ออกตามหาสมุนไพรต่อ เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ระหว่างทางกลับถ้ำก็พบกับกลุ่มคนอีกครั้ง
ยามนี้พวกเขาคุ้มกันเด็กหนุ่มกระดิ่งสี่ใบไว้ภายใน สร้างกระโจมหนังแบบง่ายในป่าฝน ราวกับจะค้างแรมที่นี่ ชายหนุ่มลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตถือหอกหลังพิงต้นไม้ แววตาขยับประกาย สอดส่องโดยรอบอย่างตื่นตัว
บนต้นไม้ห่างไปไม่ไกลนัก ซูหมิงนั่งยองอยู่ตรงนั้นพลางมองกลุ่มคน แววตาค่อยๆ เป็นประกาย ขั้นพลังของเขาในยามนี้แม้ยังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มร้อย ทว่าก็มีทักษะในการต่อสู้ เขาอยากรู้ว่าแดนแห่งนี้คือที่ไหน ใกล้เคียงมีเผ่าอะไรบ้าง
อีกทั้งกลุ่มคนยังดูไม่เป็นมิตรกับบุคคลอื่นอย่างเห็นได้ชัด หากเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่ฟังคำพูดของเขา แต่ตรงเข้ามาสังหารทันที
ขณะแววตาประกายวูบไหว ซูหมิงก้มหน้าลง ขยับตัวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วหายเข้าไปในป่าฝน หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในช่วงที่กลุ่มคนจุดกองไฟขับไล่ความชื้น ชายหนุ่มที่หลังพิงต้นไม้พลันมีสีหน้าเปลี่ยน จับหอกเอาไว้แน่น
ขณะเดียวกันคนอื่นๆ สัมผัสได้เช่นเดียวกัน จึงเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไป ทันใดนั้นมีเสียงสัตว์ป่าพลันดังเข้ามาจากส่วนลึกในป่าฝน ก่อนพุ่งตัวออกมา กระโจนเข้าใส่กลุ่มคนพร้อมกับเสียงคำราม
“สัตว์หนามดำ!” กลุ่มคนร้องด้วยความตกใจ เหตุการณ์ดูวุ่นวายในชั่วพริบตา
“สัตว์ตัวนี้ชอบไฟ รีบดับไฟเร็ว” ชายหนุ่มลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตรีบกล่าว มือขวาถือหอกตรงเข้าใส่สัตว์ป่า สัตว์ตัวนี้แม้มีพละกำลังแข็งแกร่ง ทว่าก็เทียบเท่าเพียงลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตเท่านั้น ชายหนุ่มประมือกับมันได้
เพียงแต่ในช่วงที่เขาออกห่างจากกลุ่มคนเพื่อเข้าประมือกับสัตว์หนามดำ คนที่เหลือช่วยกันดับกองไฟ ทำให้โดยรอบมืดทึบในชั่วพริบตา สายตาของพวกเขายังปรับตัวไม่ได้ชั่วครู่ มีเงาหนึ่งพลันพุ่งออกมาด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า เข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มที่ถูกคุ้มกันโดยกลุ่มคนเหล่านั้น
ด้วยความเร็วของเขา ช่วงที่คนเหล่านั้นรู้สึกตัว เงาคนก็เข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มแล้ว ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะได้ต่อต้าน เงาคนใช้มือสับต้นคอเขาจนหมดสติ แล้วจึงใช้ใต้วางแขนหนีบตัวเขาทะยานออกมา
กลุ่มคนเหล่านั้นยังคงเหม่อลอย สีหน้าพลันเปลี่ยน แม้แต่ใบหน้าชายหนุ่มยังมืดทะมึนในชั่วพริบตา คิดจะไล่ตาม ทว่ายังไม่อาจขับไล่สัตว์หนามดำได้ จึงทำให้ล่าช้า เงาคนหนีบเด็กหนุ่มหายเข้าไปในป่าทึบแล้ว
ซูหมิงห้อเหยียดอยู่ในป่าฝน ใต้วางแขนเขาหนีบเด็กหนุ่มเอาไว้ เขากับกลุ่มคนเหล่านั้นไม่ได้มีความแค้นต่อกัน และไม่มีเจตนาจะสังหาร แม้แต่สัตว์ที่เขาเลือกมายังเป็นตัวที่กลุ่มคนเหล่านั้นขับไล่ไปได้โดยไม่มีใครเสียชีวิต
เป้าหมายของเขาคือเด็กหนุ่มคนนี้ ฐานะของเขาย่อมไม่ธรรมดา น่าจะรู้เรื่องไม่น้อย ซูหมิงจำเป็นต้องทราบว่าแดนแห่งนี้คือที่ไหน ฉะนั้นจึงทำเช่นนี้
‘ถามในสิ่งที่ข้าอยากรู้ จากนั้นปล่อยเขาไปก็จบ’ ซูหมิงขยับวูบวาบอยู่ในป่าทึบ พุ่งตรงไกลออกไป วนมาอีกหนึ่งรอบ ก่อนมาถึงมุมลับตาคนในป่าทึบ เขาวางเด็กหนุ่ม นั่งยองลงมองอีกฝ่ายสักครู่ราวกับนึกอะไรได้
ครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กหนุ่มก็มองออกแล้วว่ามีปัญหาอะไรบางอย่าง ยามนี้พอได้เข้าใกล้ก็มั่นใจ หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ ซูหมิงจึงหยิบโอสถชำระล้างกับโอสถแดนใต้ใส่เข้าไปในปากเด็กหนุ่ม
เขาถอยหลังมาหลายก้าว ก่อนหยิบหนังสัตว์จากถุงชำรุดในอกเสื้อ สิ่งนี้เขาได้มาจากการล่าสัตว์เป็นอาหารในช่วงเวลาหนึ่งปี เขานำมาบดบังตัวและใบหน้า ก่อนนั่งอยู่บนต้นไม้ห่างจากเด็กหนุ่มไม่ไกลนัก
มือขวาหยิบเศษไม้เล็กข้างกาย ดีดเบาๆ ตรงเข้าใส่ระหว่างคิ้วเด็กหนุ่ม ไม่แรงมากนัก ทว่ากลับทำให้เด็กหนุ่มได้สติ
เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บจึงลืมตาขึ้นด้วยความสับสน แต่ไม่นานก็สงบนิ่ง แม้ใบหน้าขาวซีดผิดปกติ ทว่าไม่มีความตื่นกลัว เขามองไปทางซูหมิงที่สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ทั้งตัว
“เจ้าเป็นใคร!”