Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1171

ตอนที่ 1171 ธูปสวรรค์มอดดับ

โลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทางตะวันออก เวลานี้ร่างแยกกลืนนภาของซูหมิงนำ กองทัพใหญ่ผู้ฝึกฌานแสนคนที่เชื่อฟังเข้าร่วมกับยอดเขาลำดับเก้าและยอมส่ง ตราประทับวิญญาณ เข้าไปใกล้ในพื้นที่ชายแดนระหว่างโลกแท้จริงทางตะวันออกแล้ว แต่ระหว่างนั้นเขากลับหยุดลง

ตรงหน้าเขามีธูปยักษ์อยู่เก้าดอก ธูปเก้าดอกนี้ล้วนมีความหนาหลายร้อยจั้ง ความยาวมากกว่าหมื่นจั้ง มองไกลๆ จะเหมือนเสายักษ์เก้าต้นตั้งตระหง่านกลางฟ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าค้ำยันอะไรอยู่

ควันลอยโชยขึ้นจากสามแห่งในธูปยักษ์เก้าดอก ทำให้รอบๆ ขมุกขมัว มองเห็นได้รางๆ

ธูปเก้าดอกนี้ ในนั้นมีหกดอกมอดดับ มีเพียงสามดอกที่ยังติดไฟเหมือนจะ เผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์ไม่มีสิ้นสุด แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าพวกมันจะเผาอย่างไร ก็เหมือนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน มันยังคงสูงเสียดฟ้า ผู้มองจะเกิดความรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่

นี่คือ…ธูปสวรรค์!

หนึ่งในสามสุดยอดสิ่งลึกลับตั้งแต่โบราณของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม วงแหวนวงแหวนอาคมธูปสวรรค์!

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนวางธูปสวรรค์ และไม่รู้ว่ามันปรากฏขึ้นเมื่อใด เหมือนว่าตั้งแต่โลกแท้จริงดาราสัจธรรมถือกำเนิด พวกมันก็มีอยู่แล้ว

ผ่านมานานนม มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนมาที่นี่ หมายจะแก้วงแหวนอาคมธูปสวรรค์เพื่อหาความลับของมัน แต่ไม่เคยมีใครทำได้ จากธูปเก้าดอกที่ติดไฟพร้อมกันในตอนแรกจนกระทั่งมีควันเพียงสามดอกในตอนนี้ พวกมันเห็นการเปลี่ยนแปลงของเวลา และยังเห็นโลกแท้จริงดาราสัจธรรมตั้งแต่กำเนิดจนรุ่งเรือง และจากรุ่งเรืองมาถึง มหันตภัย

สำนักดาราสัจธรรมเคยอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง ทางสำนักจ่ายกำลังคนจำนวนมากเพื่อตามหาความลับของวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับไปเลย

กระทั่งซูเซวียนอีก็ยังเคยตรวจสอบที่นี่ แต่ก็หาคำตอบอะไรไม่พบ ฉากความลับของวงแหวนอาคมธูปสวรรค์แทบจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฌานจะเปิดออกได้ คล้ายว่ามันกำลังรอสิ่งมีชีวิตที่เปิดความลับนี้ได้มาโดยตลอด แต่รอจนถึงตอนนี้แล้ว รอจนธูป มอดดับไปทีละดอก สิ่งนั้นก็ยังไม่มาเสียที

ซูเซวียนอีเคยศึกษา แต่ก็ไม่เข้าใจเลยต้องถอย ผู้ฝึกฌานที่ลงมาเยือนจากฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็เคยศึกษาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้คำตอบ เหมือนว่า…ความเก่าแก่ของมันจะมากกว่ายุคสมัยของผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเสียอีก…

ตอนนี้ร่างแยกกลืนนภาของซูหมิงอยู่นอกวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ กำลังมอง ธูปสวรรค์เก้าดอกยักษ์กลางฟ้าไกลๆ มองควันลอยโชยจากธูปสามดอก นัยน์ตาฉายแววลังเล

“นี่คือวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ ถูกขนานนามกับแดนมรณะหยินทางพันธมิตร เผ่าเซียนและยันต์กดตะวันทางตะวันตกเฉียงใต้ว่าเป็นสามสุดยอดความลับ ความลับของวงแหวนอาคมธูปสวรรค์เริ่มจากที่มันไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่รู้ว่าใครเป็น คนวาง และไม่รู้ด้วยว่าหลังจากธูปดับเก้าดอกแล้วจะเป็นอย่างไร

และยังเพราะว่า…อย่างที่นายท่านรู้สึกตอนนี้เลย ยิ่งเข้าใกล้วงแหวนอาคมธูปสวรรค์มากเท่าไร พลังในร่างกายจะยิ่งเดือดพล่านมากเท่านั้น และยังมีเค้าลางจะทะลวงพลังไป กระทั่งหากเข้าใกล้อีกเล็กน้อย ความรู้สึกทะลวงพลังจะยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อทะลวงไปแล้ว ขั้นพลังก็จะสูงขึ้น

ทว่าทุกอย่างเป็นของปลอม ดูเหมือนพลังสูงขึ้นก็จริง แต่ความจริงเป็นเพียงมายา หลังออกจากที่นี่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นดังเดิม สำหรับผู้ฝึกฌานโลกแท้จริงดารา สัจธรรมแล้ว วงแหวนอาคมธูปสวรรค์นี้มีแรงดึงดูดน่าประหลาด หากเข้าไปใกล้ หากสัมผัสความรู้สึกขั้นพลังสูงขึ้น จะยากลืมเลือนมันไปชั่วชีวิต และต้องมาที่นี่บ่อยครั้ง…

แต่ว่าหากเข้าใกล้เกินสามครั้ง ผู้ฝึกฌานก็จะออกไปไม่ได้อีก อีกทั้งยังเสียสติปัญญา เดินเข้าไปในธูปเก้าดอก หลอมรวมเข้าไปข้างในและวิญญาณสูญสลายไป

นี่เป็นวิธีเข้าไปในวงแหวนอาคมธูปสวรรค์เพียงวิธีเดียว ทว่าหากเข้าไปข้างในก็ต้องตายแน่ๆ ดังนั้นที่นี่จึงเริ่มไม่มีใครมาอีก

เว้นแต่ขั้นพลังจะติดอยู่ตรงคอขวดตลอดปีถึงจะมาทะลวงพลังหลอกๆ กันที่นี่เพื่อหาความเข้าใจ แต่ก็ต้องอยู่ในสามครั้งเท่านั้น จะมองว่าวงแหวนอาคมธูปสวรรค์คือกระจกด้านหนึ่งก็ได้ กระจกนี้ส่องสะท้อนบอกว่าขั้นพลังตัวเองจะไปถึงจุดสูงสุด ที่ใดในอนาคต” ชายชราแซ่เหมียวมองวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ไกลๆ พลางกล่าวเสียงต่ำ ในใจเขาระงับอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเดินเข้าไปใจจะขาดเอาไว้ ดีที่วงแหวนอาคมธูปสวรรค์ไม่โหดร้าย ไม่ได้ห้ามให้คนระงับอารมณ์ชั่ววูบ ขอเพียงจิตใจแน่วแน่เล็กน้อย พอออกจากพื้นที่นี้แล้วก็จะกลับมาเป็นปกติ

“เช่นนั้นยันต์กดตะวันที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้คือ?” ร่างแยกกลืนนภาซูหมิงถามขึ้นเรียบๆ

“ยันต์กดตะวันเหมือนจะลึกลับยิ่งกว่า มันคือยันต์อักขระแผ่นหนึ่ง เป็นยันต์ที่วางอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโลกแท้จริงดาราสัจธรรมมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ทุกร้อยปีมันจะขยับแสงหนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่ขยับแสง บนดาวแท้จริงทั้งหมดในโลกดาราสัจธรรม กลางคืนก็ยังเป็นกลางคืน แต่ว่าดาวที่อยู่ตอนกลางวันจะเหมือนดวงตะวันถูกกดต่ำลงกลายเป็นคืนมืด

ดังนั้นยันต์ลึกลับนี้จึงถูกเรียกว่ากดตะวัน นอกจากนี้แล้ว ยันต์กดตะวันยังดูด แสงสว่างทั้งหมดจากรอบตัว ทุกสิ่งที่เปล่งแสงจะหายไปกลายเป็นมืดมิด

แต่ว่าเทียบกับวงแหวนอาคมธูปสวรรค์แล้ว ผู้ฝึกฌานจะสัมผัสกับยันต์นี้ได้ง่ายกว่า ขอเพียงเดินเข้าไปกลางความมืด เดินไปในความมืดจนเข้าใกล้ยันต์นั้น ก็จะตรวจสอบและลอกแบบได้ตามสบาย ถึงขั้นใช้วิธีต่างๆ ลองกำราบมัน แต่ไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครกำราบยันต์กดตะวันมาเป็นของตัวเองได้เลย

ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไร ไม่ว่าจักรวาลเปลี่ยนไปอย่างไร ภัยพิบัติก็ดี ยุครุ่งเรื่องก็ดี มันยังคงอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้เหมือนจะอยู่ไปชั่วนิรันดร์

ส่วนความลับที่สามคือแดนมรณะหยินของพันธมิตเผ่าเซียน ที่นั่นเป็นน้ำวนยักษ์ เล่าลือว่าในน้ำวนเป็นทางเชื่อมไปอีกโลกหนึ่ง นั่นคือโลกของคนตาย” ชายชรา แซ่เหมียวเล่าสิ่งที่ตนรู้ทุกอย่างออกมาแบบเนิบๆ

ร่างแยกกลืนนภามองธูปเก้าดอกนั้น เกิดระลอกคลื่นในร่างกาย เกิดความรู้สึกคล้ายว่ากายเนื้อตนจะแกร่งขึ้นรางๆ ความรู้สึกนี้เหมือนกับมีมดนับไม่ถ้วนกำลังปีนป่ายในร่าง ทำให้เกิดการคันจากในสู่นอกไปทั่วตัว ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์ชั่ววูบที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากอาการคัน ถึงขนาดอารมณ์ชั่ววูบนี้ยังส่งผลไปถึงส่วนวิญญาณในร่างแยกซึ่งมาจากวิญญาณจริงของซูหมิงด้วย ทำให้ส่วนวิญญาณเขาเกิดคลื่นอารมณ์ แต่คลื่นอารมณ์นี้ใช่ว่าจะระงับไม่ได้ ไม่นานนักก็ถูกระงับลงไป ร่างแยกกลืนนภาของซูหมิงมีสีหน้ามืดทะมึน หลังมองธูปเก้าดอกไกลๆ อีกแวบหนึ่งแล้วก็หมุนตัวเตรียมจากไป

แต่ทันทีที่ร่างแยกกลืนนภาหมุนตัวกลับเตรียมจากไปนั้น ธูปสวรรค์สามดอกที่ยังติดไฟในเก้าดอกพลันดับไปหนึ่งดอก!

ธูปสวรรค์ที่ติดไฟเก้าดอกมาแต่โบราณ เมื่อเวลาผ่านไปจึงมอดดับไปทีละดอกจนเหลือสามดอกที่ยังติดไฟ แต่วันนี้ในตอนนี้ มันหายไปหนึ่งดอก ส่งผลให้ช่วงเวลาหนึ่งหลังจากนี้ วงแหวนอาคมธูปสวรรค์จะเหลือเพียงสองดอกที่ยังติดไฟ

ทันทีที่ธูปสามดอกนั้นมอดดับ ก็มีระลอกคลื่นรุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครู่แผ่กระจายออกไปรอบๆ อย่างไร้รูป พริบตาเดียวก็ส่งไปถึงร่างแยกกลืนนภารวมถึงผู้ฝึกฌานแสนคนข้างหลัง

ยามนี้ร่างแยกกลืนนภาตัวสั่นอย่างรุนแรง ความรู้สึกเหมือนจะแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วในร่างกายปะทุขึ้นอย่างดุเดือด…กดเหนือกว่าส่วนวิญญาณซูหมิง ทำให้เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าและพุ่งไปยังธูปสวรรค์ทันที

อีกทั้งขณะกดเหนือกว่าส่วนวิญญาณเขา ร่างแยกกลืนนภาเหมือนไม่ใช่ของซูหมิงอีก เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์เผ่ายมโลก เพราะพรสวรรค์ของเผ่านี้คือรวมร่างแยกออกมา ซึ่งความจริงไม่มีความต่างกับร่างจริงมากนัก หนึ่งวิญญาณ หลายร่างกาย นี่คือความสมบูรณ์แบบอย่างหนึ่งของเผ่ายมโลก

ทว่ายามนี้ร่างแยกกลืนนภาเหมือนเสียการควบคุมไป หากซูหมิงรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องตกตะลึงแน่นอน

ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกฌานแสนคนข้างหลังรวมถึงชายชราแซ่เหมียวต่างคลุ้มคลั่งคล้ายเสียสติปัญญา พวกเขารู้เพียงว่าต้องเข้าใกล้ธูปสวรรค์นั่น เพราะยิ่งเข้าใกล้ ขั้นพลังพวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเร็วมากเท่านั้น มิหนำซ้ำพวกเขายังยิ้มมุมปากด้วยความดีใจยิ่ง เพียงแต่ภายใต้สีหน้าดีใจแทบบ้านี้กลับปกปิดความงุนงงเอาไว้

ชั่วยามที่ห้าหลังส่วนวิญญาณซูหมิงของร่างแยกกลืนนภาถูกธูปสวรรค์กดอยู่เหนือกว่าและเสียการควบคุมไป ซูหมิงยิ้มด้วยอาการมึนเมา สีหน้าดูตื่นเต้น ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ ข้างกาย สองคนนี้กำลังมองเรือลำหนึ่งกลางพายุหมุนนอกระลอกคลื่นไกลๆ กำลังแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว

เดิมทีทิศทางเรือโดดเดี่ยวไม่ใช่ที่นี่ แต่จะผ่านทางไปอีกเขตหนึ่ง ทว่าจิตสัมผัส ซูหมิงเห็นพวกเขา พวกเขาก็สังเกตเห็นกลิ่นอายพลังของศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่นี่เช่นกัน

กลิ่นอายพลังนี้เหมือนเป็นตัวชี้นำให้เรือโดดเดี่ยวเปลี่ยนทิศทางมาที่นี่

เมื่อเรือโดดเดี่ยวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่เรือข้ามผ่านพายุหมุนเข้าสัมผัสกับระลอกคลื่นสีขาวแล้วพุ่งเข้ามานั้น ตาเนื้อซูหมิงเห็นคนหลายคนบนเรือนั้น

สายตาเขามองข้ามผู้อื่นข้างๆ ไป จับจ้องเพียงชายสองคน หนึ่งอบอุ่นดั่งดอกไม้ อีกหนึ่งแข็งแรงดั่งพยัคฆ์ เขามองพวกเขา รอยยิ้มบนใบหน้าเบิกบานใจอย่างพบเห็นได้ยากในพันปีมานี้

ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้น ถึงเขาจะไม่มีหัว แต่กลิ่นอายมารจากในตัวกลับหายไปทั้งหมด แต่แทนด้วยความดีใจ บางทีคนอื่นอาจยากจะสังเกตเห็น ทว่าซูหมิงมองเห็นในจุดนี้ชัดเจน

เรือเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ชายดั่งดอกไม้คนนั้นเหม่อมองร่างเงาสองคนตรงหน้า มองชายร่างสูงใหญ่ไร้หัว และยังมีคนร่างกายผอมเล็กน้อย มีใบหน้าแปลกตาอยู่ข้างๆ แต่ความตื่นเต้นในแววตากับความรู้สึกระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องทำให้ชายดั่งดอกไม้ ตัวสั่น

หู่จื่อข้างหลังเขาจ้องซูหมิงตาเขม็ง แต่ไม่นานก็หัวเราะเสียงดัง หัวเราะไปหัวเราะมาน้ำตารินไหล ก่อนขยับไหวพุ่งออกจากเรือโดดเดี่ยวพุ่งไปหาซูหมิง

หู่จื่อไม่เก่งเรื่องปกปิดความรู้สึกต่อศิษย์พี่และซูหมิงที่สุด เขาอยากร้องไห้ก็จะร้องไห้ อยากหัวเราะก็จะหัวเราะ แม้เขาจะผ่านอะไรมามาก แต่ก็ยังเปลี่ยนนิสัยซื่อตรงไม่ได้

บางทีเขาอาจจะเรียนรู้การปิดซ่อนความรู้สึกต่อคนอื่น บางทีเขาอาจะเรียนรู้การหัวเราะเสียงดังต่อหน้าคนอื่น แต่ในใจกลับปิดบังจิตสังหารเอาไว้ แต่ทุกอย่างที่ เขาเรียนกลับหายไปจนสิ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์พี่ศิษย์น้อง

เขาก้าวเท้ายาวใช้ความเร็วที่สูงสุดในชีวิตไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าซูหมิงในพริบตา สายตาพิจารณามองซูหมิงอย่างถี่ถ้วน ก่อนกอดคนแปลกหน้าในสายตาเขา กระทั่งใช้จิตสัมผัสมองก็ยังรู้สึกแปลกหน้าเอาไว้ทั้งๆ น้ำตา แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าคนตรงหน้าก็คือศิษย์น้องเล็กที่หายตัวไปนานปี และเขายังฝันถึงอยู่บ่อยๆ

รอยยิ้มนั้น แม้จะเปลี่ยนใบหน้า แต่ก็ยังเป็นรอยยิ้มของศิษย์น้องเล็ก ความตื่นเต้นในแววตา ถึงจะเปลี่ยนดวงตา ทว่าความจริงใจในความตื่นเต้นไม่มีทางที่คนนอกจะมีได้

หากไม่อยู่ยอดเขาลำดับเก้าด้วยกัน จะไม่มีทางมีรอยยิ้มและสายตาแบบนี้ สิ่งเหล่านี้แม้เปลือกนอกจะต่างกัน แต่หู่จื่อเชื่อมั่นว่าตนมองไม่ผิดแน่

“ศิษย์น้องเล็ก!” หู่จื่อน้ำตาไหลไม่หยุด เขานึกถึงตนตอนปกป้องยอดเขาลำดับเก้าบนแผ่นดินหมานเพียงลำพัง ต้องถูกคนอื่นทรมาน ขณะกำลังเจ็บปวดและรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เขาเชื่อเสมอว่าตนจะต้องปกป้องบ้าน ปกป้องอยู่ที่นั่น เพราะจะต้องมีวันหนึ่งที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเขากลับบ้าน เขาจะยอมให้พวกเขาไม่มีบ้านไม่ได้ เขาจะยอมให้ยอดเขาลำดับเก้าหายไปแล้วศิษย์พี่ศิษย์น้องเขาไม่มีที่รวมกลุ่มกันไม่ได้ เพราะเขากลัวว่าหากไม่มียอดเขาลำดับเก้าแล้ว จะไม่ได้เจอศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่กระจัดกระจายกันอีก อีกทั้งเขายังนึกถึงยอดเขาลำดับเก้าในตอนนั้น ตอนที่เขาเห็นซูหมิง กลับมา ความตื่นเต้นและร้องไห้โฮตอนนั้น หากเป็นศิษย์พี่สองคน หู่จื่อคงเอาแต่ใจตัวเองได้ คงพูดเพ้อเจ้อได้

แต่สำหรับซูหมิง เขาทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงสติปัญญาเขาจะยังเหมือนเด็ก แต่เขาคิดเสมอว่าตนคือศิษย์พี่ซูหมิง คิดเสมอว่าซูหมิงคือศิษย์น้องเล็กของตน เขายังคง จำหลักการของยอดเขาลำดับเก้าได้เสมอ!

เขากอดซูหมิงและร้องไห้โฮ

“ศิษย์น้องเล็ก เป็นศิษย์พี่หู่จื่อที่ไม่ดีเอง ตอนนั้นหากข้ามีพลังแข็งแกร่ง ข้าจะทุบตีไอ้ดวงจิตโบราณสมควรตายที่บีบบังคับเจ้าไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตให้หนักเลย!

พอเจ้าไปแล้ว ข้าก็ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง แต่ว่า…ไม่ว่าข้าจะฝึกฝนอย่างไรก็ยังคิดถึง เจ้ามาก พอนึกถึงว่าเจ้าไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตคนเดียว ข้าก็เสียใจ ข้าแทบจะ เป็นบ้า ข้าอยากฆ่าคน…” หู่จื่อพูดจาสลับมั่วไปมา เสียงดังราวฟ้าผ่า แต่ก็ดังออกไปไม่ไกลนักเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

ซูหมิงมองหู่จื่อที่กอดตัวเอง ศิษย์พี่สามหู่จื่อคนนี้คือคนที่หลังซูหมิงเข้ายอดเขาลำดับเก้าแล้วก็เดินมาตบหน้าอกและตะโกนเสียงดังว่าจะปกป้องตน ชายร่างกำยำซื่อตรงคนนี้ที่จ่ายชีวิตเพื่อยอดเขาลำดับเก้า เพื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องเขาคนนี้คือศิษย์พี่ในความทรงจำซูหมิงมาตลอด

เทียบกับความเคารพต่อศิษย์พี่ใหญ่และจนปัญญาต่อศิษย์พี่รองแล้ว ตอนนั้นที่ ซูหมิงจากไป ศิษย์พี่ที่เขาอดเป็นห่วงไม่ได้มากที่สุดก็คือหู่จื่อที่ตอนนี้กำลังกอดตนเหมือนยังไม่เติบใหญ่เสียที

กระทั่งบางครั้ง ซูหมิงยังรู้สึกเหมือนว่าตนควรจะเป็นศิษย์พี่ของหู่จื่อ ไม่ใช่ ศิษย์น้องเล็ก…

“หู่จื่อ ไม่ต้องร้อง…” ซูหมิงยิ้มและกอดหู่จื่อเอาไว้พลางพูดเบาๆ

เขาเคยพูดคำนี้มาเมื่อพันกว่าปีก่อน วันนี้พบกันอีกครั้งก็ยังพูดออกไป ทำให้หู่จื่อน้ำตาไหลเยอะกว่าเดิม และยังตบตัวซูหมิงอย่างแรงด้วยความตื่นเต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version