Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1277

ตอนที่ 1277 รังไหมกลายเป็นผีเสื้อ

นอกช่องโหว่สามรกร้าง โลกที่เก้าสิบในหนึ่งร้อยแปดสิบโลกในมหาโลก สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน โลกนี้อยู่ใจกลางสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ฟ้ากระจ่างดาวไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีแดงอ่อน ผืนฟ้าไม่มีดวงดาว แต่เป็นเส้นสีฟ้าลอยอยู่นับไม่ถ้วน

เส้นเหล่านี้ล้วนเป็นมายา เหมือนกับไม่มีอยู่ แต่ลอยเคว้งอยู่ชั่วนิรันดร์ ทำให้ฟ้าที่นี่เต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนความฝัน ต่างกับฟ้าปกติอย่างชัดเจน

แต่ขณะเดียวกัน หากเป็นคนที่อยู่ยาวที่นี่ ตอนที่ไปฟ้าข้างนอกก็จะเกิดความรู้สึกว่าฟ้าข้างนอกต่างกับฟ้าบ้านเกิดเหมือนกัน

ตอนนี้ภายในโลกที่เก้าสิบ กลางฟ้าที่เหมือนจะกว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุดมีฟองอากาศอยู่เหลือคณานับ ฟองอากาศเหล่านี้มีขนาดเล็กใหญ่ ภายในฟองอากาศขนาดราวหมื่นจั้งมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่สองคน

หนึ่งเป็นชายวัยกลางคน สวมอาภรณ์ยาวสีฟ้าแบบสบายๆ เส้นผมยาวถูกมัดเอาไว้และม้วนอยู่ตรงศีรษะ ใบหน้าขาวดั่งหยก ดูแล้วสุภาพเรียบร้อย ยิ้มมุมปาก มือขวาถือหมากตัวหนึ่งกำลังมองกระดานหมากตรงหน้าอย่างใจจดจ่อ

ตรงข้ามเขาเป็นชายชราชุดคลุมขาว ชายชราคนนี้ลูบเครา อมยิ้มมอง ชายวัยกลางคนที่เหมือนกำลังขบคิดคนนั้น

“หมากนี้ ก่อนหน้านี้เดินผิดไปหนึ่งก้าว ผิดหนึ่งตัวก็ผิดทั้งกระดาน” ผ่านไปพักใหญ่ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย เขาวางหมากในมือลงข้างๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมอง ชายชราด้วยความปลงอนิจจัง

“ให้จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยยอมรับว่าเดินผิดได้ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก” ชายชรายิ้มพลางตอบกลับ น้ำเสียงแหบแห้งและยังแฝงไว้ด้วยการไหลผ่านของกาลเวลา

“ข้าผิดตั้งแต่เล่นหมากกับผู้สูงส่งหวนคืนเสวียนจิ่วที่คงอยู่นิจนิรันดร์เพียงหนึ่งเดียวและไม่มีผู้สืบทอดมาตั้งแต่เปิดฟ้าแล้ว ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องแค้นเคืองใดๆ” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะแล้วกล่าวเย้ยเยาะตัวเองเนิบๆ

“ทว่าข้าไม่เข้าใจเล็กน้อย เหตุใดตอนที่ผู้อาวุโสเสวียนจิ่วจะลงไปสามรกร้างถึงอยากใช้จิตเล่นหมากกับข้า” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพร้อมถามออกไป มุมปากยังยกยิ้ม ทว่าแววตากลับมีประกายคมกริบประหนึ่งทำให้จักรวาลถอดสีส่องวูบออกมา

“บางทีหมากในมือเจ้าอาจจะไม่ใช่ตัวหมาก กระดานหมากที่เจ้าเห็นก็อาจจะไม่ใช่กระดานหมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…ในเมื่ออยู่ในสัญญาสองฝ่ายระหว่างเจ้ากับข้า ขั้นไม่อาจกล่าวที่จะลงไปเยือนสามรกร้างเป็นคนแรกมาจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ เช่นนั้น…ข้าก็ไม่หวังว่าจะเดินหมากผิดหนึ่งตัวแล้วผิดทั้งกระดานอีก” ชายชราเงียบไปชั่วขณะ ก่อนพูดเสียงต่ำไปเนิบๆ

“การกลับสามรกร้างเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเราสองฝ่าย เรื่องนี้จะให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้ หวังว่าจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยจะให้ความสำคัญมากๆ”

ประกายคมกริบในดวงตาชายวัยกลางคนเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม รอยยิ้มมุมปากกลายเป็นมืดทะมึนทีละน้อย

“ข้าจะทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ผู้สูงส่งหวนคืนมาชี้นิ้วสั่ง! ส่วนหมากในมือข้า…มันเป็นหมากของข้าได้ก็ถือว่าเป็นเกียรติของมันแล้ว นอกจากนี้…หมากในมือข้าถูกลิขิตไว้แล้วว่ามันคือตัวหมาก ย่อมหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้า” ชายวัยกลางคนไม่มีสีหน้าโอหัง แต่ความมั่นใจในคำพูดกลับทำให้พลังของเขาเป็นหนึ่งในจักรวาล

“หากเดินผิดหนึ่งตัวแล้วผิดทั้งกระดานล่ะ” ชายชราถามขึ้นเรียบๆ

“ต่อให้เดินผิดหนึ่งตัวผิดทั้งกระดาน แต่คนเดินหมากคือข้า ข้าจะเริ่มกระดานหมากใหม่!” ชายวัยกลางคนตอบกลับอย่างเย็นชา

“หากกระดานแตกล่ะ”

“เช่นนั้นก็หล่อกระดานใหม่มา!”

“หากตัวหมากกลายเป็นคนวางหมากล่ะ?” นัยน์ตาชายชราขยับประกายวาว เขากล่าวออกไปทีละคำ

“นั่นเป็นไปไม่ได้!” ชายวัยกลางคนตอบกลับอย่างเด็ดขาด

“บางทีเรื่องนี้อาจจะเป็นไปไม่ได้จริงๆ แต่ว่า…หากนอกจากตัวหมากนี้ยังมีอีก คนล่ะ?”

“คนที่เจ้าพูดถึงคือปลวกแห่งยอดเขาลำดับเก้าอะไรนั่นใช่หรือไม่ เจ้าคนที่ หลอมรวมกับดวงจิตโลกแท้จริงดาราสัจธรรมนั่น เขาทำเลวอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ไม่คิดเลยว่าจะกล้าหลอมรวมกับดวงจิตโลกแท้จริง ตอนนี้เกรงว่าคงจะเสียความเป็นตัวเองไปนานแล้ว ยังเรียกว่าเป็นคนได้อีกรึ?” ชายวัยกลางคนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่ามีพลังประหลาดชนิดหนึ่งแผ่มาจากที่ใดไม่รู้ในสามรกร้าง มันเปิดเป็นเส้นทางหนึ่งเชื่อมไปที่ใดไม่ทราบ ก่อนเนรเทศคนบางพวกออกไป

เจ้าทำแบบนี้ได้หรือไม่?” ชายชรามองชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ดังนั้น เจ้าถึงไม่ให้คนของเราสองฝ่ายโจมตียอดเขาลำดับเก้า แต่ให้ระงับความมุ่งมั่นในสงครามของผู้สูงศักดิ์เหล่านั้น คอยถ่วงเวลาเอาไว้” ชายวัยกลางคนยังคง สีหน้าเย็นชา ฟังจากคำพูดแล้วไม่รู้ความคิดในใจ

“หากยังไม่มั่นใจว่าเขาคนนี้หลอมรวมกับดาราสัจธรรม…หรือมาแทนที่ดาราสัจธรรมจริงๆ ข้าจะไม่ยอมล่วงเกินเขาอย่างเด็ดขาด และยิ่งไม่ยอมขยายผลสงครามให้ไปกระตุ้นโทสะของเขา ถึงตอนนั้นหากเดินหมากพลาดตัวเดียว จะต้องพลาด ทั้งกระดาน และนั่นเป็นเพราะการบัญชาการของเจ้าที่ทำให้ผู้ฝึกฌานของมหาโลก เจ้ากับข้าต้องถูกฝังในเพลิงโทสะ” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นช้าๆ

“เดินหมากพลาดหนึ่งตัวที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วไม่ได้หมายถึงเจ้า แต่เป็นตัวข้า ตัวหมากในตอนนั้น ข้าเลือกเดินผิด…แต่ตอนนี้ จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยจะลงไปยังโลกข้างล่างแล้ว ข้าไม่หวังว่าเจ้า…จะเดินพลาดต่อไป”

ชายวัยกลางคนมองชายชรา ผ่านไปนานความเย็นชาทางสีหน้าพลันหายไป กลับมาเป็นรอยยิ้มประหนึ่งในสายลมฤดูใบไม้ผลิดั่งตอนแรก เขาไม่กล่าว แต่ยืนขึ้นเดินไกลออกไป

หลังเดินไปสามก้าว ร่างเงาเขาหายไปในโลกฟองอากาศนี้อย่างไร้ร่องรอย

“เดินหมากพลาดหนึ่งตัว พลาดทั้งกระดาน…ตัวหมากไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือข้างตัวหมากยังมีคนวางหมากที่เจ้ามองไม่เห็นอยู่อีก” ชายชราขมวดคิ้วพลางถอนหายใจเบา เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ สีหน้าเด็ดขาดขึ้นทีละน้อย

ขณะเดียวกันในมหาโลกเงามืดรุ่งอรุณ ภายในผืนฟ้ามืดมิดแห่งหนึ่งตรงใจกลาง มีแดนกระดูกสีขาวน่าสะพรึงอยู่แห่งหนึ่ง กระดูกที่นี่มีมากมายมหาศาล จำนวนยากจะนับไหว ตรงยอดเทือกเขากระดูกขาวแห่งนี้มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง

ชายคนนี้ก็คือคนที่อยู่ในโลกฟองอากาศก่อนหน้านี้ เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ภายในนั้นเป็นประกายสีขาว มุมปากยังยิ้มเยาะ

‘เสวียนจิ่วอยู่มานานเกินไป เขาเป็นเหมือนกับภูเขาที่เสียความสามารถไปกลายเป็นภูเขาไร้ยอด…กับอีแต่ยอดเขาลำดับเก้าเล็กจ้อย กับอีแต่คนที่กล้าหลอมรวมกับดวงจิตดาราสัจธรรมคู่ควรให้สนใจขนาดนี้รึ?

เขาไม่ใช่ตัวหมากของข้า และก็ไม่คู่ควรจะเป็นตัวหมากของข้า ตัวหมากของข้า…อยู่โลกจักรพรรดิยมโลก’ ชายวัยกลางคนยืนขึ้นช้าๆ ระหว่างก้าวเดินเทือกเขา กระดูกขาวส่งเสียงดังก้อง ทั้งเทือกเขาเกิดเสียงดังสนั่นและยังขยับไหวพร้อมกัน กลายเป็นทะเลกระดูกขาวหมุนม้วนอยู่ใต้เท้าชายคนนี้ ซ้ำยังถาโถมไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปยัง…ช่องโหว่สามรกร้าง

…….

ตอนที่ไฟสงครามลุกลามอยู่ในมหาโลกสามรกร้าง น้ำวนมรณะหยินยังคงหมุนโคจร ภายในเหมือนมีพลังประหลาดอย่างหนึ่งทำให้คนจากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนทั้งหมดยากจะเข้าไปได้

เหมือนกับตอนภัยพิบัติบรรพชนวิญญาณในตอนแรก ต่อให้ภัยพิบัตินี้เข้าไปในน้ำวนมรณะหยินได้ แต่ก็ต้องถูกลดกำลังลง

น้ำวนมรณะหยินยังคงเป็นความลับในสายตาผู้คนดั่งอดีต เหมือนว่ามันจะหมุนโคจรอยู่ชั่วนิรันดร์

ตรงส่วนลึกของน้ำวนมรณะหยิน ภายในกระจกที่สอดคล้องกับสามรกร้าง กลางมหาโลกซางเซียง ตอนนี้ทั้งโลกเข้าสู่ความเงียบ การโคจรทุกอย่างหยุดนิ่ง มีเพียง…รังไหมที่แปลงจากซูหมิงหลังจากที่ตัวเขาอีกคนที่เป็นบุตรแห่งซางหายไปตรงจุดที่ต่อสู้กับตัวเองอีกคนในโลกนี้ภายในโลกแท้จริงดาราโบราณ

รังไหมนี้มีความสูงเพียงไม่กี่สิบจั้ง มองไกลๆ ดูไม่เตะตาเลย ในนั้นไม่มีแรงกดดันอะไรแผ่มา และยังไม่มีพลังน่าตะลึงใดๆ ดูธรรมดาอย่างยิ่ง

ทว่าข้างรังไหมกลับมีดวงจิตซางเซียงที่ลงมาเยือนด้วยตัวเองอย่างพบเห็นได้ยาก มันวนเวียนอยู่รอบๆ ใช้การหยุดของทั้งมหาโลกเป็นการขวางการรบกวนจากภายนอกทุกอย่าง มันกำลังสนใจ เมื่อเวลาผ่านไปทีละวัน การปกป้องและความปรารถนาของมันก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

มันไม่ยอมให้รังไหมของซูหมิงเกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ มันไม่ยอมให้ซูหมิงล้มเหลว เพราะว่าในการเฝ้ารอคอยของมัน การปรากฏตัวของซูหมิง การหลอมรวมกับ บุตรแห่งซางรวมถึงดวงจิตที่มีสองโลกแท้จริง ทุกอย่างเหล่านี้เต็มไปด้วยจำนวน ตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงได้

ในความทรงจำมัน ซูหมิงไม่ใช่บุตรแห่งซางที่ถูกหลอมรวมคนแรก แต่เป็นคนแรก… ที่มีดวงจิตสองโลกแท้จริงหลอมรวมกับบุตรแห่งซาง

นี่ต่างกับทุกเรื่องในอดีตในด้านความหมายอย่างสิ้นเชิง กระทั่งในความรู้สึกของดวงจิตซางเซียง บุตรแห่งซางมิใช่บุตร แต่เป็นทาสรับใช้ ต่อให้เป็นคนจากสามรกร้างที่หลอมรวมกับทาสคนนี้ก็ยังต้องเป็นทาสรับใช้ต่อไป หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนเป็น สามรกร้าง มันถึงจะไม่สนใจ

ทว่าซูหมิง เพราะเขายึดครองดาราสัจธรรม เพราะเขามีโลกแท้จริงพรรคเซียน ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏหลังหลอมรวมกับบุตรแห่งซางถึงได้เป็นรังไหม และเพราะเป็น รังไหมนี่เอง…ในด้านความหมายบางอย่าง ซูหมิงในรังไหมจึงมีพลังแบบเดียวกับ ซางเซียงและสามรกร้าง กระทั่งยอมรับได้ว่าเป็นหนึ่งเผ่าพันธุ์!

ดังนั้นซางเซียงถึงสนใจ!

มันเหมือนเห็นความหวังรางๆ ในตัวซูหมิง นี่คือครั้งแรกที่มันเห็นความหวังในรอบไม่รู้กี่ปีมานี้ ในการเปลี่ยนแปลงไม่รู้กี่ยุคสมัย

ความหวังได้กลับบ้าน!

ความหวังที่มันได้ยินเสียงเรียกจากบ้านหลายครั้ง ทว่าไม่อาจกลับไปได้ในยุคสมัยมากมายที่ยากจะนับไหว ตอนนี้ความหวังขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ถึงมันจะเป็นดวงจิตของมหาโลกซางเซียง แต่ความหวังที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ยังทำให้ ดวงจิตมันสั่นไหว

มันต่างกับสามรกร้าง เทียบกับสามรกร้างที่เย็นชาจนแทบจะเฉยชาแล้ว มันมีอารมณ์ความคิดแบบคน ดังนั้นที่นี่ถึงมีบุตรแห่งซางสามคน แต่มหาโลกสามรกร้างก็ไม่เคยมีผู้ฝึกฌานแบบนี้มาก่อน

เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานนัก…

จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเสียงกึกเบาๆ ตอนที่เสียงดังในฟ้าเงียบสงัด ดวงจิตซางเซียง วนเวียนรอบรังไหมนี้อย่างคึกคัก เสียงกึกๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าในรังไหมมีบางสิ่งกำลังแตกออกมาจากข้างใน

รอยแตกลุกลามไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดเปลือกนอกรังไหมเกิดรอยร้าวถี่ยิบสายหนึ่ง รอยร้าวลามออกไปช้าๆ จนกระทั่งเสียงกึกๆ ไพเราะดังชัดยิ่ง รอยร้าวนั้นต่อกันเป็นหนึ่งเส้นแล้ว ไม่มีแสงใดเปล่งออกมา แต่กลับมองเห็นข้างในจากรอยร้าวเส้นนี้

เห็นว่าข้างในมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหลับตาอยู่ ชายหนุ่มคนนี้เปลือยกายทั่วร่าง กำลังหลับใหลนิ่งๆ อยู่ในรังไหม มีเส้นผมสีดำ ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว ตรงระหว่างคิ้วมีดวงตาที่สาม ดวงตาที่สามนี้ไม่ได้ตั้งขึ้น แต่เป็นรอยแยกแนวยาวสายหนึ่ง ในนั้นมีเส้นตั้งขึ้นอยู่หนึ่งเส้น…

เส้นตั้งขึ้นนั้นเหมือนกับรอยกรีดเชื่อมไปทั้งดวงตาที่สาม

ดูแล้วเหมือนกับตัวเลขสิบ(十) แต่ตอนที่ซูหมิงลืมตาขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สามเปิดออกนั้น เลขสิบนี้คล้ายกับ…ผีเสื้อกางปีกตัวหนึ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version