Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1337

SVTASR

ตอนที่ 1337 โลกที่สี่

หมอกในเส้นทางเลือดเนื้อค่อยๆ หายไปจนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้มองไป หมอกในเส้นทางเลือดเนื้อเหลือไม่มาก น้อยจนมองข้ามได้

พิษแห่งตัณหาในตัวซูหมิงถูกสลายไปในตัวเขาแล้ว ไม่เกิดผลใดๆ อีก ในดวงตาไม่มีสีแดง มองไปดูสุขุม กระทั่งความรู้สึกสุขุมนี้เด่นชัดกว่าตอนที่ซูหมิงเข้ามา เส้นทางเลือดเนื้อ

มีเพียงจื่อรั่วที่ร่างกายยังคงเป็นสีชมพู พิษแห่งตัณหาในตัวไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง แต่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงพลังและชีวิต ที่พิษแห่งตัณหารุนแรงต่อตัวนางเช่นนี้ก็เพราะว่าเกิดผลย้อนกลับ

แม้นางจะบรรลุถึงขั้นไม่อาจกล่าว แต่ก็ยังไม่อาจทำลายผลย้อนกลับที่ว่าไปได้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นพลังที่รวมทั้งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ รวมคำสาปของผู้สูงส่งหวนคืน สามคน ประกอบกับการผนึกเส้นทางของสามรกร้างเลยทำให้พิษสั่งสมมากจนเกินไป

ซูหมิงมองจื่อรั่วก่อนยกมือขวาขึ้นกดตรงระหว่างคิ้วนาง เมื่อกดไปจื่อรั่วพลันตัวสั่น จากนั้นบนตัวนางเกิดเป็นเส้นเล็กสีชมพูจำนวนมาก เส้นเล็กเหล่านี้เหมือนลอยอยู่ใต้ผิวหนังปานเส้นเลือด และกำลังรวมไปที่ระหว่างคิ้วนาง

ตอนที่มองไป ตัวจื่อรั่วเหมือนถูกปกคลุมด้วยตาข่ายสีชมพู เมื่อเวลาผ่านไปราวหลายลมหายใจต่อมา เส้นเล็กสีชมพูเหล่านี้ก็ไปรวมที่ระหว่างคิ้วจื่อรั่ว จุดที่ซูหมิงใช้นิ้วสัมผัสกลายเป็นจุดสีชมพู

ซูหมิงยกมือขวาขึ้น มีเส้นสีชมพูเส้นหนึ่งเชื่อมกับนิ้วมือ พอถูกดึงออกจากระหว่างคิ้วแล้วก็กลายเป็นหมอกหายไปในนิ้วเขา

จนถึงตอนนี้ร่างกายจื่อรั่วถึงกลับมาเป็นปกติ แต่ใบหน้ากลับซีดขาวยิ่ง มีความรู้สึกตัวสั่น เหมือนอยากจะลืมตาขึ้น แต่กลับรู้สึกถึงพลังหนักหน่วงอย่างหนึ่ง คล้ายกับว่าแม้แต่แรงลืมตายังไม่มี ร่างกายอ่อนแรงล้มลงที่ตัวซูหมิง

ซูหมิงยืนขึ้น โบกมือไปที่ตัวจื่อรั่ว เมื่อสวมอาภรณ์บุรุษของเขาในนางแล้วก็ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนใช้มือซ้ายกดตรงหน้าผากนาง เพียงกดไป มีพลังนุ่มนวลทะลักเข้าไปในตัวนาง ฟื้นฟูทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

พลังนุ่มนวลจากซูหมิงชนิดนี้ทำให้สิบกว่าลมหายใจต่อมาจื่อรั่วตื่นขึ้น อีกทั้งพลังยังไม่หายไปมากนัก เมื่อทำเหล่านี้เสร็จ ซูหมิงจึงคลายมือที่ประคองนางออก ก่อนหมุนตัวเดินไปยังส่วนลึกของเส้นทางเลือดเนื้อ

ด้วยความเร็วของเขาพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ร่างจื่อรั่วลอยอยู่ในเส้นทางเลือดเนื้อ ข้างนอกมีแสงนุ่มนวลกระจายออก วนเวียนรอบตัว สิบลมหายใจต่อมา แพขนตานางสั่นไหว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่ ลืมตา นัยน์ตาฉายแววสับสน แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นตื่นตัว ยืนขึ้นอย่างว่องไวมองไปรอบๆ

โดยรอบเป็นพื้นที่กว้างโล่ง นอกจากผนังเส้นทางเลือดเนื้อแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พอเห็นดังนั้นนางก็สังเกตเห็นว่ารอบตัวมีแสงนุ่มนวลอยู่หนึ่งชั้น อีกทั้งพอนางตื่น ขึ้นแล้ว แสงนี้ก็ค่อยๆ จางลงหายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันจื่อรั่วยังเห็นว่าตนเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์ของบุรุษ…นางงุนงง ก่อนใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาโดยพลัน ความทรงจำนางหยุดอยู่ที่ตอนถูกพิษแห่งตัณหาเล่นงาน จำได้รางๆ ว่าตนฉีกอาภรณ์ เหมือนยังกอดใครคนหนึ่งด้วย

ขณะเงียบอยู่นี้ นางไม่เห็นซูหมิงที่นี่ จึงมีสีหน้าซับซ้อนทีละน้อย เมื่อก้มหน้าสำรวจตัวเองแล้ว ความซับซ้อนกลับกลายเป็นจิตตก

นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่ตนเสียจิตสำนึกไป แต่จากการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังได้สติ นางเลยคาดเดาได้เล็กน้อย ตอนนี้ถอนหายใจเบา ก้มหน้ามองไปยังส่วนลึกของเส้นทางเลือดเนื้อแวบหนึ่ง นางรู้สึกว่าซูหมิงน่าจะยังไม่ได้ไป แต่กำลังลงไปข้างล่างตามเป้าหมาย

ขณะถอนหายใจ จื่อรั่วกัดริมฝีปากล่าง ไม่ได้ตามซูหมิงต่อ แต่หมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งบินขึ้นไปยังทางออกเส้นทางเลือดเนื้อ นางรู้สึกว่าไม่กล้าเผชิญหน้ากับซูหมิงเล็กน้อย จึงได้แต่จากไป

ซูหมิงสังเกตเห็นว่าจื่อรั่วฟื้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้หันมามองแม้แต่น้อย ใจสงบนิ่ง ดั่งสายน้ำ กลายเป็นสายรุ้งยาวบินลงไปข้างล่างในเส้นทางเลือดเนื้อ เหมือนกับตอนนั้นในแดนมรณะหยิน ขณะห้อเหยียดไปไม่หยุดก็เห็นสุดทางของเส้นทางเลือดเนื้อ

ที่นั่น…ยังมีวงแหวนอาคมหนึ่ง

วงแหวนอาคมนี้มีแปดมุม พอเข้าไปใกล้ก็ขึ้นไปบนวงแหวนอาคม ก้มหน้ามองแล้วยกเท้าขวาเหยียบลงเบาๆ ทันใดนั้นวงแหวนอาคมสั่นไหว มีแสงมากมายปรากฏขึ้นรอบตัว เมื่อจมร่างเขาไปแล้ว วงแหวนอาคมหมุนโคจร ครู่ต่อมาเกิดเสียงครึกโครมดังขึ้นพร้อมกับร่างเขาหายวับไป

ตอนที่ปรากฏร่างเงาซูหมิงอีกครั้ง มีเสียงดังสนั่นไม่มีสิ้นสุดดังแว่วมาข้างหู เสียงเหล่านี้เหมือนมีอยู่ที่นี่มานานไม่รู้กี่ปีแล้ว จึงเกิดเป็นเสียงดังก้องไม่มีสิ้นสุด ทำให้พอมาที่นี่เป็นครั้งแรกจะเกิดความรู้สึกหลอนว่าทั้งมวลอากาศกำลังคำราม

ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาว เขามองไปรอบๆ สิ่งที่เห็นคือผืนฟ้า แต่กลับรู้สึกแปลกตากับผืนฟ้าที่นี่ยิ่งนัก!

กลางฟ้ามวลอากาศ เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีอะไรชนกัน แต่เสียงดังก้องนั้นกลับให้ความรู้สึกว่าจะไม่มีวันเบาลง

นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยเสียง ซูหมิงไม่เคยพบโลกแบบนี้มาก่อน ตอนนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งยังรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ในโลกนี้ นี่คือ มหาโลกสมบูรณ์แบบที่ไม่มีการแยกออก

ซูหมิงละสายตากลับจากรอบๆ โลกแปลกตา หากเป็นตอนที่ยังไม่มีพลังมากพอ ก็คงต้องระวังตัว แต่ซูหมิงในตอนนี้ เขาไม่ต้องทำแบบนั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือเข้าใจโลกนี้ให้เร็วที่สุด ดังนั้น…เขาจึงขยายดวงจิตออกไปทันที

ความแกร่งของดวงจิตประหนึ่งฟ้าผ่า แผ่กระจายออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง จุดที่ผ่านร่องรอยทุกสิ่งมีชีวิตจะต้องตกใจกลัวดวงจิตทรงพลังของเขา

ตอนนี้เองภายในโลกที่สี่ บนแผ่นดินใหญ่แตกพังที่ลอยอยู่ มีโลงศพปักอยู่บนพื้นดินหนึ่งโลง ความใหญ่ของโลงไม้นี้ทะลวงผ่านแผ่นดินใหญ่ เผยส่วนข้างล่างออกมาเกือบครึ่งท่อน

มองไกลๆ โลงไม้นี้ดูน่าตกใจอย่างยิ่ง แทบเป็นทันทีที่ดวงจิตซูหมิงพุ่งตรงเข้ามา พลันมีเสียงคำรามต่ำดังแว่วมาจากในโลง ขณะเดียวกันมีเสียงครึกโครมดังก้องมาจากภายใน สุดท้ายเกิดเสียงดังปัง แขนใหญ่ข้างหนึ่งทำลายฝาโลงยื่นออกมา แขนข้างนั้นดำทึบ เล็บมือสีแดง ไม่ใช่มีห้านิ้วแต่มีหกนิ้ว!

ขณะเดียวกันในโลกที่สี่ กลางมวลอากาศมีโครงกระดูกร่างหนึ่งลอยอยู่ ทั่วร่างโครงกระดูกแห้งเหี่ยว เหมือนตายมาแล้วไม่รู้กี่ปี แต่ช่วงที่ดวงจิตซูหมิงลากผ่าน ภายในดวงตาหยั่งลึกของโครงกระดูกนี้เกิดแสงหม่นสองสาย จากนั้นโครงกระดูกถึงลุกขึ้นนั่งช้าๆ

“เลือด…เนื้อ…” ชั่วขณะที่เสียงแหบแห้งเข้าใจยากดังเสียดสีมาจากปาก พลันมีกลิ่นอายพลังยากจะบรรยายปะทุขึ้น

พื้นที่ห่างจากที่นี่ไปไกลยิ่ง มีดาวดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้เต็มไปด้วยพืชสีเขียว มองไปเหมือนกับดาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ด้านบนมีเมืองหลายแห่ง มีคนธรรมดาและผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนสืบเชื้อสายกันที่นี่มานาน

บนดาวดวงนี้มีภูเขาลูกหนึ่ง มันดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรพิเศษ บนกึ่งกลางภูเขามีวัวและแกะ และยังมีเด็กน้อยสวมเสื้อยืดตัวเล็กคนหนึ่งถือกระบองเล็กกำลังพิงอยู่บนหินก้อนใหญ่ มองฟ้าครามเมฆขาวพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข

ทว่าตอนที่ดวงจิตซูหมิงลากผ่าน เด็กคนนี้ตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เงยหน้าจ้องฟ้าตาเขม็ง ชั่วพริบตาที่เขามองฟ้า…ดาวแท้จริงดวงนี้เกิดเรื่องประหลาดยิ่งขึ้น ผู้ฝึกฌานทั้งหมด คนธรรมดาทั้งหมด ทุกสิ่งมีชีวิตหยุดนิ่ง ร่างกายยังเกิดเค้ารางบิดเบี้ยวจะหย่อนยาน

จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่เด็กคนนั้นหรี่ตาก้มหน้าลง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวดวงนี้ถึงกลับมาเป็นปกติ

‘เป็นดวงจิตใคร หรือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งยุคก่อนตื่นขึ้นในไม้เทพ?’

กลางฟ้าที่ห่างจากที่นี่ไปไกลมาก มีซุงไม้ยักษ์ท่อนหนึ่ง ความใหญ่ของซุงไม้นี้เหมือนจะเทียบได้กับหนึ่งโลกเล็กในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน

บนไม้เทพนี้มีปากถ้ำอยู่แน่นขนัด ยามนี้เมื่อดวงจิตซูหมิงลากผ่าน พลันมีเสียงคำรามดังสนั่นฟ้าแว่วมาจากในไม้เทพ ทั้งยังมีแรงสะท้อนกลับกระจายมาจากในตัว ไม้เทพ ทำให้ดวงจิตซูหมิงสะเทือน จนเขามองไม่เห็นโครงสร้างในไม้เทพ

อีกด้านหนึ่ง บางแห่งในโลกนี้มีช่องโหว่ยักษ์แห่งหนึ่ง นอกช่องโหว่นั้นจะเห็นว่าเป็นจักรวาลกว้างใหญ่…

เมื่อซูหมิงขยายดวงจิตไป หลายลมหายใจต่อมานัยน์ตาเป็นสมาธิ

‘โลกนี้…ไม่มีดวงจิต!’ ภายในมหาโลกนี้ ซูหมิงไม่สัมผัสถึงดวงจิตแม้แต่น้อย ที่นี่ไม่มีดวงจิตซางเซียง และก็ไม่มีของสามรกร้าง เหมือนว่านี่คืออาณานิคมที่ดวงจิตใหญ่สองดวงนี้เสียไป

แม้แต่จิตสำนึกของโลกเบาบางที่เกิดเพราะความคิดนั้นยังไม่มี นี่อธิบายได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่นี่มีไม่มาก ดังนั้นเลยไม่เกิดจิตสำนึกที่รวมขึ้นจากความคิดของเผ่าพันธุ์

‘ที่นี่…เป็นโลกของปีกที่สี่จริงๆ!’ ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ เขาไม่ได้สนใจเสียงครึกโครมรอบตัวที่ดังไม่หยุด ไม่สนใจผู้แข็งแกร่งแต่ละคนที่โผล่มาในความคิดเหล่านั้น รวมถึงไม้เทพที่เขาใช้ดวงจิตตรวจสอบไม่ได้ด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…ซูหมิงเห็นช่องโหว่ออกไปจักรวาลกว้างใหญ่!

นี่คือหนึ่งมหาโลก!

ขณะซูหมิงตรึกตรองก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองมวลอากาศไกลๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ในเมื่อมาตั้งนานแล้ว ก็ไม่เห็นต้องสังเกตการณ์แซ่ซูต่อเลย”

สิ้นเสียง พลันมีเสียงดังสนั่นเหนือกว่าเสียงครึกโครมอื่นๆ ดังแว่วมาจากในมวลอากาศฟ้ากระจ่างดาวตรงจุดที่เขามองอยู่ ก่อนปรากฏคนชุดคลุมดำคนหนึ่งท่ามกลางเสียงโครมคราม

คนนี้ก็คือ โยวหมิง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version