ตอนที่ 1336 โยวหมิง
“นี่คือจิตใจเปลี่ยน” ซูหมิงหลับตาลง น้ำเสียงแหบเล็กน้อย มีไอความร้อนไร้รูปกลุ่มหนึ่งเผาอยู่ในลำคอ
เขาไม่ได้ขยับ แต่ปล่อยให้จื่อรั่วนั่งคร่อมอยู่บนตัว ไม่ว่านางจะอ้อนวอนอย่างไร ซูหมิงก็ไม่ขยับ เขาอาศัยสติที่เหลืออยู่ผลักให้นางออกไปได้ แต่เขาไม่ทำ
อาภรณ์เขายังอยู่ครบ ทันทีที่หลับตาลง เขาไม่ได้นั่งฌานต่อ แต่สำรวจภายในร่างกายตัวเอง สำรวจจิตใจตน
เขารู้สึกว่าภายใต้พิษแห่งชีวิตนี้ ร่างกายเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วยิ่ง เปลี่ยนจนต่างกับอดีตอย่างสมบูรณ์ อารมณ์ยังผันแปรได้ง่ายขึ้น ไม่เย็นชาอีก
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไร ซูหมิงก็ยิ่งรักษาความสงบในใจได้มากเท่านั้น เหมือนกับตอนนั้นบนยอดเขาลำดับเก้า เขานั่งอยู่บนหน้าผาโดดเดี่ยวตอนจิตใจเปลี่ยนครั้งแรก นั่งอยู่อย่างนั้นเกือบเดือน
เขาในตอนนั้นกำลังตามหาวิธีให้ตนสงบนิ่ง กำลังตระหนักรู้จิตใจเปลี่ยนของเขา เขาในตอนนี้ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ยังคงกำลังตระหนักรู้
เพียงแต่สิ่งที่รบกวนเขาในตอนนั้นคือ สายลมภูเขา เป็นความว้าวุ่นในใจตัวเอง แต่ตอนนี้…สิ่งที่รบกวนคือ พิษในใจ คือจื่อรั่วร่างงามที่กำลังหอบหายใจบนตัวเขา
ความคิดซูหมิงว่างเปล่าทีละน้อย ไม่สนใจทุกอย่างรอบตัวอีก แต่ตกอยู่ในห้วง จิตวิญญาณ บางครั้งมองจิตใจตัวเองเป็นทะเลคลื่นลูกใหญ่ บางครั้งสูงเทียมฟ้าราวกับเปลวเพลิง บางครั้งสงบนิ่งปานน้ำนิ่ง ในระหว่างจิตใจต่างๆ เหล่านี้ เขาทำการตระหนักรู้จิตใจเปลี่ยนของตัวเอง ผลัดเปลี่ยนจิตใจตัวเอง ทำความเข้าใจ…กับเต๋าที่เขาบอกไม่ถูก แต่คลำหาพบรางๆ
เต๋า ต้องใช้มารจากภายนอกมาหล่อหลอม เหมือนกับจิตใจเปลี่ยน ต้องใช้เหตุภายนอกมารบกวน หากไม่อาจยืนหยัดได้ก็จะหยุดอยู่กับที่ไปชั่วชีวิต หากข้ามไปได้จิตใจจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งถึงขอบเขตพลังที่ไม่เปื้อนฝุ่นละออง
ตอนนี้ซูหมิงใช้สติเสี้ยวหนึ่งที่เหลืออยู่ในใจผลักจื่อรั่วได้ แต่เขาไม่ทำ ในเมื่อมี มารจากภายนอก ในเมื่อมีการรบกวนแล้ว เช่นนั้นด้วยนิสัยของซูหมิง…เขาเลยปล่อยให้เข้ามา ปล่อยให้รบกวน เป็นการหล่อหลอมตัวในระหว่างการถูกรบกวน มองฟ้าอยู่ในเหวลึก…ต้อนรับชีวิตใหม่ในเปลวเพลิง
ข้าอยู่ในคืนมืด มองแสงสว่าง เขาไม่ปรารถนาจะให้แสงสว่างมาถึง ข้าหวังเพียง…กลายเป็นเงามืดที่แม้แต่คืนมืดก็ย้อมสีข้าไม่ได้!
ข้าไม่ชอบแสงสว่าง อย่างเช่นสีขาวที่ข้าในอดีตมองไม่เห็นฟ้า สีดำที่มองไม่เห็นกลางคืน อย่างเช่นสวรรค์วางม่านตรงหน้าข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงตะวัน แต่หวังเพียงกลายเป็นต้นกำเนิดเงามืดแห่งจักรวาลในคืนมืดนั้น
ภายใต้แสงตะวันที่ข้าอยู่ แสงสว่างจะต้องถูกขับไล่ไปเพราะข้า ในคืนมืดที่ข้าอยู่ ฟ้ายามค่ำคืนต้องจางลงเพราะข้า เพราะข้าต่างหากที่อยู่กลางฟ้า เพราะข้าเป็นเงามืดเพียงหนึ่งเดียวในผืนฟ้าและจักรวาลทั้งหมด!
นี่ก็คือข้า…ซูหมิง!
ชีวิตข้าคือชีวิตแห่งการยึดร่าง ชีวิตข้าคือชีวิตที่คนอื่นลอกแบบไม่ได้ ชีวิตข้า… ยังเป็นชีวิตที่ตามหาเงามืด!
ข้าสังหารคนได้นับไม่ถ้วน ข้าทำลายล้างจักรวาลได้ ข้าให้ฟ้ายามกลางวันกลายเป็นคืนมืดได้ ให้เงามืดลงมาเยือนแผ่นดิน แต่ในใจข้ามีแสงสว่างอยู่ส่วนหนึ่ง ชั่วนิรันดร์ นั่นมอบให้กับญาติพี่น้อง ให้กับสหายและคนรักของข้า…
จิตใจซูหมิงวนเวียนอยู่ในความคิดเงียบๆ เหมือนหาทิศทางการผลัดเปลี่ยนพบแล้ว ทำให้คลื่นทะเลสูงใหญ่สงบลง ทำให้เปลวเพลิงสูงเทียมฟ้าอ่อนลง และยังทำให้จิตใจราวกับน้ำนิ่งเกิดการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ
ใครบอกว่าต้องมีแสงถึงจะเคลื่อนไหวได้ ใครบอกว่ามีเพียงผู้สูงศักดิ์ถึงจะมีคุณธรรมสูงส่ง ข้าในเงามืดก็ให้ดวงจันทร์เปลี่ยนเป็นตะวันได้ และก็ให้แสงสว่างเป็นคืนมืดได้เช่นกัน!
จิตใจซูหมิงสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้น ไม่ใช่หลับตาไม่มองจื่อรั่วน่าหลงใหลอีก เพราะการหลับตาคือการหนี มีเพียงผู้อ่อนแอไม่กล้าเผชิญหน้าเท่านั้นที่ไม่กล้าลืมตาเพราะกลัวรบกวนจิตใจ
ซูหมิงต้องลืมตามองโลกที่คนอื่นมองไม่เห็น การจะมีจิตใจแน่วแน่อย่างนี้ต้องมีการตัดสินใจเผชิญหน้ากับจิตใจเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด ดังนั้น…ข้าต้องลืมตามอง มารที่มารบกวนข้านั้น!
ซูหมิงจื่อรั่วตรงหน้า มองร่างกายเว้านูนน่าลุ่มหลงอยู่บนตัวตน เสียงหอบหายใจอ้อนวอนและการขึ้นลงของนาง แต่เขากลับมีสีหน้าเย็นชาราวกับเงามืดในค่ำคืน หากเปรียบจื่อรั่วสีชมพูทั่วร่างเป็นแสงสว่าง เช่นนั้นนี่ก็เป็นการต่อสู้กันระหว่าง แสงสว่างกับเงามืด
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ซูหมิงไม่ขยับตัว แน่นิ่งทุกส่วน เพียงมองทุกอย่างตรงหน้า จิตใจสงบบลงทีละน้อย พิษในร่างกายเหมือนหาโลหิตที่จะให้เดือดพร่านไม่พบ ทำได้เพียงแห้งเหี่ยวอยู่ในร่างกาย จนกระทั่งเสียแรงมีชีวิตชีวาทั้งหมดไป จนกระทั่งถูกละลายอยู่ในตัวเขา
เขาไม่สนใจว่าจะเกิดความสัมพันธุ์ดั่งคู่ชีวิตกับจื่อรั่วหรือไม่ แต่สิ่งที่สนใจคือ ตนจะไม่ยอมถูกพิษครอบงำ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ยอมให้จิ้งจอกน้อยคนนี้เป็น ฝ่ายกระทำ
หมอกภายในเส้นทางเลือดเนื้อรอบๆ ค่อยๆ หายไป เหมือนว่าอีกไม่นานก็จะหายไปทั้งหมด ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น มองจื่อรั่วตรงหน้าอย่างสงบนิ่งด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย สีแดงในดวงตาเริ่มหายไปแล้ว กลิ่นอายพลังเขามีแนวโน้มจะเสถียรภาพ เมื่อจิตใจเปลี่ยน เมื่ออารมณ์ซูหมิงสงบลง เขา ข้ามผ่านปราการบางอย่างของตนไปแล้ว
สายตาคู่หนึ่งที่มองมาจากอากาศอย่างไร้รูปเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน สายตานี้เหมือนหลอมรวมกับอากาศ เหมือนมีอยู่ทุกที่ ต่อให้เป็นในเส้นทางเลือดเนื้อ ก็เหมือนว่าหากเจ้าของสายตานี้อยากเห็น ก็จะไม่มีความจริงใดที่เขามองไม่เห็น
เขาเห็นความสงบนิ่งของซูหมิง และก็เห็นว่าในตัวซูหมิงเกิดกลิ่นอายพลังที่แม้แต่เขายังรู้สึกว่าคมกริบ กลิ่นอายพลังนี้เป็นเพียงความรู้สึก มาจากความยึดมั่นต่อเงามืดในใจซูหมิง
จนกระทั่งซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองมวลอากาศข้างบนอย่างสงบนิ่ง ตอนนี้เองเจ้าของสายตาคู่นั้นก่อนหน้า ตอนนี้อยู่ตรงช่องโหว่ใกล้กับจักรวาลกว้างใหญ่ในโลกที่นี่ หรือก็คือ ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือโบราณที่ซ่อนตัวอยู่
สายตานั้นเป็นของเขา!
ทันทีที่ซูหมิงมองไป ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงใจสั่นสะท้านเป็นครั้งแรก เพราะในสายตาเขา ซูหมิง…เหมือนสบตากับเขาผ่านมวลอากาศ ประหนึ่งว่าจ้องตากัน
พริบตาที่สองคนสบตากันอย่างไร้รูป ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงตัวสั่น เรือโบราณที่ถูกซ่อนเอาไว้เหมือนจะสั่นไหวตามตัวเขา ก่อนกลายเป็นบิดเบี้ยวจากสภาวะซ่อนตัว สุดท้ายก็ปรากฏอยู่ตรงช่องโหว่ของจักรวาลกว้างใหญ่กับปีกซางเซียงอีกครั้ง
“ร้ายกาจมากซูหมิง ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ อีกทั้ง…เกรงว่าคงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ในมหาโลกซางเซียงด้วย!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบิดเบี้ยวพร้อมเผยตัวออกมาแล้วพูดขึ้นเบาๆ
“วิชาจิตใจเปลี่ยน วิชานี้มีเงื่อนงำมาจากเทียนเสียจื่ออย่างชัดเจน เดิมทีชะตาลิขิตไว้ว่าเทียนเสียจื่อต่างห่างที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของยุคนี้ แต่เพราะการรบกวนของข้า จิตใจเปลี่ยนของเทียนเสียจื่อล้มเหลว…แต่ไม่นึกเลยว่าศิษย์เหล่านี้ของเขาจะสำเร็จไปทีละคน จนกระทั่งซูหมิงคนนี้…
จิตใจเปลี่ยนครั้งนี้ ข้ารู้สึกถึงความน่ากลัวจากตัวเขา…กลิ่นอายพลังนี้ สมควรตาย กลิ่นอายพลังนี้…มีจุดที่คล้ายกับเสวียนจั้งผู้น่ากลัวคนนั้นอยู่หลายส่วน!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหรี่ตาแคบลงอย่างพบเห็นได้ยาก แต่ไม่ได้ละสายตากลับ เขาจ้องมวลอากาศตลอด จ้องซูหมิงในเส้นทางเลือดเนื้อ
แต่ซูหมิงไม่ก้มหน้าลง เขายังคงมองอากาศอยู่แบบนั้น
“สมกับเป็น…เผ่าพันธุ์ที่ร่วมสายเลือดข้า ถูกข้าปรับแก้และชี้นำ โยวหมิง!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงเงียบไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้นช้าๆ ขณะเดียวกันกลางฟ้าที่มีเสียงดังสนั่นไม่หยุดตรงหน้าเขาก็เกิดเสียงครกโครมสะเทือนฟ้าดินขึ้น ท่ามกลางเสียงโครมครามนี้เหมือนปรากฏร่างเงาหนึ่ง
นั่นคือ คนชุดคลุมดำ ทั้งอาภรณ์และความรู้สึกเหมือนกับคนชุดคลุมดำสามคนนั้นก่อนหน้านี้ทุกประการ
เขาปรากฏตัวภายในเสียงระเบิดดังสนั่น ปรากฏกายกลางอากาศ พอปรากฏตัวแล้วก็ประสานมือคารวะผู้เฒ่าเมี่ยเซิง
“นี่คือชนรุ่นหลังของเผ่าเจ้า กระทั่งหากนับตามความอาวุโสแล้ว เขายังต้องเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษ…ในเมื่อเขามาแล้ว เจ้าก็ไปพบเขาหน่อย ข้าต้องการ…โลหิตเขา หนึ่งหยด!” ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงพูดขึ้นเรียบๆ
คนชุดคลุมดำคนนั้นเงียบ เพียงแค่ประสานมือคารวะผู้เฒ่าเมี่ยเซิงลงลึก ตอนที่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในชุดคลุมดำเห็นเพียงประกายแววตาที่แทบจะเรียกว่าซื่อสัตย์จนโง่เขลาเพราะความยึดมั่นและฮึกเหิม
เขาหมุนตัวกลับพร้อมเกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ก่อนหายตัวไป
เมื่อคนชุดคลุมดำหายไป ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหลับตาลงช้าๆ จากนั้นเรือโบราณของเขาก็หายไปจากที่นี่อีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย
ตอนนี้เอง ซูหมิงละสายตากลับ ก้มหน้ามองจื่อรั่วอีกครั้ง แต่ในดวงตาเขากลับ ไม่มีร่างเงาจื่อรั่ว
“ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงหรือ…ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ระดับใดของขั้นไม่อาจกล่าว…หากเจ้าสูบกลิ่นอายและพลังบางอย่างก่อนตายของซางเซียงมากกว่าหนึ่งตัวจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้เจ้า… จะเทียบได้กับซางเซียงสมบูรณ์ตัวหนึ่งหรือไม่?” ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงดังก้อง
ขณะที่ซูหมิงผ่านจิตใจเปลี่ยน ภายในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ตอนนี้มีคนชุด คลุมดำสามคน ทุกคนล้วนแยกเป็นร่างแยกจำนวนมาก ขณะที่ทุกร่างแยกห้อเหยียดก็ค่อยๆ กลายเป็นรูปลักษณ์ซูหมิง บุกเข้าไปในแต่ละโลกอย่างเย็นชา ก่อนเริ่มทำการสังหารหมู่ไปเรื่อยๆ
การสังหารหมู่แบบนี้ ด้วยความที่พวกเขามีหน้าตาเป็นซูหมิง ดังนั้นความแค้นที่รวมออกมาจึงไม่อาจบรรยาย แต่ความแค้นที่ว่าเพ่งไปที่ซูหมิงทั้งหมด บางทีวันหนึ่ง…อาจปะทุขึ้นอย่างน่ากลัว
และร่างของคนชุดคลุมดำสามคนนี้ รูปลักษณ์พวกเขาในด้านภายนอกและอาภรณ์เหมือนกับโยวหมิง หน้าตาถูกชุดคลุมดำปกปิด มองไม่เห็นภายใน แต่สามคนนี้ก็มีจุดต่างกันอยู่…
หนึ่งในนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นชายร่างกำยำ มีความรู้สึกบ้าอำนาจ อีกคนมีร่างกายผอมแห้งเล็กน้อย กลิ่นอายพลังเปลี่ยนไปบ่อยครั้ง คนสุดท้าย…มีความโอหังที่ไม่อาจสลัดให้หายไปได้