Skip to content

สู่วิถีอสุรา 822

ตอนที่ 822 เห็นคุณค่า

แผ่นศิลาหมื่นจั้งตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า ทว่าในใจเขากลับไม่มีความยินดี และไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เพราะแผ่นศิลาสูงใหญ่ขึ้น เขาเหม่อมองอยู่หน้าแผ่นศิลา น้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบ

ภายในดวงตาไม่มีชีวิตชีวา แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นรางๆ ว่าในดวงตาขวามีประกายแสงขยับวูบวาบอยู่เสี้ยวหนึ่ง แสงสว่างนี้ก็คืออักขระที่กำลังก่อรูปอย่างรวดเร็ว

หากอักขระนี้โผล่ขึ้นมา ไม่ว่าใครมองไปจะมีความรู้สึกโบราณและผ่านโลกมานาน เหมือนอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีสิ้นสุดและหายากยิ่งในยุคสมัยนี้

ก่อนหน้าที่ซูหมิงจะหลอมรวมเข้าสู่แผ่นศิลา เขายังไม่มีอักขระนี้ แต่หลังจากสำเร็จการหลอมรวมครั้งแรก วินาทีที่แผ่นศิลาตรงหน้าสูงจากสองพันจั้งไปถึงหมื่นจั้ง มันก็ปรากฏในดวงตาขวาเอง

พอเวลาผ่านไป อักขระในดวงตาขวาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเข้ามาแทนที่ลูกตา ตอนนี้หากมีคนอื่นมองซูหมิง จะต้องตื่นกลัวกับอักขระในลูกตาขวาแน่ ประหนึ่งว่าในอักขระนี้แฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของกฎฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยเหตุผลซึ่งไม่อาจอธิบายให้กระจ่าง

ทว่าซูหมิงไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ เขาเหม่อมองแผ่นศิลาตรงหน้า น้ำตาลากผ่านใบหน้า ตกลงบนอาภรณ์ แต่มันกลับไม่ซึมเข้าไป แต่ไหลตามอาภรณ์ สุดท้ายก็ร่วงลงพื้น

ต้องใช้ใจเท่านั้นถึงจะได้ยินเสียงน้ำตาร่วงลงพื้น เสียงแผ่วนี้ดังก้องในใจเขา กลายเป็นความอบอุ่น แปลกตา และเศร้าเสียใจ คงอยู่นานไม่เลือนหาย

ซูหมิงคิดมาตลอดว่าตอนเป็นเด็กทารก ตนคงลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวเพียงลำพัง ก่อนที่เผ่าวิญญาณหยินจะพาตัวไป แต่จนถึงเมื่อครู่ก็เพิ่งรู้ความจริงว่าไม่ใช่อย่างนั้น…ไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนที่ลอยอยู่กลางฟ้าตอนนั้นไม่ใช่เขาคนเดียว แต่เป็นมารดาคนหนึ่งโอบกอดบุตรของตนเอาไว้ แม้มารดาและบุตรคู่นี้จะตายแล้ว ทว่าความอบอุ่นก่อนตาย น้ำตาก่อนสิ้นใจ ทุกอย่างกลายเป็นความขาวโพลนที่เคยมีในความทรงจำกับความนิจนิรันดร์ในตอนนี้ของซูหมิง

หัวใจเขาส่งความเจ็บปวดรุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน ใบหน้าเขาซีดขาว สัมผัสกับความเจ็บปวดในหัวใจเงียบๆ สีหน้าระทมขมขื่น ในหัวนึกถึงแต่ภาพต่างๆ ตอนตนอยู่ในกระบี่ทองสัมฤทธิ์ของเผ่าวิญญาณหยินตอนนั้น

“ที่แท้ตอนนั้นนางอยู่ใกล้ข้ามาก…”

“ท่านแม่…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือด ตรงมุมปากมีโลหิตไหล นี่คือโลหิตจากหัวใจเขา ตอนที่คนคนหนึ่งสภาพอารมณ์รุนแรงเพราะดีใจหรือเสียใจมากจนกระเทือนถึงจิตใจ มันจึงจะหลั่งออกมาเป็นโลหิต

โลหิตแต่ละหยดเป็นตัวแทนใบหน้านิจนิรันดร์นั้นในความทรงจำเขา

เปลวเพลิงคลุ้มคลั่งลุกโชนในแววตา สองมือกำแน่น ถึงนี่จะเป็นครั้งแรกที่เห็นมารดาตน แม้ในความรักจะมีความแปลกตาก็ตาม ทว่าน้ำตาของมารดา ท่าทางปกป้องบุตรก่อนตาย ทุกอย่างนี้ทำให้เขาพบเจอความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนท่ามกลางความไม่คุ้นเคย

ซูหมิงนึกไปถึงเรื่องซึ่งเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วที่ศิษย์พี่รองเคยเล่าให้ฟัง สามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ในเรื่องนั้น และยังมีภาพต่างๆ ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

“โลกนี้…เผ่ายมโลก…” นัยน์ตาซูหมิงเผยจิตสังหาร

เดิมทีเขามีความแค้นที่ไม่อาจลบล้างกับโลกแท้จริงดาราสัจธรรมอยู่แล้ว ตอนนี้ความแค้นเพิ่มขึ้นอีกมาก หากไม่ล้างแค้น เขาจะไม่มีวันยอมเลิกรา

‘โลกแท้จริงดาราสัจธรรม!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อยๆ หลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่ถึงจะฝืนระงับความรู้สึกต่างๆ ในใจได้ ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง ความเศร้าเสียใจก็ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของแววตา คนนอกมองไม่เห็น มีเพียงช่วงที่เขาอยู่คนเดียว ช่วงที่นึกถึงญาติพี่น้องเท่านั้น ถึงจะสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกของการต้องพลัดจากครอบครัว

ความรักของบิดามารดา ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ ถึงจะเกิดอย่างกะทันหัน ถึงจะไม่คุ้นเคย แต่ความรักนั้นหลอมรวมเข้าสู่จิตวิญญาณ จะไปลืมเพราะความแปลกตาได้อย่างไร

ซูหมิงนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่เงียบๆ สายตามองแผ่นศิลาตรงหน้า ตอนนี้แผ่นศิลาไม่หนาวเหน็บอีกแล้วในสายตาเขา ไม่มีการฝืนบังคับให้สืบทอดกับความตายอีก แต่เป็นเส้นทางตามหาความทรงจำที่หายไป

เทียบกับการตามหาความทรงจำที่หายไปแล้ว แผ่นศิลานี้จะสูงถึงแสนจั้งหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เขามองแผ่นศิลาอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เวลาผ่านไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เกิดเสียงระเบิดดังกังวานรอบตัวเขา มวลอากาศไกลออกไปปรากฏรอยแยกใหญ่สามสาย มีสามคนห้อเหยียดเข้ามา

ครั้นสามคนนี้ปรากฏกายและมีสีหน้าตะลึงระคนสับสน ในแผ่นศิลาหนึ่งแสนก็มีสามอันเกิดแสงสว่างเด่นชัดโดยพลัน ระหว่างที่แสงสว่างขยับวิบวับ เสียงร้องโหยหวนด้วยความไม่ยินยอมแว่วมา ไม่นานก็เงียบหายไป

สามคนที่มาใหม่นี้เข้ามาแทนสิทธิ์คนก่อนแล้ว

ระหว่างที่สามคนนี้เข้ามา แผ่นศิลาตรงหน้าซูหมิงเกิดน้ำวนขึ้น กลางน้ำวนมีดวงตาข้างหนึ่งนูนออกมา สบตากับเขาในเสี้ยววินาที

ร่างกายซูหมิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมายา จนกระทั่งเลือนรางหายไปทั้งหมด หลอมรวมเข้ากับแผ่นศิลาอย่างไร้ร่องรอย

ครั้งนี้ตรงหน้าซูหมิงไม่ใช่ความมืด เขาเห็นฟ้าขมุกขมัว เห็นทะเลมีคลื่นสีเขียวคราม ได้กลิ่นพลังของเผ่าหมาน และรู้สึกถึงคลื่นพลังอันคุ้นเคย

เขาก้มหน้าลง เห็นเด็กสาวใบหน้างดงามยากจะลืมเลือนคนหนึ่ง นางกำลังจับสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ว่ากล่าวมันไม่หยุดด้วยท่าทีโกรธเคือง

สุนัขตัวนั้นมีสีหน้าคับอกคับใจ ยืดศีรษะขึ้น ปล่อยให้เด็กสาวจับขนมันเอาไว้ บ้างก็ส่งเสียงร้องออกมา

ซูหมิงมองเด็กสาวคนนี้ สีหน้าเริ่มมีความอ่อนโยน

“อวี่เซวียน…” เขาพึมพำเสียงเบา

เด็กสาวหันหน้ามามองซูหมิงด้วยความประหลาดใจ

“หืม เจ้าทึ่มซู เจ้าว่าอะไรนะ? อา ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะพูดกับข้าก่อน และยังเรียกชื่อข้าก่อนด้วย จะ….เจ้า….” เด็กสาวอึ้งงัน ใบหน้าฉายแววเหลือเชื่อ นางไม่สนใจสุนัขตัวใหญ่อีก แต่มาอยู่ข้างซูหมิง ยกมือน้อยๆ ขึ้นแตะหน้าผากเขา

ซูหมิงมีสีหน้าอ่อนโยน ไม่หลบหลีก แต่ปล่อยให้เด็กสาวเอามือวางตรงหน้าผากตัวเองไป

เด็กสาวเห็นสีหน้าซูหมิง เห็นเขาไม่หลบ นางก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที ทั้งยังถอยไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว มีสีหน้าสงสัยและเหลือเชื่อ

นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ซูหมิงเย็นชากับตนมาตลอด มีท่าทีรำคาญใส่ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนไป ทำให้นางตื่นตัวในใจโดยพลัน

โดยเฉพาะสีหน้าอบอุ่นของซูหมิงยิ่งทำให้นางไม่คุ้นชินเอามากๆ จึงรีบถอยไปอีกหลายก้าว พอเห็นซูหมิงยืนขึ้นจากท่านั่งสมาธิ นางจึงรีบกล่าวขึ้น

“เอ่อ…เรื่องงานแต่งที่ศิษย์พี่รองเจ้าพูดยังไม่ชัดเจนเลย จะ….เจ้าดูแปลกๆ ไป….อ๊า…” อวี่เซวียนยังกล่าวไม่จบก็อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ร่างกายเหมือนถูกหยุดไว้ มองซูหมิงอย่างอึ้งๆ

เพราะตอนที่ซูหมิงยืนขึ้น เขาเดินหนึ่งก้าว มาปรากฏอยู่ข้างเด็กสาวแล้วกอดนางเอาไว้ อวี่เซวียนตะลึงค้าง หัวใจนางเต้นระรัว นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ซูหมิงกอด ความคิดขาวโพลนทั้งหมดในพริบตา

อย่าว่าแต่นางเลย สุนัขตัวใหญ่ข้างๆ ยังตะลึงงันด้วย ผ่านไปสักครู่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา ส่วนกระเรียนขนร่วงที่แอบมองอยู่ไม่ไกลกะพริบตาปริบๆ นัยน์ตาฉายแววไม่อยากเชื่อ

“จะ…เจ้า…” อวี่เซวียนตะลึงค้างแล้วก็ร้องเสียงเล็กทันที นางรีบดิ้นหลุดจากอ้อมกอดซูหมิง แล้วถอยไปสิบกว่าจั้ง สีหน้าดูโกรธเกรี้ยว ถลึงตามองซูหมิงอย่างขุ่นเคือง ขณะกำลังจะกล่าวอะไร ซูหมิงก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นก่อน

“อวี่เซวียน ขอบใจเจ้ามาก”

“เจ้าเป็นใคร!” อวี่เซวียนกล่าวโดยสัญชาตญาณ นางรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่เหมือนเจ้าคนที่นางชอบยั่วเย้า

ซูหมิงส่ายศีรษะ สายตามองศิษย์พี่รองที่นั่งฌานอยู่ไม่ไกล หู่จื่อที่กำลังนอนกรนเสียงดัง รวมถึงศิษย์พี่ใหญ่ในสภาพรูปปั้น

ที่นี่คือยอดเขาลำดับเก้า ภาพเหตุการณ์รอบๆ เป็นตอนก่อนเต้าหยวนจะปรากฏตัวตามที่เขาปรารถนาก่อนหน้านี้

“ข้าเปลี่ยนความจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ แต่ข้าเปลี่ยนที่นี่ได้ ถึงจะไม่มีประโยชน์แต่ก็ต้องเปลี่ยน!” ซูหมิงพึมพำ เขาไม่รู้ว่าการทดสอบห้าระดับแห่งมายาของแผ่นศิลามีรายละเอียดอย่างไร แต่เมื่อย้อนกลับมาในความทรงจำได้ เขาก็อยากให้เรื่องราวไม่เป็นอย่างความจริง

ซูหมิงมองบนที่ราบ หญิงสาวอาภรณ์ขาวกำลังมองตนอย่างเงียบๆ นางคือไป๋ซู่ นางยิ้มบางๆ มองเขาอยู่เช่นกัน

รอยยิ้มในตอนนั้น ซูหมิงเข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร ทว่าเขากลับเลือกหลบเลี่ยง ตอนนี้เมื่อได้เห็นรอยยิ้มนี้อีกครั้ง ความคิดเขาก็ปรากฏภาพในตอนนั้น ก่อนที่ไป๋ซู่จะตาย เขาคว้าเส้นผมนั้นไว้ไม่ได้ เหมือนกับเลือกหลบเลี่ยง ทำได้เพียงปล่อยให้เส้นผมปลิวไกลออกไป

‘ได้เจอพวกเจ้าอีกครั้ง ข้ามีความสุขมาก…..’ นัยน์ตาซูหมิงซ่อนความเศร้าเสียใจต่อมารดาเอาไว้ ดูแล้วมีความสุขยิ่ง นี่ไม่ใช่ความสุขจอมปลอม แต่คือความสุขจากใจจริงที่ได้เจอสหายเก่าอีกครา

โลกนี้มีความรักทะนุถนอมอยู่สองแบบ หนึ่งคือความทรงจำที่ไม่เคยสนใจในอดีต จนเมื่อเสียมันไปตนเลยต้องอยู่ในกาลเวลาไม่มีสิ้นสุด และรู้คุณค่าของมันมากขึ้น

อีกแบบคือในอดีตเคยใส่ใจมาก ถึงเสียไปแล้วก็ยังคงใส่ใจดังเดิม ระหว่างกาลเวลา ความใส่ใจนี้จะตกตะกอนถึงจุดขีดสุดจนกลายเป็นการหวนคิดถึง ซึ่งจะยิ่งล้ำค่ากว่าในอดีต

ซูหมิงคือผู้เป็นอย่างหลัง

เขามองใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านี้ มองยอดเขาลำดับเก้า มองบ้านตัวเอง มองผู้คนที่เลือกอาศัยอยู่บนยอดเขาลำดับเก้าในยามนั้น และยอมระเบิดตัวเองตายเพื่อช่วยเขายามมีภัย รอยยิ้มเขากว้างมากขึ้น ดูมีความสุขมาก

เขากำลังยิ้ม รอยยิ้มสร้างความสงสัยให้แก่อวี่เซวียน ไป๋ซู่ตะลึงงัน สุนัขร่างแปลงมังกรยมโลกดูประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาไม่เข้าใจ

โครม!

ขณะซูหมิงกำลังยิ้มก็มีเสียงระเบิดดังมาจากไกลๆ นั่นคือระลอกยามคลื่นวงแหวนอาคมภายในพื้นที่ถูกฉีกแยก เขาเคยสัมผัสระลอกคลื่นนี้มาแล้ว ตอนนี้….ช่วงที่ได้สัมผัสอีกครั้ง เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับ ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีก แต่นัยน์ตาเผยจิตสังหารเหลือล้นทีละน้อย

“เต้าหยวน ข้ารอเจ้า…มาหนึ่งวัฏจักรแล้ว!”

ความแค้นนี้ไม่ต้องอธิบายมาก บางทีอาจมีใครเข้าใจ บางที…อาจไม่มีใครเข้าใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version