Skip to content

สู่วิถีอสุรา 821

ตอนที่ 821 น้ำตาในปีนั้น

ซูหมิงอยากสังหารเต้าหยวน อยากสังหารทาสเต๋าห้าคน และยังอยากสังหารองครักษ์ทั้งหมดที่เต้าหยวนเรียกมา สังหารทุกอย่างให้สิ้นซาก ถึงนี่จะเป็นภาพมายา แต่เขาก็อยากทำเช่นนั้น อยากให้ตัวเองที่แกร่งขึ้นแล้วกลับไปตอนนั้น!

โครม!

เกิดเสียงโครมครามดังมาจากจิตใจ เขารู้สึกเหมือนร่างกายถูกฉีกทึ้ง ความเจ็บปวดส่งไปทั่วร่าง ทำให้ตอนนี้เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดจากร่างกายที่ไม่ได้ประสบมานานอีกครั้ง

‘ไม่ถูกต้อง ข้าเสียความเจ็บปวดไปแล้ว…..’ ความเจ็บปวดรุนแรงสร้างความตื่นตกใจแก่เขา ทำให้เขาลืมตาขึ้นในวินาทีนี้

ทว่ากลับลืมตาไม่ขึ้น!

ครั้นความเจ็บปวดค่อยๆ หายไป เขาไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด เขาลืมตาไม่ขึ้น ร่างกายยังควบคุมไม่ได้เหมือนไม่ใช่ของตัวเอง

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้า…..อยู่ในช่วงเวลาใด’ ซูหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดในร่างกายหายไป ครู่ต่อมา ตอนที่ความเจ็บปวดหายไปจนหมดนั้น เขาลองลืมตาอีกครั้งแต่ก็ยังลืมไม่ขึ้น ประหนึ่งว่าไม่มีแรงลืมตา

เขารู้สึกว่าขั้นพลังยังอยู่ กระทั่งจิตสัมผัสยังอยู่ เพียงแต่ว่ากระจายออกจากร่างไม่ได้ ราวกับถูกจำกัดอยู่ในร่างกาย

ทว่านี่ไม่สำคัญ สำคัญคือหลังความเจ็บปวดหายไป เขารู้สึกถึงความอบอุ่น นี่ไม่ใช่ความอบอุ่นทางร่างกาย แต่มาจากจิตใจ มาจากจิตวิญญาณ มันทำให้เขารู้สึกแปลกตา ทว่าในความแปลกตาก็มีความเศร้าโศกอยู่

กระทั่งเขายังไม่รู้ว่าอะไรคือความเศร้า แต่ความเศร้านี้กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกของน้ำตา หัวใจเกิดความเจ็บปวดอย่างสุดขีด และทำให้สับสน

‘เหตุใดข้ารู้สึกถึงความอบอุ่น…ความอบอุ่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกสนิทสนม รู้สึกได้รับการปกป้อง รู้สึกว่า…..นี่คือสิ่งที่ข้าขาดไม่ได้ในชีวิต นี่คือสิ่งที่จะปกป้องข้าไปชั่วชีวิต….ข้า อยู่ที่ใด…’

‘เหตุใดถึงรู้สึกแปลกตา นี่คือช่วงเวลาใดในความทรงจำกันแน่’

‘เหตุใด…ถึงรู้สึกเศร้า มีความรู้สึกอยากจะร้องไห้ เหตุใดข้าถึงเสียใจเช่นนี้ เหมือนเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป’

เวลาผ่านไป ความอบอุ่นและแปลกตาอยู่พร้อมกับความเศร้าเสียใจ ซูหมิงค่อยๆ สงบลง เขาตกอยู่ในห้วงความอบอุ่น ปล่อยให้เวลาผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็หาความรู้สึกบางอย่างเจอท่ามกลางความเงียบ เหมือนว่าร่างกายตนมีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย

เมื่อก่อนขั้นพลังโคจรทั่วร่างจะใช้เวลาไม่นานเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ทว่าตอนนี้…ความเร็วการโคจรขั้นพลังในร่างกายกลับบรรลุถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ เวลาแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่ก่อนเขาโคจรพลังได้หนึ่งสัปดาห์ ทว่ายามนี้…เป็นสิบกว่าสัปดาห์!

ความเร็วระดับนี้ทำให้เขาอึ้งงัน ใคร่ครวญหลายรอบในความคิด

‘ขั้นพลังข้าไม่สูงขึ้น นอกจากร่างกายแล้วก็ยังอยู่ระดับดินเท่านั้น ฉะนั้นนี่ไม่ใช่เพราะขั้นพลังข้า แต่เป็นเพราะ…ร่างกายนี้!’

‘โจวคังเคยบอกว่าโลกในแผ่นศิลาจะเป็นตามความทรงจำของคน นั่นหมายความว่าในความทรงจำ ข้าเคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายโคจรพลังได้ถึงระดับนี้อยู่

เป็นช่วงเวลาใดกันแน่…ไม่ใช่ก่อนหรือหลังจากข้าเป็นเทพหมาน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นร่างกายข้าเพียงรวมจากมายา ยังไม่บรรลุถึงระดับนี้ มีความเป็นไปได้เดียว นี่คือ…ร่างจริงของข้า!’ ซูหมิงใจสั่นสะท้าน ผลการวิเคราะห์ทำให้ระดับความเร็วการโคจรในร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

‘ร่างจริง ความมืด หรือว่า…นี่คือช่วงเวลาเลือนรางในความทรงจำตอนที่ข้าไม่เห็นแสงสว่าง ข้างกายหนาวเหน็บ มีเพียงเสียงเฟยเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง?

น่าจะใช่ เป็นช่วงเวลานั้น ร่างจริงข้าถูกผนึกอยู่แดนเซียน เป็นวัตถุให้คนอื่นสูบกิน ทว่าเหตุใดถึงรู้สึกอบอุ่น แปลกตาและเศร้าใจ…’ ซูหมิงลืมตาไม่ขึ้นจึงมองไม่เห็นรอบๆ เลยยังลังเลกับการคาดเดานี้อยู่

‘การทดสอบเพื่อรับต้นกำเนิดจิตครั้งนี้ข้าเลือกดวงตาในห้าระดับแห่งมายา ตอนนี้ข้าลืมตาไม่ขึ้น เช่นนั้นการทดสอบนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ…ข้าลืมตาได้หรือไม่!’ ซูหมิงไม่ใช่เด็กหนุ่มทึ่มทื่อในตอนนั้นแล้ว เขาผ่านการซักล้างของกาลเวลา ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ถูกขัดเกลาจนมีจิตใจแน่วแน่และยังมีความคิดฉลาดหลักแหลม อาศัยร่องรอยเพียงเล็กน้อยก็วิเคราะห์ออกมาเป็นเบาะแสมากมาย

‘ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ข้าต้องลองลืมตาไปเรื่อยๆ’ ซูหมิงอยากจะลืมตา แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ทำไม่ได้ เขาควบคุมร่างกายตัวเองให้ลืมตาไม่ได้

เขาลองไม่หยุดหย่อน จนเวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งเดือน สองเดือน…หนึ่งปี สองปี…

ซูหมิงลืมแล้วว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาเริ่มรู้สึกเหมือนว่าช่วงเวลาที่ตนผ่านมาไม่ได้อยู่บนแดนเซียนอย่างที่คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้

มิเช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงไม่รู้สึกว่ามีการสูบกิน กระทั่งยังรู้สึกรางๆ ว่าร่างกายตนกำลังขยับ….ซึ่งจริงๆ แล้วคงกำลังลอยอยู่

‘ในความทรงจำข้าไม่มีช่วงเวลานี้…ข้าจำไม่ได้ว่าเคยลืมตาไม่ขึ้นและลอยอยู่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร นี่มันช่วงเวลาใดในความทรงจำกันแน่!’ ซูหมิงเงียบงัน เวลาผ่านไปอีกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ยินเสียงดังสนั่นรุนแรง

เสียงนี้ทำให้เขารู้ทันทีว่าตนยังได้ยินอยู่ มันเป็นเสียงเดียวตลอดหลายปีมานี้ เสียงดังสนั่นแฝงไว้ด้วยเสียงลากยาว วินาทีนี้เอง ในความคิดก็วาดออกมาเป็นภาพหนึ่งเอง

ในภาพมีสายรุ้งสายหนึ่งลากยาวมาจากฟ้า พุ่งลงมาชนกับมวลอากาศไร้รูปจนเกิดเสียงระเบิด

เสียงระเบิดดังสนั่นข้างหูซูหมิงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังไม่มีสิ้นสุด ตอนที่มันดังสนั่นแก้วหู จิตใจเขาสั่นสะท้าน เขารู้ว่าตนคิดผิด นี่ไม่ใช่สายรุ้งยาว แต่เป็น….เรือใหญ่ลำหนึ่ง!

‘เสียงนี้บ่งบอกว่าเรือนี้มีความเร็วสูงยิ่ง ความเร็วระดับนี้…ไม่มีทางมีบนดาวแท้จริง หรือพูดได้ว่าที่นี่คือฟ้ากระจ่างดาว!’

ภาพก่อนหน้านี้ในความคิดซูหมิงถูกลบหายไป แล้วแทนที่ด้วยเรือใหญ่ เบื้องหลังเป็นฟ้ากระจ่างดาว

เสียงดังตรงเข้ามาใกล้ แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมประหนึ่งกริชแหลมฉีกแยกมวลอากาศ ซูหมิงรู้สึกคุ้นเสียงเช่นนี้ เขาจำได้ว่าเคยได้ยินเสียงคล้ายๆ แบบนี้ที่ใดมาก่อน

‘กระบี่! นี่คือเสียงกระบี่ฉีกอากาศ นี่คือกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ เป็นกระบี่โบราณใหญ่ของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสียงของมันตอนข้ามผ่านฟ้ากระจ่างดาว!’ ยามนี้หากซูหมิงหายใจกระชั้นได้จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ภาพในความคิดสมบูรณ์แบบแล้ว จึงเกิดการคาดเดาชัดเจนในใจ

กลางฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์มหึมาแล่นผ่านมา ตรงหน้ากระบี่โบราณ ภายในฟ้ากระจ่างดาวไม่มีสิ้นสุดเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ทว่าท่ามกลางฝุ่นละอองมีศพลอยอยู่ร่างหนึ่ง

“ที่นี่มีศพร่างหนึ่ง ไม่ผิดแน่ ระลอกคลื่นรุนแรงมาจากศพนี้ วันนี้โชคดีจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะเจอศพผู้แข็งแกร่งเช่นนี้” เสียงน่าเกรงขามแว่วมาข้างหูเขา เสียงนี้ซูหมิงคุ้นเคย แทบเป็นทันทีที่นึกออกว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร สภาพจิตใจพลันสั่นสะท้าน

‘เสียงบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณหยิน เป็นเสียงเขา ศพ กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์…นี่คือตอนที่เผ่าวิญญาณหยินรับคำสั่งให้มาตามหาศพผู้แข็งแกร่งและเจอเด็กทารกคนนั้นกลางฟ้า!

เด็กทารกคนนั้น….คือข้า!’ เสียงครึกโครมดังก้องราวกับฟ้าผ่านับครั้งไม่ถ้วน ในใจเขาสั่นไหว ทว่าประโยคต่อมาทำให้จิตใจเขาแทบจะแหลกสลาย

‘หืม? นี่ไม่ใช่ศพเดียว แต่มีสองศพ!’ ตอนที่บรรพบุรุษเผ่าวิญญาณหยินกล่าว มีจิตสัมผัสแก่กล้าหลายสายกวาดเข้ามาโดยพลัน แล้วรวมอยู่ที่ตัวซูหมิง

“ในอ้อมอกศพนี้กอดเด็กทารกเอาไว้คนหนึ่ง…น่าเสียดาย เด็กทารกคนนี้ตายแล้ว ดูจากลักษณะน่าจะเพิ่งเกิดมาไม่นาน”

“สตรีนางนี้น่าจะเป็นมารดาของเด็กทารกคนนี้”

“ดูจากลักษณะนางแล้ว ก่อนตายคงจะกอดบุตรของตนเอาไว้โดยจิตใต้สำนึก ใช้ร่างกายปกป้องไม่ให้บุตรได้รับบาดเจ็บ”

“ตอนมีชีวิตสตรีผู้นี้จะต้องแกร่งอย่างยิ่งแน่ๆ เจ้าดูน้ำตาของนางที่ค้างอยู่บนใบหน้า กระทั่งตอนหยดบนตัวเด็กทารกยังแข็งค้าง มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะทำให้น้ำตามีพลังแห่งภัยพิบัติ และคงหยดน้ำตาไว้อย่างนี้ไปชั่วนิรันดร์ หยดน้ำตานี้คือสมบัติล้ำค่า ใช้หลอมเป็นของวิเศษจะมีพลานุภาพทรงพลังอย่างยิ่ง”

“เอาละ แยกศพสองคนนี้ออก วางเอาไว้คนละที่ หลังหาศพอีกสองสามคนเจอแล้วพวกเราค่อยกลับกัน”

จิตใจซูหมิงเกิดเสียงโครมคราม เสียงดังครั้งนี้ไม่อาจใช้เสียงฟ้าผ่ามาบรรยายแล้ว นี่คือเสียงที่ดังที่สุดในชีวิตที่มีความทรงจำ มันทำให้เขาตัวสั่น ไม่ใช่จิตใจสั่น แต่ร่างกายสั่น!

ความรู้สึกในใจไม่อาจบรรยาย วินาทีนี้ความคิดขาวโพลน มีเพียงเสียงบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณหยินดังกังวานไม่หยุด และยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาตัวสั่นเทา กลายเป็นความคลุ้มคลั่งอย่างแรงกล้าเพื่อจะลืมตาขึ้น

เขาเข้าใจแล้ว เหตุใดถึงเกิดความอบอุ่น นั่นเป็นเพราะเขาอยู่ในอ้อมอกของมารดาและก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงรู้สึกแปลกตา เพราะเขาไม่เคยเจอสตรีคนนี้ ไม่เคยเลย…

เขายังเข้าใจอีกว่าเหตุใดถึงรู้สึกเศร้าเสียใจ เศร้าโศกจากจิตวิญญาณ นั่นเป็นเพราะน้ำตาของสตรีผู้นี้แข็งค้างบนตัวเขา

‘ท่านแม่…..’ หัวใจซูหมิงถูกฉีกทึ้ง จิตวิญญาณส่งความเจ็บปวดถึงขีดสุดเข้ามากลางความเศร้าเสียใจที่ไม่มีจบสิ้น เวลานี้หากเขาไม่รู้อีกว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร ก็คงเสียแรงที่เกิดมาเป็นคน!

เขาอยากลืมตาตื่น ไม่ใช่เพราะอะไร เขาเพียงอยากเห็นมารดาที่ก่อนตายยังกอดตนซึ่งเป็นศพทารก น้ำตาไหลพลางปกป้องตนในช่วงสุดท้ายของชีวิต

เขาอยากลืมตาเพื่อเห็นหน้าตาของนาง เขาจะจดจำใบหน้าของมารดาที่ใช้ชีวิตปกป้องเขาไปชั่วชีวิต

ร่างเขาสั่นไหว จิตใจเกิดเสียงครึกโครม จิตวิญญาณเศร้าโศก ทุกอย่างเหล่านี้พลันรวมเป็นพลังสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ร่างซูหมิงสั่นไหวไม่หยุดหย่อน และรวมออกมาเป็นแรงที่ช่วยให้เขาลืมตา เขาลืมตาขึ้นในวินาทีนี้เอง!

วินาทีที่ลืมตา เขาเห็นกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ เห็นบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณหยินกับหลายคนด้านหลัง และเห็น…มืออบอุ่นสองข้างที่กอดตนเอาไว้

ซูหมิงหันไปมอง สุดท้ายเขาก็เห็นสตรีงดงามคนหนึ่ง

นางหลับตาคล้ายหลับใหล แต่สีหน้ากลับมีความไม่ยอมและความรัก มีหยดน้ำตาแวววับแข็งค้าง กลายเป็นสิ่งนิรันดร์ในความทรงจำของเขา ตัวเขาสั่นไหว น้ำตารินไหล

ครืน!

ทุกอย่างตรงหน้าหายไป เขายกมือขึ้นอยากจะคว้าไว้ ทว่าเหลือเพียงความว่างเปล่า รอบตัวเป็นแผ่นศิลานับไม่ถ้วน ตรงหน้าเป็นแผ่นศิลาของเขาเอง และตอนนี้ก็กำลังเกิดเสียงครึกโครม ความสูงสองพันจั้งขยายขึ้นเป็นหมื่นจั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version