Skip to content

สู่วิถีอสุรา 820

ตอนที่ 820 ระดับห้า

ซูหมิงมองโจวคังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ที่เมื่อครู่เขาช่วยอีกฝ่าย นอกจากจะหยั่งเชิงแดนประหลาดแล้ว ที่มากกว่าคืออยากคุยกับโจวคังเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับที่นี่

สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้มีผลประโยชน์อย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ลดเส้นทางอ้อมลงบ้าง อีกทั้งการลดเส้นทางอ้อมนี้ยังหมายความว่าจะทำให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งในเวลารวดเร็วที่สุด และไปเดินอยู่หน้าคนอื่นๆ

เพียงทว่าประสบการณ์เช่นนี้ เว้นแต่จะอยู่ใต้สภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่าง ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครบอกคนอื่นกัน ถึงอย่างไรหากคนอื่นสำเร็จ นั่นก็หมายความว่าอัตรการตายของตนจะสูงขึ้นเล็กน้อย การสืบทอดต้นกำเนิดจิตครั้งนี้จริงๆ แล้วคือการแข่งขันแย่งชิง

คงไม่มีใครบอกประสบการณ์ของตัวเองกับคนที่ไม่รู้จักแล้วให้คนนี้ค่อยๆ เดินนำหน้าตนอย่างแน่นอน และที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์เหล่านี้พูดได้ว่าทุกคนต้องแลกมาด้วยเวลาไม่มีสิ้นสุด ต้องเดินอ้อมหลายครั้งมากกว่าจะคลำหาเจอ มูลค่าของมันในด้านๆ หนึ่ง…ล้ำค่าอย่างยิ่ง

ซูหมิงต้องการประสบการณ์นี้ เพราะเขาเข้าใจชัดว่าในเมื่อที่นี่มีคนล่าสังหารตนเข้ามา เช่นนั้นรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงจะต้องเพิ่มรางวัลอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าใช้รางวัลอะไรถึงทำให้มีคนกล้าเสี่ยงตายเข้ามาในแดนประหลาด

และการที่มีคนเข้ามานั่นหมายความว่ารางวัลของสี่มหาโลกแท้จริงจะต้องดึงดูดคนให้เข้ามาแดนประหลาดมากขึ้นอีก ยิ่งมีคนเข้ามาเยอะเท่าไร เงามืดมรณะจะยิ่งมาเยือนยังเขามากครั้งเท่านั้น

‘มาหนึ่งคน อัตราการตายเท่ากับหนึ่งในแสน มาแสนคน ถึงไม่ใช่ว่าข้าต้องตาย แต่การเลือกทุกครั้งจะเริ่มจากในแสนคน อีกอย่างเพราะไม่มีกฏเกณฑ์ แม้จะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาก็มีโอกาสถูกเลือก

อำนาจคุกคามจากความตายบรรลุถึงระดับน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มีเพียงวิธีเดียว…นั่นคือให้แผ่นศิลาสูงถึงหนึ่งแสนจั้งโดยเร็วที่สุด มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะเลี่ยงการคัดเลือกมรณะได้ดีที่สุด’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าตนเดิมพันถูกต้องแล้ว ใช้ความเป็นตายของตนมาแสดงความจริงใจ เพื่อแลกกับประสบการณ์จากโจวคัง นี่คือการแลกเปลี่ยน

“การทดสอบผู้สืบทอดของที่นี่มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง? แล้วจะให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งโดยเร็วที่สุดได้อย่างไร?” ซูหมิงเอ่ยเนิบๆ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ

โจวคังไม่ตอบ เขาเพียงมองแผ่นศิลาของซือหม่าเยวี่ยอย่างเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ก็เหมือนพึมพำอยู่คนเดียว

“สามพันปีก่อน ข้ายังเป็นเพียงผู้ฝึกฌานระดับเจ้าปกครองโลกตอนกลางคนหนึ่ง เพราะบิดานางเคยเข้ามายังแดนประหลาดแล้วไม่ออกไป ดังนั้น…ข้าจึงมาที่นี่เป็นเพื่อนนาง

ผ่านไปสามพันปี ในสามพันปีนี้พวกเราต่อสู้ดิ้นรนมาตลอด ไม่ใช่เพื่อมรดกสืบทอดต้นกำเนิดจิตเพื่อเป็นผู้ยิ่งใหญ่บ้าอะไรนั่น ข้าไม่สนใจหรอก ข้าแค่อยากมีชีวิตรอดออกไปกับนาง

พวกเราพยายามกันมาโดยตลอด ภรรยาข้าเยวี่ยเอ๋อร์ นางมีคุณสมบัติดีกว่าข้ามาก ทว่าที่นี่ คุณสมบัติไม่มีประโยชน์…สามปีก่อน ศิลานางสูงเพียงสองหมื่นจั้ง……ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนนาง เลยไม่ให้นางอยู่ที่นี่คนเดียว ข้าละทิ้งโอกาสให้ศิลาสูงถึงแสนจั้งมาสามครั้งแล้ว

เพราะต่อให้สูงถึงแสนจั้ง หากมีแค่ข้าคนเดียวที่ออกไป เวลาหนึ่งพันปีมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์…ข้ายอมทิ้งโอกาสสามครั้งเพื่ออยู่ที่นี่กับนาง” โจวคังไม่ตอบคำถามซูหมิง แต่พึมพำกับตัวเองเบาๆ

ซูหมิงฟังโดยไม่ขัด เขารู้ว่าความรักที่โจวคังมีให้ต่อซือหม่าเยวี่ยมากกว่าชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังตกตะลึงว่าโจวคังทิ้งโอกาสสามครั้งที่จะให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้ง อีกอย่างด้วยเวลา….เพียงสามพันปีเท่านั้น

“เยวี่ยเอ๋อร์ฉลาดกว่าข้า นางศึกษาที่นี่ลึกซึ้งกว่าข้า เพิ่งเริ่มต้นได้ห้าร้อยปี พวกเราก็ตั้งใจขัดเกลาฝึกฝนในโลกแผ่นศิลาของตัวเอง ค่อยๆ รวมออกมาเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่เคยแพร่งพรายออกไปของเหล่าผู้อาวุโสของที่นี่ กระทั่งพวกเขายังดีใจที่เห็นคนรุ่นหลังเดินบนเส้นทางผิดพลาดที่พวกเขาเคยเดิน

พวกเราพบว่าแม้โลกของแต่ละคนจะต่างกัน ทว่า….คำตอบสุดท้ายกลับเหมือนกัน มรดกต้นกำเนิดจิตที่ว่า แท้จริงแล้วที่แบ่งเป็นสิบระดับนั่นเป็นเพราะร่างกายมนุษย์” โจวคังกล่าวเสียงเบา ซูหมิงก็ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ

“ต้นกำเนิดจิตคืออะไรข้ากับเยวี่ยเอ๋อร์ไม่แน่ใจ รู้เพียงว่ามันทำให้คนมีโอกาสเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ตา จมูก ปาก หู หัวใจ นี่คือห้าระดับแห่งมายา แขนขาสี่ข้างและร่างกายคือห้าระดับแห่งความจริง

เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็จะเป็นสิบระดับสมบูรณ์ ทุกครั้งที่ระดับในนั้นสมบูรณ์แบบ แผ่นศิลาของตนจะสูงขึ้นหนึ่งแสนจั้ง…” เสียงโจวคังดังกังวานไปรอบๆ เมื่อเข้าถึงหูซูหมิง เขาถึงกับใจสั่นไหว

“แทบทุกคนที่มาที่นี่จะเหมือนมีคนบอกว่าต้องใช้มือสัมผัสกับแผ่นศิลาเพื่อเป็นการเริ่มการทดสอบผู้สืบทอด ข้ากับเยวี่ยเอ๋อร์ในตอนนั้นก็ด้วย จนกระทั่งห้าพันปีต่อมาพวกเราถึงค้นพบเงื่อนงำ แต่ก็สายไปแล้ว หันกลับไปไม่ได้ จึงได้แต่ต้องเดินหน้าต่อไป

เพราะพวกเราใช้มือสัมผัสแผ่นศิลา ดังนั้น…เส้นทางห้าระดับที่พวกเราเลือกจึงเป็นห้าระดับแห่งความจริง มือขวาสัมผัสแผ่นศิลาก่อน นั่นหมายความว่าต้องการทดสอบมือขวาก่อน จากนั้นก็มือซ้าย จนกระทั่งแขนขาสี่ข้างและร่างกาย…แผ่นศิลาก็จะสูงห้าแสนจั้ง

แต่จากการคาดเดาของพวกเรา คนที่มาที่นี่จริงๆ แล้วจะไม่เริ่มจากห้าระดับแห่งความจริงในแขนขาสี่ข้างและร่างกายก็ได้ เพราะมันยากเกินไป ไม่มีจิตสำนึกรู้ตัว ใช้เพียงร่างกายสัมผัส ความยากของเส้นทางนี้ คนที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่เข้าใจ

ทว่าห้าระดับแห่งมายาต่างออกไป สิ่งที่มันต้องการคือการตระหนักรู้ ต้องการความเข้าใจ เทียบกันแล้วมันเหมือนยากกว่ามาก แต่ความจริงหากอยากได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ก็ต้องเลือกห้าระดับแห่งมายาก่อน จากนั้นไปก็จะมีจิตสำนึกรู้ตัว และเดินบนเส้นทางต่อไปได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ” คำพูดโจวคังทำให้ซูหมิงหรี่ตาลง แล้วเอ่ยขึ้น

“ความหมายของผู้อาวุโสโจวคังคือความเข้าใจใช่หรือไม่ หากใช้ร่างกายสัมผัสแผ่นศิลาก่อน ก็ต้องใช้ร่างกายทดสอบก่อนต้นกำเนิดจิตก่อน และก็ให้ร่างกายเคยชินก่อน หรือบางทีอาจจะจดจำต้นกำเนิดจิตก่อน จากนั้นก็ใช้ร่างกายเป็นพื้นฐาน ค่อยๆ ตระหนักรู้ห้าระดับแห่งมายา แล้วสุดท้าย…แผ่นศิลาก็จะสูงถึงหนึ่งล้านจั้ง

แต่หากไม่เดินบนเส้นทางนี้ เช่นนั้นก็ให้จิตสำนึกกับจิตวิญญาณของตัวเองเคยชินกับต้นกำเนิดจิตก่อน เมื่อจดจำความรู้สึกนั้นแล้วก็ค่อยๆ ไปต่อที่ร่างกาย สองเส้นทางนี้หนึ่งคือจากนอกสู่ใน อีกหนึ่งคือจากในสู่นอก”

โจวคังเงียบงัน

ครู่ต่อมาก็ละสายตากลับจากแผ่นศิลาที่เคยเป็นของซือหม่าเยวี่ยมามองซูหมิง

“เดิมทีนี่เป็นเพียงการคาดเดาของเราสามีภรรยา จนกระทั่งสองพันปีก่อนมีคนหนึ่งใช้ทักษะการทำความเข้าใจนั่งตระหนักรู้อยู่หน้าแผ่นศิลาสามร้อยปีจนเข้าใจในจุดนี้ นามของเขาคือ…ซิงอวี้ ตอนนี้แผ่นศิลาของเขาสูงสองแสนจั้งแล้ว”

“อย่าใช้ร่างกายสัมผัสแผ่นศิลา ใช้ดวงตา จมูก หู ปากและใจเชื่อมต่อกับแผ่นศิลา นี่จะทำให้เจ้าลดเส้นทางอ้อม และทำให้เจ้า….มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

แม้เวลาอาจจะไม่ได้เร็วนัก กระทั่งมีโอกาสสูงมากที่จะเนิบช้า ทว่า…จากการสังเกตของเราสองสามีภรรยา สองพันกว่าปีมานี้มีคนเข้ามาที่นี่ไม่น้อย และก็มีคนสำเร็จให้แผ่นศิลาสูงแสนจั้ง แน่นอนว่าย่อมมีคนตายไม่น้อย แต่ซิงอวี้คนนั้นยังอยู่

ดังนั้นเยวี่ยเอ๋อร์จึงคาดเดาว่าคนที่ฝึกฝนห้าระดับแห่งมายาจะมีโอกาสตายน้อยกว่าคนอื่น นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น เพราะเวลามันน้อย และเพราะคนฝึกห้าระดับแห่งมายาน้อยเกินไป จึงทดสอบในขั้นต่อไปไม่ได้

เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า” โจวคังกล่าวเรียบนิ่ง น้ำเสียงดังก้องกังวาน

“นี่คือการทดสอบของเราสองสามีภรรยา นอกจากนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใดสัมผัสแผ่นศิลา เจ้าต้องหลอมรวมเข้าไปในโลกแผ่นศิลา ที่นั่นเป็นโลกแห่งมายา…ประสบการณ์ทุกคนจะต่างกัน มันมีพื้นฐานจากความทรงจำ…

กระทั่งความทรงจำบางอย่างที่เจ้าเองก็ยังไม่รู้จะโผล่มาในแผ่นศิลาด้วย อีกอย่างที่ข้ารู้มาคือตอนที่เจ้าหลอมรวมเข้าสู่แผ่นศิลา หากเจ้ากำหนดความทรงจำไว้ช่วงเวลาหนึ่ง โลกที่เจ้าเห็นจะเป็นช่วงเวลานั้น” นัยน์ตาโจวคังหวนคะนึงคิด เขายกมือขวาค่อยๆ กดบนแผ่นศิลา แม้ซูหมิงจะไม่รู้รายละเอียดความทรงจำในแววตาอีกฝ่าย แต่ก็เดาออกว่าในความทรงจำจะต้องสตรีคนหนึ่งนามซือหม่าเยวี่ยอย่างแน่นอน

“สิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ของข้า ข้าบอกเจ้าหมดแล้ว เจ้า…ดูแลตัวเองให้ดี” ขณะโจวคังกล่าวเสียงเบา ร่างกายก็ค่อยๆ เลือนราง บนแผ่นศิลาปรากฏน้ำวนหนึ่ง มันสูบร่างเลือนรางเขา ช่วงที่ค่อยๆ หลอมรวมเข้าไปนั้น ก็มีมือหนึ่งพลันยื่นมาจากน้ำวน คว้ามือขวาโจวคังเอาไว้ก่อนกระชากเข้าไปในแผ่นศิลา

“สุดท้าย…คือการคาดการณ์เมื่อสี่ร้อยปีก่อนของเยวี่ยเอ๋อร์ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่นางตาย…นางบอกกับข้าว่า นางสงสัยว่าแดนประหลาดอาจจะเป็นกลอุบายครั้งใหญ่!” ร่างเงาโจวคังหายไป ทว่าเสียงเขายังดังกังวานอยู่ ซูหมิงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น มองแผ่นศิลาของโจวคัง จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่จึงพ่นลมหายใจยาว

โดยรอบกลับมาเงียบอีกครั้ง ทว่าในความคิดเขายังกังวานด้วยเสียงของโจวคัง จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน นัยน์ตาเขาขยับประกายวาว สายตามองแผ่นศิลาของตนตรงหน้า

แผ่นศิลานี้มีความสูงสองพันจั้ง เทียบกับโดยรอบแล้วเล็กจ้อยจริงๆ

‘ไม่ว่าอย่างไรข้าต้องเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ จะเชื่อคำพูดโจวคังทั้งหมดไม่ได้ แต่น่าจะเป็นจริงอยู่หลายส่วน…ห้าระดับแห่งมายาอย่างนั้นหรือ….’ ซูหมิงไม่ใช้มือสัมผัส แต่นั่งขัดสมาธิจ้องแผ่นศิลา ใช้ดวงตามองไป นอกจากนี้แล้ว จิตใจเขายังแน่นิ่ง ร่างกายไม่ขยับ อวัยวะทุกอย่างทั่วร่างนอกจากดวงตาแล้วล้วนหยุดนิ่ง

“ห้าระดับแห่งมายา ข้าขอเริ่มด้วยดวงตา!” ซูหมิงนั่งฌานอย่างสงบนิ่ง เวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้เขากะพริบตาน้อยครั้งมาก เขาจ้องแผ่นศิลาอยู่อย่างนั้น มองด้วยสมาธิตั้งมั่น มองข้ามทุกอย่างรอบตัวไป

จนกระทั่งหลังจากลืมเวลาไป เขาก็เห็นน้ำวนโผล่ขึ้นมาบนแผ่นศิลา เห็นว่ามีแรงดูดรุนแรงมาจากในน้ำวน เมื่อสูบแววตาเขาเข้าไปทั้งหมดแล้ว พลันปรากฏดวงตาข้างหนึ่งในน้ำวน ดวงตานี้เพ่งมองเขา ขณะเดียวกันร่างกายเขาก็เลือนราง

“เวลา หลังจากข้ากลายเป็นเทพหมาน สถานที่ ยอดเขาลำดับเก้า…ช่วงที่เต้าหยวนแห่งสำนักดาราสัจธรรมมาเยือน!” วินาทีที่ร่างซูหมิงเลือนราง นัยน์ตาสองข้างฉายแววชั่วร้ายน่ากลัว

ครั้นเสียงดังกึกก้อง ซูหมิงหายไป!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version