Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1356

ตอนที่ 1356 คนพายเรือหนึ่งชาติภพ

“เส้นทางของข้าคือเดินจากความตายไปสู่เป็น เดินจากฤดูหนาวไปสู่ใบไม้ผลิแห่งการคืนชีพ…ตอนนี้เดินไปถึงที่ใดแล้ว…” ซูหมิงมองสายฝนพลางพูดกับตัวเองเบาๆ

“ผ่านไปสี่ฤดูแล้ว เดินผ่านความเป็นตายแล้ว ขอแค่ความเข้าใจ คิดแค่แสวงหาความจริง…” ซูหมิงส่ายศีรษะ

“ยังเหลืออีกสองร้อยกว่าปี…สองร้อยสี่สิบปีนี้สั้นมาก แยกไม่ออกว่าเป็นหรือตาย ระหว่างความเป็นตายเหมือนกับรอยสนิมบนมีดใต้ตะวันยามอัศดง ไม่เข้าใจ บางทีสุดท้ายแล้วก็อาจจะยังไม่เข้าใจ” ซูหมิงถอนหายใจเบา

“ข้าไม่มีสิทธิ์ช่วยพวกเขาตัดสินใจเลือกความเป็นตาย ข้าเคารพการตัดสินใจของทุกคน ข้าไม่เคยก้าวก่ายการเลือกและความยึดมั่นของพวกเขามาก่อน เพราะพวกเราอยู่ระดับเดียวกัน เพราะข้าใส่ใจพวกเขา” ซูหมิงมองสายฝน สีหน้ามีความเด็ดขาดทีละน้อย

“แต่ครั้งนี้…ข้าจะไม่ถามพวกเขา ข้าซูหมิงขอเห็นแก่ตัว…เลือกเส้นทางนี้ให้กับพวกเขาเป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่เลือกเส้นทางที่สอง ข้าไม่อาจเลือกเส้นทางที่สาม…หากโลกนั้นมีอยู่จริงๆ ข้าซูหมิงขอสาบานว่าหากชีวิตนี้ยังไม่ตาย เป็นหมื่นๆ ปีก็ดี หรือนานกว่านั้นก็ดี สักวันหนึ่งข้าจะไปตามหาร่องรอยของพวกเจ้า…

หากพวกเจ้าไม่พบข้าอีก ก็ขอให้พวกเจ้าลืมข้าเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ในมหาโลกสามรกร้างต้นนั้น…ถือว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ถือว่าโลกในซางเซียงเป็นเพียงความฝันของใครคนหนึ่ง เป็นเพียงภาพมายาที่มีคนวาดขึ้น

ให้ถือว่า…ในฟ้าดินนี้ไม่เคยมีคนนามว่าซูหมิง” ซูหมิงพึมพำ สายฝนนอกโลกเหมือนเกิดเค้าลางจะหยุดนิ่ง เริ่มตกช้าลง

“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ…ยอดเขาลำดับเก้าเป็นของพวกเรา เป็นจิตวิญญาณที่อาจารย์มอบให้พวกเรา ตอนนี้ศิษย์ยอดเขาลำดับเก้ามีล้านคนแล้ว ข้าไม่อาจส่งไปทีละคนได้ ข้าส่งไปได้เพียงแสนคน คนอื่นๆ…ข้าจัดการไม่ได้

ท่านปู่ ท่านหวังจะให้เผ่าหมานยืนยาว อีกทั้งข้ายังเป็นเทพหมาน ข้าต้องปกป้องมรดกของเผ่าหมาน ชาวเผ่าหมานแสนคน….ข้าจะส่งพวกเขาไปอย่างสุดกำลัง

ฉางเหอ ข้ารับปากกับเจ้าแล้วว่าจะคืนชีพภรรยาให้ ข้ายังไม่ลืมเรื่องนี้!

บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตทำให้เจ้าติดตามข้า ตั้งแต่ ตอนนั้นที่เจ้าตกลงยอมรับ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างเด็ดขาด

จูโหย่วไฉ…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเกี่ยวอะไรกับกระเรียนขนร่วง แต่ว่า…เจ้าก็คือเจ้า

อวี่เซวียน หากยังมีภพหน้า หากยังได้พบกันอีก ข้าจะไปหาเจ้า

ชางหลัน เจ้าเฝ้ารักษาเผ่าหมานมาตลอดหลายปี เจ้าอยู่ในใจข้าแล้ว ใจข้าหนาวเหน็บมาก หัวใจข้าเต้นช้าลงมาก ทำให้มันไม่อาจเก็บใบหน้าของใครได้มากนัก แต่เจ้า…อยู่นั่นแล้ว

สวี่ฮุ่ย…เรื่องของเต๋อซุ่น ต่อให้เกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าก็ยังจะทำแบบนั้น เจ้ายอมรับก็ดี ไม่ยอมรับก็ดี ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเลือกติดตามข้ามันได้ลิขิตเอาไว้แล้ว

ท่านปู่…” ซูหมิงหลับตาลง

“เลี่ยซานซิว การเลือกของพวกเราต่างกัน…อาจารย์…ศิษย์ไม่อาจรอท่านจบจิตใจเปลี่ยนได้…” ซูหมิงพึมพำพลางยกมือขวาขึ้นกดไปยังหินหน้าผาใต้เท้า

เมื่อกดไป ทั้งโลกสั่นสะเทือนอย่างเงียบเชียบ! สายฝนกลางฟ้าหยุดนิ่ง รวมถึงทั้งสำนักยอดเขาลำดับเก้าและโลกแท้จริงดาราสัจธรรมก็หยุดนิ่งเช่นกัน

อวี่เซวียนกำลังมองสวี่ฮุ่ยด้วยความโกรธ เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง แต่สีหน้ากลายเป็นนิรันดร์แล้ว สวี่ฮุ่ยมีสีหน้าลำพองใจ ราวกับกำลังโต้กลับ แต่ก็หยุดนิ่งเช่นกัน

ชางหลันยังคงยิ้ม เพียงแต่ใบหน้ารอยยิ้มไม่ได้มองอวี่เซวียนกับสวี่ฮุ่ย แต่มองไปทางซูหมิง ในดวงตา…มีประกายวาว ราวกับนางรู้ทุกอย่างด้วยความสามารถพิเศษของนาง

ท่านปู่นั่งอยู่ข้างทะเลสาบเงียบๆ มองน้ำทะเลสาบก่อนหลับตาลง

ศิษย์พี่ใหญ่นั่งฌานสมาธิ ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไรแล้ว ศิษย์พี่รองกำลังอมยิ้มมองสตรีรอบกายพลางส่ายหน้า ไม่ได้สนใจว่าในกระจกเล็กบานหนึ่งตรงประตูมีวงแหวนอาคมกำลังส่องแสงอยู่

ข้ามจุดที่เชื่อมวงแหวนอาคมกระจกเล็กนั้นไป หู่จื่อกำลังดื่มสุรา แอบยิ้มมองกระจกอีกด้านที่มีอยู่จำนวนมากในฝ่ามืออย่างระมัดระวัง ในกระจกนั้นสะท้อนออกมาเป็นภาพต่างๆ ของศิษย์พี่รอง

ทุกอย่างหยุดนิ่ง รวมถึงฉางเหอกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงในสำนักและยังมี จูโหย่วไฉที่มองไปทางแดนต้นกำเนิดจิต กระทั่งชาวเผ่าหมานทั้งหมดกับ กระเรียนขนร่วง

กระเรียนขนร่วงกำลังกัดหินผลึก มังกรยมโลกพูดบางอย่างอยู่ข้างกาย แต่ตอนนี้กลับหยุดนิ่ง

ทั้งยอดเขาลำดับเก้า ทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมเป็นเช่นนี้ มีเพียงซูหมิงที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“ข้าเชื่อว่าจะต้องมีโลกนั้นอยู่แน่!” ซูหมิงพูดเบาๆ พร้อมกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตหนึ่งคำ โลหิตพลันกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมทั้งสำนักยอดเขาลำดับเก้า

“ต่อให้เดิมทีไม่มีอยู่ แต่หลังจากนี้ไปแล้วมันจะต้องมีอยู่ เหมือนกับการสร้างโลกขึ้น ด้วยความเชื่อของข้าซูหมิง ด้วยดวงจิตของข้าซูหมิง ด้วยทุกอย่างของข้า…จงสร้างที่นั่นขึ้นมา!” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ หมอกโลหิตพลันอบอวลบนฟ้า อบอวลอยู่ในและนอกสำนักยอดเขาลำดับเก้า อัดแน่นหมุนตลบไปรอบๆ

“พวกเจ้าจะมีชีวิตที่ดีมากในโลกนั้น พวกเจ้าจะไม่คิดถึงข้า เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะมีวันที่ได้พบพวกเจ้าอีกหรือไม่…พวกเจ้าจะไปพร้อมกับคำอวรพรของข้า ข้าจะใช้เวลาร้อยยี่สิบปีนี้สำเร็จวิชาที่สำคัญที่สุดในชีวิตข้า ข้าต้องทำให้เสร็จในร้อยยี่สิบปีนี้

ทุกอย่างเป็นเพราะข้าต้องการความมั่นใจ ความสำเร็จของพวกเจ้า ข้าต้องมั่นใจว่าพวกเจ้า…เข้าไปในโลกนั้นได้จริงๆ และข้าต้องเชื่อว่า…โลกนั้นมีอยู่จริง!

ข้าไม่รู้นามของมัน ข้าไม่เห็นโลกที่มันอยู่ แต่ข้าเชื่อว่ามันมีอยู่ นามของมัน…เพราะซางเซียงกลายเป็นฝุ่นธุลี ดังนั้นจะต้องเกี่ยวกับฝุ่นธุลี พวกเจ้าคือฝุ่นธุลีที่ ไม่เสื่อมสลายและสนิทกับข้าที่สุดที่ข้าส่งไป!” ซูหมิงกล่าวนิ่งๆ ภายในสีหน้าแฝงไว้ด้วยความปลงอนิจจังลึกๆ หลังจากนั่งขัดสมาธิลงช้าๆ แล้วเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง

การหลับตาครั้งนี้ เขานำความคิดทั้งหมดแตกออกเป็นส่วนๆ วนเวียนเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ไปหยุดอยู่ในความทรงจำ

การหลับตาครั้งนี้ นำสิ่งที่จะตายจากในพริบตาเหล่านี้หวนคืนสู่การมอดดับอย่างสงบนิ่ง แต่ในความเลือนราง ในสายลมหิมะ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเคาะความทรงจำ

การหลับตาครั้งนี้ จะไปลืมเรื่องราวในอดีตต่างๆ ได้อย่างไร…บางทีสุดท้ายแล้วท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่จำใจต่อต้านโลกไม่ได้ก็อาจจะสลายหายไป สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทุกสิ่งมีชีวิตยอมรับการกัดกร่อนของเวลาเงียบๆ

“ใช้เวลาร้อยยี่สิบปีมองสามชาตินั้น ข้าที่ซ่อนตัวอยู่ในชาติหน้า ใช้ชีวิตอย่าง คนทั่วไปเขียนตำราอยู่เงียบๆ…ชาตินี้ข้าซูหมิงคือศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า ข้าคือคน เขาทมิฬ ข้าคือความอ้างว้างในสายตาพวกเจ้า

ชาตินั้นในร้อยยี่สิบปี ข้าคือ…คนพายเรือของพวกเจ้า” ซูหมิงก้มหน้าลง ทันใดนั้นเองทั้งยอดเขาลำดับเก้าเกิดสายลมขึ้นในความเงียบสงบ…

สายลมนั้นหมุนวนเป็นน้ำวน ทำให้ทุกอย่างเลือนราง กลายเป็นชาตินั้นที่จะ ยืนยาวไปร้อยยี่สิบปีในโลกของซูหมิง เพราะซูหมิงส่งพวกเขาไปง่ายๆ ไม่ได้ เพราะเขาต้องมั่นใจว่าจะสำเร็จ ดังนั้นการส่งครั้งนี้…ต้องใช้เวลาร้อยยี่สิบปี ต้องใช้หนึ่งชาติภพ และครั้งนี้…ต้องมีดวงจิตซูหมิงอยู่ ต้องเดินทางไปยังโลกมายานั้นกับ พวกเขาจนถึงตอนที่แยกกันเป็นครั้งสุดท้าย

โลกนั้นสายลมกับดวงตะวันสวยงาม ในโลกนั้นไม่มีภัยพิบัติ ในโลกนั้นยังไม่มีผู้ฝึกฌาน นั่นคือโลกของคนธรรมดา เป็นคำอวยพรในความสงบ

ชะตาที่ฝึกฝนในชาติก่อนรวมเข้าด้วยกันหลายพันปี จึงทำให้ครั้งนี้ข้าพายเรือให้เจ้าด้วยตัวเอง พาเจ้าผ่านแม่น้ำที่มีนามว่าลืมเดินทาง พาเจ้า…ไปถึงอีกฝั่ง

แม่น้ำส่งเสียงน้ำไหล เรือโบราณลำหนึ่งหยุดอยู่ข้างแม่น้ำ ตรงนั้นมีบ้านไม้หลังหนึ่ง ภายในบ้านมีเด็กหนุ่มนั่งอยู่คนหนึ่ง เด็กหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ มองตะวันขึ้นลง มองสี่ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง รอคนมาถึง

ฤดูกาลวนเวียนไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาได้ยินเสียงเท้าม้า เห็นร่างเงาชุดคลุมขาวบนม้าสีขาว นั่นคือหญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงที่มีใบหน้างดงามเรียบๆ มีสีหน้าอ่อนโยน

ดวงตานางงามมาก ประกายภายในที่แฝงอยู่งดงามยิ่งกว่า ตอนที่นางเพ่งมองเจ้า เจ้าจะลืมโลก อยากจะมองกับคนที่เพ่งมองคนนี้ไปชั่วนิรันดร์

‘รอมาเจ็ดฤดูแล้ว คนที่จะข้ามแม่น้ำคนแรกมาแล้ว นางคือชางหลัน’ เด็กหนุ่มมองสตรีที่ตรงเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

“คนพายเรือ นี่แม่น้ำอะไร?” หญิงคนนั้นหยุดอยู่ข้างแม่น้ำ ดวงตางามมองแม่น้ำนั้นแล้วก็มองเด็กหนุ่ม

“ลืมเดินทาง”

“อีกฝั่งของแม่น้ำคือที่ใด?” หญิงคนนั้นกระพริบตาปริบๆ แล้วถามขึ้นบนม้าขาว

“ข้าไม่เคยไป”

“เหลวไหล เจ้าจะไม่เคยพายเรือไปได้อย่างไร” หญิงคนนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน นางกำลังจะควบม้าสีขาวจากไป แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่จึงลงจากม้า

“ช่างเถอะ ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง” หญิงคนนั้นพูดพลางเดินหลายก้าวขึ้นมาบนเรือแล้วมองเด็กหนุ่มคนนั้น

เด็กหนุ่มขึ้นเรือแล้ว หยิบพายขึ้นออกเรือไปเกิดเสียงน้ำไหล เขาค่อยๆ พายไปกลางอาทิตย์ยามอัศดง มุ่งหน้าไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำช้าๆ เด็กหนุ่มนั่งอยู่ท้ายเรือเงียบๆ มาตลอดทาง หญิงคนนั้นก็เงียบเช่นกัน นางนั่งอยู่บนหัวเรือมองสายน้ำของแม่น้ำลืมเดินทาง เริ่มมีสีหน้าขมขื่นทีละน้อย

ราวกับความเศร้าและทุกข์ไม่อาจบรรยายหลั่งไหลขึ้นไปในความคิดพร้อมกัน ความรู้สึกอัดแน่นเต็มไปหมด เหมือนว่าเส้นทางเดินเรือนี้เป็นการจบชาติก่อนแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำตาใสเปียกอาภรณ์บางประหนึ่งย้อมความคิดของชาติก่อน กลายเป็นความหนาวที่พัดมากระทบใบหน้า ทำให้เข้าใจโลก แต่กลับสั่นคลอนจิตใจจนเปลี่ยนเป็นความเศร้า อยากจะชะล้างแต่ไม่ว่าล้างอย่างไรก็ล้างความทุกข์บางๆ ในดวงตาไม่ได้

จนกระทั่งถึงอีกฝั่ง ตะวันยามอัศดงกลายเป็นดั่งดวงจันทร์ตรงระหว่างคิ้ว สะท้อนบนแม่น้ำลืมเดินทาง หญิงคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบอยู่พักใหญ่…แล้วหมุนตัวกลับมามองเด็กหนุ่ม ตอนที่มองมา หน้าตาเด็กหนุ่มเติบใหญ่แล้ว เป็นชายหนุ่ม นั่นคือ ซูหมิง

ถึงแล้ว” ซูหมิงพูดเบาๆ มองหญิงตรงหน้าด้วยสีหน้าอาลัยอาวรณ์และมีความรักลุ่มลึก

“ข้ารู้ ข้ารู้สึกว่า…ข้าควรจะรอคนคนหนึ่ง…” นางพูดเบาๆ

“ข้าจะมา หากเขาขึ้นเรือของข้าได้” ซูหมิงถอนหายใจเบา

หญิงคนนั้นก้มหน้าลง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยืนขึ้น ทันทีที่เดินออกจากหัวเรือ นางหมุนตัวกลับมาเพ่งมองเรือที่จากไปไกล มองสายน้ำแม่น้ำลืมเดินทาง

“ข้าจะรอเจ้า…” ซูหมิงได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ

แสงจันทร์บนผิวน้ำจะส่องสะท้อนคนในปีแรกได้อย่างไร คนจะเห็นแสงจันทร์แรก ตรงริมแม่น้ำได้อย่างไร…ชาติก่อนเจ้ากับข้ามีวาสนาได้พบกัน ชาตินี้ใครเป็น คนพายเรือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version