Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1389

ตอนที่ 1389 ข้ามีนามว่าเต๋อซุ่น

เต๋าไม่โดดเดี่ยว

ผู้เข้าใจเต๋ากี่คน ถอนหายใจเต๋าของข้าจะไม่โดดเดี่ยว แต่อะไรคือเต๋า คำถามนี้…ซูหมิงกำลังใคร่ครวญ

เหมือนอย่างที่ตอนนี้เขาเดินออกมาจากน้ำวนเป็นคนแรก แต่ในตัวเขากลับไม่มีคลื่นอารมณ์อื่นๆ เลย เพียงแค่สงบนิ่ง ราวกับตอนเดินบนเส้นทางแสวงหาเต๋า เพราะความสงบในใจ จึงแสดงความเฉยชาทางสีหน้า

ยามที่เขาเดินออกมา ในผู้ฝึกฌานเกือบร้อยคนที่รับผิดชอบศิษย์ฝ่ายนอกสำนักเจ็ดจันทรา มีชายชราคนหนึ่งเห็นซูหมิงแล้วพลันหน้าเปลี่ยนสีดูเหลือเชื่อ

แต่คนอื่นๆ พอเห็นซูหมิงแล้วก็ต่างส่งจิตสื่อสารกัน ไม่นานทุกคนก็เพ่งมองไปที่ชายชราที่หน้าเปลี่ยนสีคนนี้ด้วยแววตาชื่นชม กระทั่งมีความเคารพเสี้ยวหนึ่ง

พวกเขาไม่ได้เพิ่งส่งศิษย์เข้าไปในแดนทดสอบเป็นครั้งแรก เป็นที่ชัดเจนยิ่งว่าไม่ว่าการทดสอบครั้งใดคนที่มีสิทธิ์เดินออกมาเป็นคนแรกจะต้องเป็น…โอรสสวรรค์ในครั้งนี้!

ทว่าตอนนี้ในใจชายชรากลับหนาวเยือก รีบเค้นรอยยิ้ม แต่กลับมีความขมขื่น ถึงขั้นยังถอยไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก

ตอนนี้เอง ช่วงที่ผู้คนมองไปที่มือขวาซูหมิงก็เงียบลงโดยพลัน ผ่านไปพักหนึ่งถึงมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น พวกเขาพบว่าในมือขวาซูหมิงมีป้ายวิญญาณร้อยกว่าอัน!

“โอรสสวรรค์!”

“การทดสอบครั้งนี้ถือกำเนิดโอรสสวรรค์!”

“ฮ่าๆ พี่เฉิน ครั้งนี้ท่านมีหวังได้เลื่อนขั้นแล้ว ยินดีด้วยๆ ไม่คิดเลยว่าจะปรากฏโอรสสวรรค์กับท่าน!”

ผู้ฝึกฌานเหล่านี้ต่างมีสีหน้าตกใจ ทว่าสิ้นเสียง เยี่ยหลงก็เดินออกมาจากข้างหลัง ซูหมิง ในมือถือป้ายวิญญาณร้อยอันเช่นกัน ทำให้ผู้ฝึกฌานรอบๆ ต่างตกใจตื่น

“มะ…ไม่อยากเชื่อว่าการทดสอบครั้งนี้จะให้กำเนิดโอรสสวรรค์สองคน!”

“เขาคือเยี่ยหลง ข้ารู้จักเด็กคนนี้ เขาคือศิษย์ของต้าจื่อซื่อ!”

“หนึ่งครั้งกำเนิดโอรสสวรรค์สองคน นี่เป็นเรื่องที่หายากมากในประวัติศาสตร์สำนักเจ็ดจันทรา ไม่รู้ว่าในพวกเขาสุดท้ายแล้วจะมีใครได้เป็นผู้อาวุโสหรือไม่ จะมีคน…ก้าวสู่ขั้นไม่อาจกล่าวในร้อยปีหรือไม่!” ผู้ฝึกฌานรอบๆ ต่างตกตะลึงกับ การปรากฏตัวของซูหมิงกับเยี่ยหลง ขณะกล่าวยังมองชายชราแซ่เฉินรวมถึง บัณฑิตวัยกลางคนผู้นั้นในกลุ่มผู้ฝึกฌานที่นี่

บัณฑิตคนนั้นยิ้มชื่นใจ มองเยี่ยหลงด้วยความชื่นชม บางครั้งจะมองซูหมิงแล้ว หรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของซูหมิงเหนือความคาดหมายเขา อย่างสิ้นเชิง เดิมทีเขาคิดว่าเยี่ยหลงจะต้องเป็นอันดับหนึ่งแน่

เทียบกับบัณฑิตวัยกลางคนแล้ว ตอนนี้ชายชราแซ่เฉินไม่หน้าขาวซีดอีก แต่รอยยิ้มยังคงไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่มองทุกคนข้างหลังซูหมิงกลับไม่พบเด็กสาวที่สูบกายเนื้อที่ซูหมิงยึดร่างนี้ นัยน์ตาเขาฉายแววเจ็บปวด ตอนที่มองซูหมิงจึงมีจิตสังหารเพิ่มมารางๆ

ชั่วขณะที่เสียงทุกคนบนแผ่นดินดังขึ้น แม้แต่ชายชราที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ บนฟ้ายังมีสีหน้าตกใจ เขามองซูหมิงกับเยี่ยหลง ไม่สนใจศิษย์ที่เพิ่งกลายเป็น ศิษย์ฝ่ายในที่กำลังทยอยกันออกมาจากข้างหลังสองคนนี้เลย

ช่วงที่เพ่งมองซูหมิงกับเยี่ยหลง ชายชรายืนขึ้น เขามีความเกรงใจต่อโอรสสวรรค์สองคนนี้เล็กน้อยแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตเด็กหนุ่มสองคนนี้จะเป็นอย่างไร หากผูกมิตรตอนยังเยาว์วัย ย่อมมีประโยชน์ในภายภาคหน้า

เขาเคยเห็นตัวอย่างแบบนี้มาบ้างแล้ว ตอนนี้ยืนขึ้นกำลังจะกล่าว ทันใดนั้นมีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งทะยานมาจากทางสำนักเจ็ดจันทรา ชั่ววูบเดียวก็เข้ามาใกล้กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง

เขาสวมชุดคลุมยาวสีแดง ใบหน้าเย็นชา พอปรากฏกายแล้วกวาดสายตามองแผ่นดิน ตอนที่มองซูหมิงกับเยี่ยหลง ความเย็นชาทางสีหน้าหายไปกลายเป็นรอยยิ้ม

“สองท่านนี้คงจะเป็นศิษย์น้องหวังเทากับเยี่ยหลง เชิญศิษย์น้องทั้งสองท่านตามข้ามา ผู้อาวุโสทุกท่านในลานสำนักกำลังรออยู่ สั่งให้ข้ามาพาพวกเจ้าไป” ชายหนุ่มยิ้มกล่าวขึ้นพลางประสานมือคารวะซูหมิงกับเยี่ยหลง

ซูหมิงขยับวูบไหวตัวมาปรากฏอยู่ข้างชายหนุ่ม ช่วงที่ประสานมือคารวะกลับ เยี่ยหลงก็เข้ามาแล้ว สามคนพลันกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป เหลือไว้เพียงเศษเงาสามร่าง และยังมีแววตาชื่นชมของทุกคนที่นี่

“ศิษย์น้องสองท่านล้วนเป็นโอรสสวรรค์ ครั้งนี้ผู้อาวุโสเรียกพบด้วยตัวเอง ศิษย์พี่นับถือยิ่งนัก!” ระหว่างที่สามคนเดินหน้าไป ชายหนุ่มยิ้มพูดขึ้น เขาในตอนนี้ไม่มีความเย็นชาอีก เห็นได้ชัดว่าจะเย็นชาแค่กับคนอื่น ส่วนซูหมิงกับเยี่ยหลง เขาย่อม ไม่เย็นชาด้วย

“ภายภาคหน้าหากมีโอกาส พวกเราศิษย์ร่วมสำนักจะต้องช่วยเหลือกันมากๆ อีกอย่างหากพวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรในสำนักฝ่ายใน มาหาข้าได้เสมอ ข้าเต๋อซุ่น เต๋อคือเต๋อจากเต๋อผิ่น ซุ่นก็เป็นนิสัย” ชายหนุ่มยิ้มพูดขึ้น ทั้งยังหันไปมองซูหมิงกับเยี่ยหลง

พริบตาที่ซูหมิงได้ยินคำพูดชายหนุ่ม ดวงงตาพลันหรี่ลงน้อยจนไม่สังเกตเห็น เขามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายที ก่อนพยักหน้าเงียบๆ ไม่ตอบอะไร

เขามีสีหน้าปกติ แต่ความจริงในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ ในโลกนี้เขาพบเทียนเสียจื่อที่ต่างออกไป พบเยี่ยวั่งที่ต่างออกไป พบซากปรักหักพังของแดนต้นกำเนิดจิต และยังพบเต๋อซุ่นที่ต่างออกไปเช่นกันด้วย!

ทุกอย่างนี้ทำให้ซูหมิงต้องตรึกตรองอย่างละเอียดอีกครั้ง ว่าโลกนี้…คือโลกอะไรกันแน่ มันคือโลกในตัวเสวียนจั้งจริงๆ หรือ และเห็นๆ อยู่ว่าตนยึดร่างแล้ว เหตุใดถึงเกิด การเชื่อมต่อกับโลกนี้

แต่หากนี่คือโลกในตัวเสวียนจั้งจริงๆ เช่นนั้น…เหตุใดถึงปรากฏคนที่รู้สึกคุ้นเคยเหล่านี้ ที่นี่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่!

ตรงส่วนลึกในแววตาซูหมิงเกิดความสับสน แต่ในความสับสนกลับซ่อนความ ตื่นกลัวเอาไว้ นั่นคือความคิดน่ากลัวที่ลอยขึ้นมา เขาตื่นกลัวกับความคิดนี้

เป็นที่รู้ว่าด้วยพลังและความแน่วแน่ของซูหมิง แม้ซางเซียงจะถูกทำลาย เขาก็ไม่เคยตื่นกลัว ทว่าตอนนี้กลับตื่นกลัวจริงๆ ไม่นานเขาก็กดมันเอาไว้

‘ต้องมีหลักฐานที่มากกว่านี้ จะตัดสินลวกๆ ไม่ได้!’ ดวงตาซูหมิงแวววาว ตามชายหนุ่มนามเต๋อซุ่นเข้าไปในน่านฟ้าแดนแอ่งกระทะสำนักเจ็ดจันทราที่ล้อมไว้ด้วยเทือกเขา

ตลอดทาง ชายหนุ่มนามเต๋อซุ่นพูดเรื่องเกี่ยวกับสำนักฝ่ายในเจ็ดจันทรา กระทั่งความลับบางอย่างไม่หยุดปาก ซ้ำยังละเอียดมาก

มองไกลๆ ทั้งสำนักเจ็ดจันทรากว้างใหญ่ เหมือนรวมขึ้นเป็นหน้าตาวงแหวนอาคมรางๆ ทำให้ทุกอย่างที่นี่เต็มไปด้วยแรงกดดันไร้รูป จนกระทั่งตอนที่สามคน ลงมาจากฟ้า ชายหนุ่มนามเต๋อซุ่นถึงพูดต่อ

“จากตรงนี้ไปจะบินไม่ได้แล้ว นี่คือความไม่เคารพต่อสำนัก และจะทำให้เข้าใจผิด ได้ง่าย ดังนั้นศิษย์น้องสองท่านจะต้องจำเอาไว้” เขาพูดพลางนำทางไป พาซูหมิงกับเยี่ยหลงไปยังลานไกลๆ อย่างรวดเร็ว

ตลอดทางนี้ พวกเขาพบศิษย์สำนักเจ็ดจันทราไม่น้อย ส่วนใหญ่ศิษย์เหล่านี้เห็นเต๋อซุ่นแล้วจะมีท่าทีคุ้นเคยมาก กระทั่งมีไม่น้อยที่เย้าหยอก มองออกได้ว่าเต๋อซุ่นรู้จักกับคนมากมายที่นี่

ไม่นานก็เข้าไปใกล้นอกลานนั้น เต๋อซุ่นหยุดลง ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงกับเยี่ยหลง

“ศิษย์น้องสองท่าน ข้ามาส่งได้เท่านี้ พวกเจ้าเดินลงไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าลาน จากนี้หากพบกันในสำนัก ทุกคนเป็นสหาย มีปัญหาอะไรมาถามข้าได้” เต๋อซุ่นยิ้มพูดขึ้น โค้งตัวคารวะแล้วหมุนตัวจากไป

ซูหมิงมองเงาแผ่นหลังของเต๋อซุ่นแวบหนึ่ง

“ข้าไม่ชอบเขา กลอกกลิ้งเกินไป มาตีสนิทด้วยจะต้องมีเป้าหมายแน่ๆ” เยี่ยหลงกล่าวเนิบช้าอยู่ข้างๆ

“ข้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน” ซูหมิงยิ้ม ก่อนหมุนตัวเดินไปยังลานซึ่งอยู่ไม่ไกล

เยี่ยหลงมองเงาแผ่นหลังซูหมิง เดินอยู่ข้างหลังเงียบๆ สองคนค่อยๆ เข้าไปในลาน แต่ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในลาน แผ่นดินบนลานพลันเกิดแสงสว่างวูบวาบ ราวกับว่าวงแหวนอาคมหมุนโคจร แสงสว่างไปหมื่นจั้งในบัดดล กินร่างซูหมิงกับเยี่ยหลงไป

เหมือนกับการเคลื่อนย้าย เมื่อซูหมิงกับเยี่ยหลงปรากฏตัวอีกครั้ง ลานก็ยังเป็นลาน สำนักโดยรอบก็เหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่มีกลิ่นอายคนมากนัก ดูเงียบสงบ

รอบๆ ลานนี้มีเก้าอี้ยักษ์สิบกว่าตัว ตอนนี้บนเก้าอี้มีร่างเงาต่างกันนั่งอยู่ โดยเฉพาะตรงหน้าสุด ชายชุดคลุมแดงคนหนึ่งยกมือขวาเท้าคาง ดวงตาวาววับมองซูหมิง

เยี่ยหลงสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าไม่ยิ่งยโสและไม่ทำให้ตนต่ำต้อย เขาประสานมือคารวะชายชุดคลุมแดงคนนั้นตรงหน้า

“ศิษย์เยี่ยหลง คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน”

“เจ้า เหตุใดถึงไม่คารวะ” ชายชุดคลุมแดงไม่มองเยี่ยหลง แต่จ้องซูหมิงพลางพูดขึ้นเนิบๆ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลังประหลาด ตอนที่เสียงดังก้อง ยังทำให้ฟ้าที่นี่เกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น

ซูหมิงไม่ตอบ แต่มองมือชายชุดคลุมแดง พอเห็นไข่มุกในมืออีกฝ่ายแล้วก็ประสานมือคารวะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ชายชุดคลุมแดงมองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งก่อนพลันหัวเราะขึ้น

“เยี่ยหลงไม่เลว ข้าจะรับเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง ส่วนหวังเทา…ผู้อาวุโสหลันจะต้องอบรมให้ดีๆ ร้อยปีจากนี้มาดูกันว่าสองคนนี้…ใครจะเป็นโอรสสวรรค์!” ชายชุดคลุมแดงกล่าวขึ้นพร้อมสะบัดแขนเสื้อ ท้องฟ้าเกิดเมฆดำกับเสียงดังครึกโครม มันปกคลุม ทั้งลานในเวลานี้

ยามที่มีเสียงถอนหายใจเบาดังแว่วมา ลานหายไป ซูหมิงปรากฏตัวบนลานก่อนหน้านี้ โดยรอบว่างเปล่า นอกจาก…ตรงหน้าเขามีสตรีผู้งดงามอย่างยิ่งเพิ่มมาคนหนึ่ง

นางมองซูหมิง ซูหมิงก็เงยหน้ามองนางเช่นกัน ช่วงที่สองคนสบตากัน ในความคิดซูหมิงมีภาพต่างๆ แล่นผ่านโดยควบคุมไม่ได้ สตรีคนนั้นก็เช่นกัน ผ่านไปพักหนึ่ง ตอนที่ได้สติกลับมา นัยน์ตาซูหมิงฉายประกายประหลาดใจ มองไป เหมือนว่านางจะไม่ยอมสบตาจึงหันหน้าหนี

“รูปแบบชะตาเจ้าแปลก ข้า…ก็เป็นอาจารย์เจ้าไม่ได้ ตามข้ามาเถอะ ข้าจะหาอาจารย์ที่สูงส่งเหมาะกับรูปแบบชะตาเจ้า” นางเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนตัดสินใจได้จึงพูดขึ้นเสียงเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version