Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1407

ตอนที่ 1407 สำนักเอกะเต๋า

ซูหมิงจากไป เหลือไว้เพียงความเงียบของทั้งสำนักเจ็ดจันทรา ร่างเงาเขาตรงหน้าตะวันรุ่งอรุณเหมือนกลายเป็นความยิ่งใหญ่หายไปในสายตาของทุกคน ก้าวเข้าไปในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า

บุกจากวงหวนอาคมที่หนึ่งถึงสิบแปด เรื่องนี้พบเห็นได้ยากในประวัติศาสตร์ของทั้งสำนักเจ็ดจันทรา อย่างน้อยศิษย์สำนักเจ็ดจันทราในตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยิน มาก่อน

พูดได้ว่าหนึ่งวันสองคืนนี้ สำหรับศิษย์สำนักเจ็ดจันทราแล้วเป็นความตื่นตะลึง ในความตื่นตะลึง พวกเขาจดจำนามของหวังเทาเอาไว้อย่างแม่นยำแล้ว

ส่วนเยี่ยหลง…ด้วยพลานุภาพการบุกวงแหวนอาคมของซูหมิง ซูหมิงคือใบไม้เขียว เยี่ยหลงคือดอกไม้สด แต่เมื่อซูหมิงผ่านไปสิบวงแหวนอาคม เยี่ยหลงกลายเป็น ตัวเสริมให้กับซูหมิง แต่ตอนนี้…แม้แต่คุณสมบัติตัวเสริมก็ยังไม่มี

ภายในฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ เยวี่ยเยียนที่ยืนอยู่กับเฉินเถาตรงหน้าผามองซูหมิงจากไปไกลก่อนค่อยๆ ละสายตากลับ

“เดิมทีเขาบุกต่อได้” ผ่านไปพักใหญ่เฉินเถากล่าวขึ้นเนิบๆ ด้วยสีหน้าจริงจังเด่นชัด มองเยวี่ยเยียนข้างกาย

“เฟยเฟิงในตอนนั้นบุกวงแหวนอาคมที่สิบเก้าแล้วก็มีคุณสมบัติบุกต่อไป แต่กลับไม่ทำเช่นกัน” เยวี่ยเยียนตอบเสียงเบา ก่อนหมุนตัวกลับเดินไกลออกไป

บนหน้าผา เฉินเถาหรี่ตาลง ผ่านไปพักใหญ่ถึงสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวเดินกลับไปในถ้ำของตน

ณ ยอดเขาสายเลือดที่หนึ่ง เฟยเฟิงที่เดินออกมาจากถ้ำมายืนอยู่นอกประตูถ้ำละสายตาจากเข็มทิศที่กำลังหายไป ยิ้มมุมปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

‘ดูท่าเจ้าคงจะพบแล้วเช่นกัน…ไม่รู้ว่าครั้งต่อไปแซ่เฟยจะไปได้ไกลกว่าหรือเจ้า ผู้อาวุโสหวังจะตระหนักรู้ได้เร็วกว่า’ เฟยเฟิงยิ้มไปยิ้มมา นัยน์ตาก็คมกริบ

เมื่อฟ้าสาง เมื่อแสงตะวันส่องลงบนแผ่นดินใหญ่ วันใหม่ของสำนักเจ็ดจันทรามาถึง ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่นอกบ้านของเขาบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า หลับตาอยู่เงียบๆ

วงแหวนอาคมที่สิบแปดยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา หากเขาต้องการ…ก็ยังบุกไปถึงวงแหวนอาคมที่สิบเก้า ที่ยี่สิบกระทั่งมากกว่านั้นได้ ด้วยพลังเขา น่าจะบุกถึงราวๆ วงแหวนอาคมที่ยี่สิบสองถึงยี่สิบสาม

แต่เขาไม่ทำ

‘หลังบุกวงแหวนอาคมที่สิบแปดแล้ว ไม่มีเงาเต๋าก็ผ่านไม่ได้ ต่อให้ผ่านก็ไม่ได้ โชควาสนาอะไร ได้เพียงชื่อเสียงปลอมๆ เท่านั้น มีเพียงรวมเงาเต๋าของตัวเองเท่านั้นถึงจะได้ตระหนักรู้จากวงแหวนอาคม’ นัยน์ตาซูหมิงเปล่งแสงหม่น

‘ดูท่าคนที่ชื่อเฟยเฟิงก็พบจุดนี้เหมือนกัน ดังนั้นหลังบุกวงแหวนอาคมที่สิบเก้าแล้วก็ไม่ได้บุกต่อ เห็นได้ชัดว่า…เขายังไม่ได้รวมเงาเต๋าออกมา

อีกทั้งเงาเต๋าของสำนักเจ็ดจันทราต้องใช้การหลอมรวมของวิชาเจ็ดชะตา!’ ขณะตรึกตรอง ซูหมิงหลับตาลง สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือปิดด่านนั่งฌานระยะยาวหนึ่งครั้ง ในการนั่งฌานครั้งนี้จะต้องใช้ฟ้าดินมนุษย์ของตนหลอมรวมกับเจ็ดเงา ลองเปลี่ยนเป็นเงาเต๋า ดูว่าเมื่อรวมเงาเต๋าออกมาแล้วจะทะลวงพลังหรือไม่ จะก้าวสู่…ขอบเขตวิญญาณเต๋าหรือไม่!

เวลาวูบผ่านไปอีกสิบปี สิบปีมานี้ซูหมิงนั่งฌานไม่เคยลืมตาเลย ตกอยู่ในห้วง การหลอมรวมฟ้าดินมนุษย์กับเจ็ดเงา ไม่สนใจทุกเรื่องภายนอก แต่ตามหาโอกาสในการหลอมรวมภายในการตระหนักรู้ครั้งนี้

สิบปีนี้ที่ซูหมิงปิดด่านนั่งฌาน ในสำนักเจ็ดจันทราเกิดเรื่องที่ไม่ถือว่าใหญ่มากนักขึ้น อย่างเช่นมีศิษย์จำนวนหนึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างเช่นบนฟ้าสำนัก เจ็ดจันทรามักจะปรากฏรอยแตกผืนฟ้าเป็นบางครั้ง แม้จะกลับมาเป็นปกติ อย่างรวดเร็ว แต่ก็เริ่มดึงดูดความสนใจของผู้คน

จนกระทั่งผ่านไปอีกสิบปี รอยแตกของฟ้านอกสำนักเจ็ดจันทราเยอะขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆ เหมือนเชื่อมเข้าด้วยกันกลายเป็นรอยแยกหลายสาย ซ้ำยังมีเสียงโครมครามเบาๆ อีกเล็กน้อย มันดังก้องกังวาน ถึงขั้นส่งผลถึงการฝึกฝนของศิษย์สำนัก จันทราฝ่ายนอก

ตอนนี้ มู่เจินเป็นผู้นำพาศิษย์ฝ่ายในออกจากฟ้าเหนือฟ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ไม่รู้ว่าพบอะไรหรือไม่ เมื่อกลับมาก็ไปยังฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก จากนั้นก็ ไม่ออกมาอีก

ผ่านไปอีกสิบปี รอยแตกของผืนฟ้าโอบล้อมรอบสำนักเจ็ดจันทรา กระทั่งบนแผ่นดินยังเกิดรอยแตกนับไม่ถ้วน แม้แต่ประตูสำนักเจ็ดจันทรายังเกิดรอยร้าว รวมถึงยอดเขาล้อมรอบก็ค่อยๆ เกิดรอยร้าวเช่นกัน เรื่องนี้เลยเป็นที่สนใจของศิษย์สำนัก เจ็ดจันทราในระดับสูง

ในที่สุดก็ผ่านไปอีกสิบปี ไม่ว่ามองอย่างไรจำนวนรอยแตกของฟ้าดินนอก สำนักเจ็ดจันทราก็น่าตกใจแล้ว กระทั่งประตูสำนักเจ็ดจันทรารวมถึงยอดเขารอบๆ ยังเต็มไปด้วยรอยร้าว ราวกับว่าสำนักจะพังลงได้ทุกเมื่อ

ไม่ใช่แค่ชั้นแรกที่เป็นแบบนี้ หลังฟ้าเหนือฟ้าชั้นสองเกิดรอยร้าวเช่นนี้แล้ว ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าก็เริ่มเปิดประชุมผู้อาวุโสเจ็ดจันทรา!

การประชุมผู้อาวุโสที่ใช้นามเจ็ดจันทราเป็นชื่อแบบนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ที่มี ผู้อาวุโสเข้าร่วมอย่างแน่นอน ส่วนซูหมิงเป็นผู้อาวุโสจึงต้องออกมาร่วมประชุมด้วย

ซูหมิงปิดด่านนั่งฌานมาสี่สิบปี ในสี่สิบปีนี้เขาไม่ลืมตาเลยสักครั้ง ต่อให้เป็นตอนนี้…งานประชุมผู้อาวุโสเจ็ดจันทราครั้งแรกในรอบสี่สิบปีมีการแจกแผ่นหยกให้กับผู้อาวุโสฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าทุกคน ทว่ายามนี้ตอนที่แผ่นหยกลอยอยู่ตรงหน้าเขา ซูหมิงยังคงหลับตา แต่ร่างเขาเหมือนเกิดการซ้อนทับ ต่อมามีร่างเงายืนขึ้นจากร่างจริงที่นั่งขัดสมาธิอยู่

ร่างนั้นคือร่างเงาหนึ่งของซูหมิง หน้าตาเหมือนเขาทุกประการ ตอนนี้เมื่อยืนขึ้นแล้วก็หยิบแผ่นหยกที่ลอยอยู่ตรงหน้า เดินไปยังยอดเขาที่สิบสามด้วยสีหน้าปกติ

เพราะเต้าหานอยู่สายเลือดสิบสาม ดังนั้นในยุคที่เขาควบคุมสำนักนี้ ยอดเขาที่สิบสามจึงเป็นใหญ่

ซูหมิงมาถึงเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่เข้าไปยังสายเลือดที่สิบสาม เขาเห็นว่าบน ยอดเขามีจิตสัมผัสเต๋าหลายสายเพ่งมาที่เขา ในจิตสัมผัสนั้นมีการสังเกต แต่ซูหมิงเดินขึ้นยอดเขาด้วยสีหน้าปกติ เข้าไปในการประชุมผู้อาวุโสที่จัดขึ้นที่สายเลือดสิบสาม

นี่เป็นพื้นที่เหมือนลานกว้าง ปลูกสิ่งก่อสร้างบนยอดเขาที่สิบสาม เหนือเมฆไปมีเก้าอี้ยักษ์สิบห้าตัวรายล้อมอยู่รอบๆ เป็นวงกลม

เก้าอี้สิบห้าตัวนี้ หนึ่งในนั้นใหญ่กว่าเล็กน้อย สิบสี่ตัวที่เหลือค่อนข้างเล็ก เห็นได้ชัดว่าฐานะต่างกัน ตอนนี้นอกจากเก้าอี้ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว บนเก้าอี้สิบสี่ตัวมีคนนั่งอยู่ สิบสามคนแล้ว เห็นได้ว่าหนึ่งตัวที่เหลืออยู่เป็นของซูหมิง

เมื่อซูหมิงเดินเข้ามาในห้องประชุมอันเงียบสงบ มีเจ็ดสายตาพลันมองมาที่ซูหมิง ซูหมิงเคยพบคนเหล่านี้เป็นครั้งแรกตอนเข้าสำนักเจ็ดจันทรา ในนั้นมีมู่เจินและก็ หลันหลัน

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ราวกับไม่เห็นสายตาเหล่านี้ เขาเดินมายังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ นั่งลงช้าๆ หลับตาลงเหมือนกำลังพักผ่อน

ไม่นานแรงกดดันมหึมาพลันกดทับห้องประชุมแห่งนี้ ทันทีที่ซูหมิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นร่างเงาสีแดงเพลิงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนเก้าอี้ที่ใหญ่ที่สุด แสงเพลิง สีแดงค่อยๆ กลายเป็นชุดคลุมยาว กลายเป็นชายวัยกลางคน

ชายคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มือขวาถือไข่มุกเม็ดหนึ่ง สีหน้าราบเรียบแต่น่าเกรงขาม เมื่อนั่งลงแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนที่มองศิษย์ของเขาหรือชายหนุ่ม ชุดคลุมดำผู้เคร่งขรึมเช่นเดียวกันนั้น เขาพยักหน้าเล็กน้อย จนกระทั่งมองซูหมิง เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

“ที่เรียกพวกเจ้ามาร่วมงานประชุมผู้อาวุโสเจ็ดจันทราครั้งนี้ก็เพราะว่าฟ้าดินตลอดสี่สิบปีมานี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าต้องเตรียมการเรื่องเหล่านี้ให้ดีแต่เนิ่นๆ

ผู้อาวุโสมู่ เจ้าพูดถึงสิ่งที่เจ้าพบตอนออกไปข้างนอกเมื่อยี่สิบปีก่อน” ชายชุดคลุมแดงหมุนไข่มุกในมือช้าๆ พลางพูดขึ้นราบเรียบ

“สหายร่วมสำนักทุกท่าน เมื่อยี่สิบปีก่อนข้าได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสใหญ่ให้ออกไปตรวจสอบ ในรอยแยกฟ้าดินนั้น เฮอะๆ…ข้าพบร่องรอยของสำนักเอกะเต๋า!” มู่เจินกวาดสายตามองทุกคนก่อนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ามืดทะมึน

ช่วงที่มู่เจินเอ่ยคำว่าสำนักเอกะเต๋า ทุกคนโดยรอบไม่รวมเต้าหาน ในผู้อาวุโส สิบสามคนไม่รวมมู่เจินมีห้าคนหน้าเปลี่ยนสี

“เป็นสำนักเอกะเต๋าจริงๆ!”

“มีเพียงสำนักเอกะเต๋าอันลึกลับที่อยู่ในรอยแยกทั้งหมดของฟ้าดินได้เท่านั้นถึงกล้าเผยตัวอย่างโจ่งแจ้งนอกสำนักเจ็ดจันทราของเราอย่างโอหังเช่นนี้!”

ขณะที่เสียงเย็นชาต่างดังขึ้น มู่เจินประสานมือคารวะชายชุดคลุมแดง แต่ไม่กล่าวอะไรอีก

“ในเมื่อพบร่องรอยของสำนักเอกะเต๋านานแล้ว ไฉนถึงเชื่องช้าไปยี่สิบปี” หลันหลันพูดเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สิ้นเสียง คนโดยรอบเงียบไป แต่มอง ชายชุดคลุมแดง

“เพราะว่าจริงๆ แล้วรอยแยกกลางฟ้าดินนอกสำนักเจ็ดจันทราเป็นการประกาศจากสำนักเอกะเต๋า หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่านี่ไม่ใช่การประกาศ แต่เป็นการคุกคาม” ชายชุดคลุมแดงเล่นไข่มุกในมือ ตอบกลับนิ่งๆ พลางกวาดสายตามองซูหมิง

“ในประกาศของพวกเขาบอกว่าให้สำนักเจ็ดจันทราส่งศิษย์ทุกคนที่รับมาในช่วงหกสิบปีก่อนและหลัง มิเช่นนั้นหากถึงเวลากำหนดแล้วไม่ส่งมา พวกเขา…จะเปิดฉากสงครามสองสำนัก!” พริบตาที่ชายชุดคลุมแดงกล่าวขึ้น ทุกคนนอกจากซูหมิงต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรงพร้อมกัน

“สำนักเอกะเต๋ารังแกกันเกินไปแล้ว!”

“น่าขัน จะไปยอมส่งศิษย์เหล่านั้นได้อย่างไร คนเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก แต่สำนักเจ็ดจันทราก็เป็นหนึ่งในเจ็ดสำนักเช่นกัน หากยอมให้ขู่เข็ญแบบนี้ ภายภาคหน้าจะเผชิญหน้ากับสำนักเต๋าอื่นๆ ได้อย่างไร!”

“ถึงสำนักเอกะเต๋าจะแกร่งที่สุดในเจ็ดสำนัก แต่จะมาบีบบังคับกันเช่นนี้ไม่ได้!” ผู้อาวุโสรอบๆ ต่างยิ้มเยาะ ขณะพูดคุยกันนั้น ชายชุดคลุมแดงพูดขึ้นเนิบๆ

“แน่นอนว่าการตอบรับคำขอของพวกเขา สำนักเอกะเต๋าจะชดเชยให้ อย่างเช่น…ให้การทดสอบที่จิตเต๋าขั้นสองก้าวสู่ขอบเขตวิญญาณเต๋าได้ รวมถึง… การตระหนักรู้ต่อขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์ด้วย”

พูดจบ ผู้อาวุโสทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี เหมือนอยู่ในห้วงความคิด ไม่มีใครกล่าวอีก แต่เงียบกริบ

ความนิ่งของพวกเขาทำให้การประชุมผู้อาวุโสทั้งสำนักเจ็ดจันทราเงียบลงในฉับพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version