Skip to content

สู่วิถีอสุรา 191

ตอนทื่ 191 หลอมเหอเฟิง

ซูหมิงเงยหน้ามองเงาคนยักษ์ขมุกขมัวท่ามกลางหมอกหมุนตลบบนท้องฟ้า เงาคนนั้นมองเห็นไม่ชัด ร่างมากกว่าครึ่งอยู่ในหมอกจึงเห็นเพียงเลือนราง มีลักษณะเป็นคนกำลังนั่งขัดสมาธิ

เขาสวมเกราะสีดำทั้งตัว เกราะเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายราวกับผนึกวิญญาณไว้จำนวนมาก หมอกดำโอบล้อมรอบตัวเทวรูปจนกลายเป็นหมอกดำเคลื่อนไหวเชี่ยวกราก

เสียงของเขายังคงก้องกังวานเหมือนอำนาจสวรรค์ ทำให้ผู้ฟังราวกับจะเสียสติ และต้องทำตามเจตนารมณ์การทะลวงขั้นชำระล้างของเขา

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ เสียงแห่งการชำระล้างดังขึ้นเป็นครั้งแรกขณะเขาห่างจากยอดเขาผู่เชียงเจ็ดสิบจั้ง เขาสาวเท้ายาวต่ออีกครั้ง ทำให้ระยะห่างเหลือเพียงสี่สิบจั้ง!

ขณะเดียวกันมีเสียงระเบิดดังก้องในร่างกายเขา คนยักษ์จากเส้นเลือดเหนือศีรษะ จากที่เกือบแหลกสลายก็ทวนเข็มกลับมา บนตัวมันพลันปรากฏเส้นเลือดอีกหนึ่งเส้น ทำให้มันตัวสั่นเทาคล้ายอยากแหงนหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความโกรธ

เส้นเลือดเก้าร้อยแปดสิบแปดเส้น!

ซูหมิงก้าวเท้ายาวประดุจดาวตก ขณะก้าวไประยะห่างจากยอดเขาผู่เชียงก็ใกล้มากขึ้น จนกระทั่งเหลือแค่สิบจั้ง มีเสียงทรงอานุภาพดังแว่วมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง!

“เจ้า…ชำระล้าง!”

เสียงดังกล่าวทำให้คนยักษ์เส้นเลือดเหนือศีรษะซูหมิงพลันแหลกสลาย ทว่าขณะเดียวกัน เส้นเลือดของซูหมิงเพิ่มมาเป็นเก้าร้อยแปดสิบเก้าเส้น!

เส้นเลือดที่เพิ่มมาหนึ่งเส้นเปล่งแสงสีแดงสว่างจ้า ทำให้คนยักษ์เส้นเลือดที่กำลังจะแหลกสลายหมุนทวนกลับมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่านี่คือการฝ่าฝืนสวรรค์

ผู้พบเห็นล้วนไม่อาจใช้คำพูดมาอธิบายความรู้สึก จ้าวหมานผู่เชียงตัวสั่นเทิ้ม มองซูหมิงห่างไปสิบจั้ง คุกเข่าลงกราบไหว้

“ยินดีต้อนรับท่านสู่ผู่เชียง….” จ้าวหมานผู่เชียงอยู่บนยอดเขา เดิมทียืนตรง ทว่าในช่วงที่เขาคุกเข่าลงเอ่ยวาจา ซูหมิงพลันสาวเท้ายาวจากโซ่เขาหานเส้นที่เก้าสู่ยอดเขาผู่เชียง!

เขาพิชิตโซ่เขาหานสำเร็จแล้ว จากภูเขาหานมาตามโซ่เหล็กจนถึงยอดเขาผู่เชียง!

ยามเหยียบเท้าบนพื้น เส้นเลือดบนตัวเขาพลันเพิ่มมาอีกเส้นกลายเป็นเก้าร้อยเก้าสิบ ในที่สุดคนยักษ์จากเส้นเลือดเหนือศีรษะเขาก็เหมือนมีพลัง แหงนหน้ามองเทวรูปชำระล้างแล้วแผดเสียงคำราม

เมฆลมเคลื่อนตัว ฟ้าดินเปลี่ยนสี เสียงคำรามราวกับอยากต่อต้านเงาคนเกราะดำเทวรูปชำระล้าง นัยน์ตาเงาคนเกราะดำฉายแววเย็นชา ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นเป็นครั้งแรก

ขณะยกมือขวาแรงกดดันไร้รูปพลันถาโถม จ้าวหมานบูรพาสงบไม่อาจทนรับไหว ต้องคุกเข่าลงกราบไหว้ ต่อมาเหยียนหลวนก็คุกเข่าลงตัวสั่นเทา และคนสุดท้ายคือจ้าวหมานเหยียนฉือ!

ในเวลานี้บนแผ่นดินใหญ่โดยรอเมืองเขาหาน นอกจากซูหมิงแล้ว ทุกคนล้วนคุกเข่าลงกราบไหว้

“จ้าวหมานผู่เชียง ข้าขอยืมพลังความตายของเผ่าเจ้า…ยังไม่รีบส่งทั้งหมดมาอีกรึ!”

ซูหมิงยืนบนยอดเขาผู่เชียง มองจ้าวหมานคุกเข่าลงตรงหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงของเขาไม่ดังมากนัก ทว่าภายใต้สถานการณ์ในเวลานี้ กลับทรงพลังอย่างน่าอัศจรรย์

จ้าวหมานผู่เชียงตัวสั่นเทา หลับตาลงยกสองมือขึ้น จากนั้นพลันกดลงบนพื้นข้างตัว ในช่วงที่กดลงมีพลังจากในตัวเขาหลั่งไหลเข้าสู่ภูเขา

“ด้วยโลหิตของจ้าวหมานผู่เชียง ขอเปิดอำนาจแห่งความตาย อัญเชิญพลังความตายบรรพกาลที่ฝังอยู่จากผืนดิน!” จ้าวหมานผู่เชียงกล่าวพึมพำ กัดปลายลิ้นพ่นโลหิตกลายเป็นสีดำสาดลงพื้น ทั้งยอดเขาผู่เชียงพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

พลังความตายหนาแน่นพลันปะทุขึ้นมาจากผืนดินใต้ยอดเขา ไหลมาตามรอยแยกภูเขาและแผ่ขยายออกมา ทำให้ยอดเขาในยามนี้เกือบถูกพลังความตายปกคลุมจดมิด!

ภายในพลังความตายมหาศาล มีเสียงร้องโหยหวนดังกังวานรอบแปดทิศ เห็นได้ชัดว่ามีวิญญาณอาฆาตอยู่จำนวนมาก ซูหมิงจ้องพลังความตายเหล่านั้น นัยน์ตาเป็นประกาย ยามนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เขาไม่อยากเสียเวลาแม้แต่น้อย แทบจะเป็นช่วงที่พลังความตายปรากฏ เขาตบมือขวาลงบนถุงเก็บวัตถุในอกเสื้อ พลันปรากฏศพคนที่ถูกปกคลุมด้วยสมุนไพรตรงหน้าเขา

บนตัวศพอัดแน่นไปด้วยสมุนไพรจึงมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่าเมื่อศพปรากฏ พลังความตายจากรอบทิศเหมือนน้ำหลากที่ถูกอุดเอาไว้พลันหาช่องทางพบ พุ่งทะลักเข้ามาทางศพ ราวกับว่ายามนี้ศพกลายเป็นน้ำวนยักษ์ดูดพลังความตายเหล่านั้นเข้ามา โดยเฉพาะวิญญาณชั่วร้ายจากพลังความตาย ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน พวกมันตรงเข้าโอบล้อมศพในชั่วพริบตา ก่อนทะลวงเข้าไปในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง

ภาพดังกล่าวทำให้จ้าวเผ่าและจ้าวหมานผู่เชียงเกิดความตื่นตะลึง พวกเขาใช้พลังความตายฝึกฝนมาทั้งชีวิตและแสดงเคล็ดวิชาหมาน ทว่ากลับไม่เคยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

“นี่…นี่มันเคล็ดวิชาหมานอะไร!”

ซูหมิงหายใจถี่เล็กน้อย เขารอวันนี้มานานมากแล้ว

‘โอสถชิงวิญญาณ มันจะเป็นวัตถุประจำตัวขั้นชำระล้างของข้าได้หรือไม่ ก็ต้องดูตอนนี้!’ ซูหมิงสะบัดมือขวา ในมือเขาปรากฏสมุนไพรจากกระดูก หลังจากบดขยี้ทีละต้นแล้ว สมุนไพรและกระดูกที่แหลกเหล่านั้นก็หลอมรวมเข้าสู่ศพอย่างน่าอัศจรรย์ กลิ่นอายพลังน่าสะพรึงพลันปล่อยมาจากศพ ความเข้มข้นของกลิ่นอายพลังแผ่ขยายไปรอบแปดทิศ

ซูหมิงแทบควบคุมแรงกระตุ้นในการทะลวงขั้นชำระล้างไม่ไหว คนยักษ์เหนือศีรษะเขา หลังจากแผดเสียงคำรามในยามนี้ก็จะแหลกสลายอย่างรวดเร็ว ไม่นานจะแตกกระจาย และถึงช่วงเวลาแห่งการข้ามผ่านขั้นชำระล้างของซูหมิง

เงาคนเกราะดำบนท้องฟ้าหรือร่างแท้จริงของเทวรูปชำระล้างยกมือขวาขึ้นอย่างช้าๆ แรงกดดันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งเมื่อเขายกมือขึ้นจนสุด จะทำให้แผ่นดินใหญ่พบกับมหันตภัย

ซูหมิงมีสีหน้าจริงจังและตึงเครียดมากขึ้น เขาทำตามวิธีการหลอมโอสถชิงวิญญาณจากในความคิด ยืนล้อมศพของเหอเฟิงรอบตัว จากนั้นตบบนตัวศพไม่หยุด ทุกครั้งที่ตบเนื้อศพจะเว้าลงไป ทว่าพลังความตายมหาศาลหลั่งทะลัก ทำให้พองบวมกลับมาอีกครั้ง

‘เขากำลังทำอะไร!’

‘ตอนนี้เขาไม่ยอมทะลวงขั้นชำระล้าง แต่กลับให้พลังความตายเข้าไปในศพ เขา…กำลังทำอะไร!’

นี่คือความคิดส่วนใหญ่ของผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างที่ยังมีสติในเวลานี้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ครู่ต่อมามีเสียงระเบิดดังกังวาน คนยักษ์เส้นเลือดเหนือศีรษะซูหมิงแหลกละเอียด ทันใดนั้นเทวรูปสวมเกราะดำบนท้องฟ้าพลันชี้นิ้วมือขวาลงมาทางซูหมิง

“เจ้า…ชำระล้าง!”

กลิ่นอายพลังชำระล้างพลันปะทุมาจากในตัวซูหมิง เส้นเลือดเก้าร้อยเก้าสิบเส้นบนตัวเขาเหมือนจะหลอมรวมกันก่อเป็นลวดลายหมาน นี่คือสัญลักษณ์ของขั้นชำระล้าง!

แทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ซูหมิงตบมือขวาไปตรงกลางกระหม่อมของศพเหอเฟิง นั่นคือขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมโอสถชิงวิญญาณ!

ในช่วงที่เขาตบมือขวาลง ร่างเหอเฟิงพลันพองบวม ลืมตาขึ้น ภายในดวงตาสองข้างเปล่งแสงสีเทา เขาเหมือนกับฟื้นคืนชีพ ดวงตาที่เหมือนไม่ใช่ของเหอเฟิงเงยหน้ามองท้องฟ้า สิ่งแรกที่เขามองคือเทวรูปชำระล้าง นัยน์ตาเป็นประกายแสงสีเทา ร่างกายที่ถูกปกคลุมด้วยสมุนไพรลอยขึ้น จากนั้นค่อยๆ ปรับเป็นท่านั่งขัดสมาธิเหมือนกับเทวรูปชำระล้าง

ในจุดนี้ซูหมิงก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เขาตะลึงงัน ทว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เส้นเลือดในร่างกายกำลังหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกของขั้นชำระล้างบรรลุถึงขีดสุด

“จะชำระล้างแล้ว…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ ไม่สนใจศพเหอเฟิงข้างกายอีก แม้กล่าวว่าเหตุการณ์พิลึกทำให้เขามึนงงเล็กน้อย ทว่าการหลอมโอสถเป็นเขาที่ลงมือด้วยตัวเอง อีกทั้งยังทำตามวิธีการหลอมในความทรงจำ ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าในร่างกายเหอเฟิงมีไอสมุนไพรกำลังไหลเวียนและรวมกันอยู่ในสมองของศพ หากรวมสำเร็จก็จะออกมาเป็นโอสถชิงวิญญาณ!

“ท่านปู่ ข้าจะไปถึงขั้นชำระล้างแล้ว…” ซูหมิงนั่งขัดสมาธิหลับตา ทันใดนั้นชั้นเมฆที่ถูกแหวกบนท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าร้องลงมา ขณะเดียวกันเหนือเทวรูปชำระล้างไกลออกไปอีก ท่ามกลางสายฟ้าผ่ามีชั้นเมฆกำลังรวมตัวกัน

นี่มิใช่เรื่องสมเหตุสมผล ภายใต้แรงกดดันของเทวรูปชำระล้าง ชั้นเมฆทำได้เพียงถูกแหวกแล้วมีหมอกมาแทนที่เท่านั้น ไม่มีทางรวมตัวกันได้อีก แต่ยามนี้ชั้นเมฆกลับกำลังรวมตัว!

ในช่วงที่ชั้นเมฆรวมตัว มีสายฟ้าสีครามผ่าลงมาจากชั้นเมฆในฉับพลัน มันมีขนาดราวถังน้ำ ผ่าลงมาข้างเทวรูปชำระล้าง ก่อนพุ่งลงสู่ผืนดินเหมือนเป็นเส้นตรงใส่ศพของเหอเฟิง

ซูหมิงตื่นตะลึงเบิกตากว้าง เห็นสายฟ้าสีครามผ่าลงมาอย่างชัดเจน ทำให้ศพพองบวมของเหอเฟิงแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว มีประกายสายฟ้าสีครามไหลเวียน

สมุนไพรบนตัวแหลกละเอียดในชั่วพริบตา ทว่ากลิ่นสมุนไพรในศพเหอเฟิงกลับเหมือนสูบสายฟ้าเข้าไปจำนวนมาก และกำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วบริเวณสมองจนกลายเป็นก้อนใยฝ้ายที่กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว

ปรากฏการณ์พิลึกสองชนิดบนท้องฟ้าทำให้เกิดความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง บนแผ่นดินใหญ่ภูเขาหาน ผู้คนที่ไร้ซึ่งสติใต้เทวรูปชำระล้าง ยามนี้ได้ถึงสติกลับมา

อีกทั้งเทวรูปชำระล้างยังตัวสั่นสะท้าน แรงกดดันจากในตัวเขาถูกสายฟ้าตีแตกกระจายหายไปเล็กน้อย ดังนั้นอารมณ์ชั่ววูบในการทะลวงขั้นชำระล้างของซูหมิงจึงผ่อนคลายลงในชั่วพริบตา

ในพริบตาเดียว ภาพในอดีตผุดขึ้นในความคิดของเขาภาพหนึ่ง

‘ข้าไม่รู้จักความพอประมาณ ไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ในสายตาของท่านก็ไม่มีคุณสมบัติหรือตำแหน่งอะไรทั้งนั้น…แต่ท่านปู่เคยบอกกับข้าว่า ฝนที่ตกจากฟากฟ้า สิ่งที่เจ้าเห็นจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อน้ำฝนหยุดแล้ว เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่ามันมีเท่าไร…ดินเลนสกปรกบนพื้น เจ้าได้เห็นเพียงแค่เปลือกนอก แต่ไม่เห็นภายใน…ปีนี้ข้าอายุสิบหก…’

ในภาพความทรงจำนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังเงยหน้าเผชิญกับจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬ กล่าวด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ สีหน้าสงบนิ่ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version