Skip to content

สู่วิถีอสุรา 253

ตอนที่ 253 ธรณีประตูบานนั้น

เทียนหลันเมิ่งขมวดคิ้ว นางเข้าใจคำพูดของซูหมิงเล็กน้อย ทว่าพอขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยังคงมึนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจสักเท่าไร

“อะไรคือเพียงแค่เพื่อลืมตา?” หญิงผมยาวเทียนหลันเมิ่งขบคิดอยู่ชั่วครู่ จึงถามเสียงเบา

ซูหมิงมองหญิงสาวตรงหน้า พลันยกมือขวาขึ้นสะบัดกลางอากาศ ปลายนิ้วลากผ่านหินภูเขาด้านข้าง ขณะเกล็ดน้ำแข็งลอยล่อง ปรากฏดอกไม้บานดอกหนึ่งบนก้อนหินภูเขาตรงธารน้ำแข็ง

ดอกไม้ดอกนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิตที่มองแวบเดียวก็สัมผัสได้ กระทั่งหากมองไป จะสับสนเล็กน้อยว่ามันเป็นภาพแกะสลักธารน้ำแข็ง หรือว่าเป็นดอกไม้กลางธารน้ำแข็งจริงๆ

“เจ้าลอกแบบมัน” ซูหมิงลดมือลง กล่าวอย่างสงบนิ่ง

นัยน์ตาเทียนหลันเมิ่งเป็นประกาย มองดอกไม้บนธารน้ำแข็ง ชี้นิ้วมืองามไปแล้ววาดลายเส้นบนอากาศหลายครั้ง พลันปรากฏดอกไม้น้ำแข็งอีกดอกบนธารน้ำแข็ง

ดอกไม้สองดอกนี้ดูมีลักษณะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือลักษณะ แทบจะมองไม่ออกถึงความต่าง

“เข้าใจแล้วรึยัง?” ซูหมิงมองเทียนหลันเมิ่ง

หญิงสาวผมยาวขมวดคิ้ว ผ่านไปพักหนึ่งจึงส่ายศีรษะ

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาทำแบบง่ายๆ โดยการชี้นิ้วไปตรงหินภูเขาด้านข้าง บริเวณนั้นปรากฏเป็นโพรงเล็กแห่งหนึ่ง ตรงขอบมีรอยร้าวลากเป็นเส้นยาวจำนวนมาก

“เจ้าลอกแบบมัน” ซูหมิงยังคงสงบนิ่ง

เทียนหลันเมิ่งมองโพรงเล็กตรงหินภูเขาตามนิ้วของซูหมิง เงียบอยู่นานก่อนเงยหน้ามองเขา ในแววตาสับสน

“เจ้าทำได้เพียงลอกแบบ” ซูหมิงมองหญิงสาวแล้วกล่าวช้าๆ

“เพราะเจ้าคิดว่าจิตวิญญาณคือเต๋า เจ้าตามหาสิ่งที่ล่องลอย ดังนั้นเจ้าจึงลอกแบบได้ทุกสรรพสิ่ง เพราะเจ้าคิดว่าขณะที่เจ้ากำลังแสวงหา ย่อมมีเต๋าโดยธรรมชาติ

ข้าไม่รู้ว่าเต๋าคือสิ่งใด…แต่จากความหมายในคำพูดเจ้าก่อนหน้านี้ ข้าเข้าใจว่าแม้เต๋าจะเป็นสิ่งเลื่อนลอยและมายา ทว่ามันก็อยู่บนโลกใบนี้ บางทีต้นไม้ใบหญ้า ดอกไม้และก้อนหินอาจมีเต๋าอยู่

สิ่งที่ข้าแสวงหามิใช่เต๋า แต่เป็นจิตใจคือความปรารถนา จิตวิญญาณคือระดับที่บรรลุถึง ลืมตาและวาดความปรารถนาของข้า…ดังนั้นข้าจึงวาดได้ แต่เจ้าทำได้เพียงลอกแบบ”

เทียนหลังเมิ่งเงียบอยู่นาน แววตาซับซ้อนมากยิ่งขึ้นยามมองซูหมิง

“หากทุกคนบนโลกใบนี้หลับ จะมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ตื่น นั่นก็เท่ากับว่าเมื่อทุกคนตื่น เจ้าจะหลับเพียงคนเดียว…” เทียนหลันเมิ่งพึมพำเบาๆ นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนยอดเขาลำดับเก้าถึงมีนิสัยแปลกที่คนปกติไม่เข้าใจ

“ลายเส้นแบบเดียวกัน สิ่งที่ข้าวาดคือกระบี่เล่มนั้นที่อยู่ในใจข้า แต่เจ้าทำได้เพียงลอกแบบลายเส้นของข้า บางสิ่ง เจ้าลอกแบบได้ และบางสิ่งเจ้าลอกแบบไม่ได้” ซูหมิงยืนขึ้น พลิกแผ่นไม้ในมือ เผยให้เห็นด้านหลัง

“ข้ามาที่นี่ มาตอบคำถามเหล่านี้ของเจ้าก็เพื่อถามเจ้าเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ดูท่าคงไม่ต้องถามแล้ว เจ้า ไม่เข้าใจ” ซูหมิงถอนหายใจเบา หมุนตัวเตรียมจากไป

“ซูหมิง!” ช่วงที่ซูหมิงหมุนตัวกลับ ด้านหลังเขาพลันมีพลังมหาศาลตรงเข้ามา เทียนหลันเมิ่งยืนขึ้นอย่างช้าๆ นางมองซูหมิงด้วยแววตาหนักแน่น

“ข้ามองไม่เห็นภาพด้านหลังแผ่นไม้นี้ แต่ข้าสัมผัสได้ หากเจ้าอยากรู้ที่มาของแผ่นไม้ ข้าบอกเจ้าได้ แต่ข้าอยากรู้ว่าบางสิ่งที่ข้าลอกแบบไม่ได้หมายถึงอะไร!”

“เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ?” ซูหมิงหยุดชะงัก กล่าวอย่างสงบนิ่งโดยไม่หันหลังกลับ

“หากเจ้าอธิบายให้ข้ากระจ่างได้ หินทอง วิชาเปลี่ยนเทพหมาน กระบี่เหมันต์สวรรค์ ข้าจะให้เจ้าทั้งหมด!” เทียนหลันเมิ่งกล่าว ยกมือขวาสะบัด พลันมีสามกล่องตรงเข้าไปหาซูหมิง ตกอยู่ข้างกายเขา

“หากเจ้าทำได้แค่พูด แต่ทำไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก เจ้าเอาแผ่นไม้ไปได้ ทว่ามูลค่าของมันคือเจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขข้าหนึ่งข้อและปฏิเสธไม่ได้” เทียนหลันเมิ่งกล่าวเบาๆ มีสีหน้าปกติดังเดิม

ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ หมุนตัวกลับแล้วสะบัดแขนเสื้อ สามกล่องบนพื้นพลันหายเข้าไปในตัวเขา เขามองเทียนหลันเมิ่ง ก่อนยกมือขวาใช้นิ้วลากผ่านหินภูเขาด้านข้างทันใด หินภูเขาสั่นสะเทือน ด้านบนปรากฏร่องรอยบางๆ หนึ่งเส้น ร่องรอยนั้นดูเหมือนลายเส้นและกระบี่ ทั้งยังมีความรู้สึกเศร้าโศกกระจายออกมาจากตัวมันในฉับพลัน

เทียนหลันเมิ่งไม่กล่าว เพียงมองแวบแรกก็ยกมือขวาขึ้นและลากนิ้วตาม ทันใดนั้น ภาพที่มีจิตวิญญาณและลักษณะเหมือนกันทุกประการกับของซูหมิงปรากฏบนหินภูเขา

ซูหมิงขยับมือขวาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาวาดต่อเนื่องกันสิบเส้น ทุกลายเส้นดูเหมือนกัน ทว่าความจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาวาดบนหินภูเขาทีละเส้นจนทำให้ก้อนหินเกิดเสียงอึกทึก

เทียนหลันเมิ่งมีสีหน้าสงบ แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงวาด นางก็ลอกแบบตาม ตอนซูหมิงหยุดอยู่ตรงลายเส้นที่สิบ ด้านข้างตัวเขามีแบบลอกสิบเส้นเหมือนกันทุกประการ

ซูหมิงกระทืบเท้าขวาลงพื้น ทั้งตัวพลันลอยอยู่กลางอากาศ เขาหลับตา ยกมือขวาขึ้นแล้ววาดไปทางยอดเขาลำดับเจ็ด

สิบเส้น ร้อยเส้น พันเส้น…จากการวาดของซูหมิง ทั้งยอดเขาลำดับเจ็ดสั่นสะเทือน บนพื้นผิวยอดเขาพลันปรากฏรอยยาวหลายเส้น รอยยาวเหล่านั้นล้วนมาจากการวาดของซูหมิง

ทุกลายเส้นเหมือนกันหมด แต่มันกลับต่างกัน

เทียนหลันเมิ่งก็ลอยอยู่กลางอากาศเช่นกัน นางอยู่ข้างซูหมิง ยกมือขวาทำการลอกแบบ แม้ทุกลายเส้นต่างกัน ทว่านางก็ทำมันได้ดีถึงระดับนี้

จากการที่ทั้งคู่คนหนึ่งวาดอีกหนึ่งลอกแบบ ทั้งยอดเขาลำดับเจ็ดสั่นสะเทือน เสียงอึกทึกทำให้ศิษย์ทั้งหมดของยอดเขานี้ตื่นตะลึง เงยหน้าขึ้นมอง

อีกทั้งในเวลานี้ บนยอดเขาลำดับเจ็ด มีหญิงชราสวมเสื้อคลุมขาวผู้หนึ่งกำลังมองซูหมิงกับเทียนหลันเมิ่งกลางอากาศ ดวงตาเป็นประกายวาววับ

เมื่อวาดเสร็จซูหมิงยังไม่หยุด เขาวาดอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สำหรับเขาแล้วนี่มิได้ยากอะไรเลย ช่วงวันปกติเขาก็วาดลายเส้นบนกระดานภาพอยู่แล้ว จำนวนของมันมากกว่าตอนนี้เสียอีก ยามนี้เขาวาดอย่างสบายๆ ใช้ภูเขาเป็นฉากภาพ หนึ่งพัน สามพัน ห้าพัน เจ็ดพัน…

ลายเส้นเหล่านั้นมีกลิ่นอายพลังที่ต่างกันไป จึงเริ่มทำให้เทียนหลันเมิ่งลอกแบบช้าลง นางเริ่มตามการวาดตามแต่ใจของซูหมิงไม่ทัน เพราะนางกำลังลอกแบบ แต่ซูหมิงวาดได้ทันที

หนึ่งคนวาดตามใจนึก อีกคนต้องลอกแบบ

กาลเวลาผ่านไป ซูหมิงวาดออกมาอย่างต่อเนื่องนับหมื่นเส้น เขายังไม่หยุด เหมือนกับว่าตกอยู่ในห้วงของการวาดอย่างสมบูรณ์ แต่ละลายเส้นราวกับแผ่ขยายบนฟ้าดินยอดเขาลำดับเจ็ด

เหล่าศิษย์หญิงหลายคนบนยอดเขาลำดับเจ็ด เวลานี้กำลังมองการประลองฝีมือประหลาดระหว่างเทียนหลันเมิ่งกับซูหมิงบนท้องฟ้าภายใต้การสั่นสะเทือนของยอดเขา ทุกคนทยอยกันเปลี่ยนสีหน้า

ไป๋ซู่ยืนอยู่บนยอดเขา มองซูหมิงกลางอากาศ สูดลมหายใจเข้าลึก นางรู้สึกว่าซูหมิงตรงหน้าคนนี้ เหมือนจะต่างกับคนที่นางรังเกียจในความทรงจำเล็กน้อย

ทว่าตอนที่ซูหมิงวาดลายเส้นหนึ่งหมื่นสามพันกว่าเส้น เทียนหลันเมิ่งก็ตามไม่ทันแล้ว ตรงหน้าผากนางผุดเม็ดเหงื่อ เหตุที่ความเร็วช้าลงก็เป็นเพราะลายเส้นหนึ่งหมื่นกว่าเส้นนี้มีการวาดที่ต่างกัน เป็นเรื่องยากยิ่งนักที่นางจะลอกแบบความรู้สึกที่ต่างกันเช่นนี้ได้

แต่นางยังกัดฟันยืนหยัด ลอกแบบต่อไปทีละเส้น เสียแต่ความเร็วของนางกลับลดลงเรื่อยๆ ตอนที่นางลอกแบบถึงหนึ่งหมื่นห้าพันเส้น ซูหมิงวาดไปถึงสองหมื่นแล้ว

ลายเส้นที่ต่างกันสองหมื่นเส้นทำให้เทียนหลันเมิ่งหน้าซีด การเคลื่อนไหวของนางช้าลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็หยุดลง นางมองซูหมิงพลางกัดริมฝีปากล่าง

ซูหมิงยังคงหลับตา ขณะสะบัดมือวาดลายเส้น ทันทีที่วาดเส้นที่สองหมื่นสามพัน เขาพลันลืมตาขึ้น ลายเส้นสุดท้ายนี้เขาลากนิ้วไปทางท้องฟ้า

ช่วงที่เขาลากนิ้วผ่าน เกิดเสียงระเบิดบนท้องฟ้า รอยร้าวขนาดยักษ์เส้นหนึ่งพลันปรากฏกลางอากาศในชั่วพริบตา และเพราะเป็นชั่วพริบตา ดังนั้นหลังจากมันปรากฏแล้วจึงหายไปทันที!

“เจ้าลอกแบบได้หรือไม่?” ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ มองเทียนหลันเมิ่ง

เทียนหลันเมิ่งตัวสั่นมองลายเส้นสุดท้าย พูดไม่ออกแม้แต่นิด

“นี่มิใช่กระบี่เล่มนั้นของซือหม่าซิ่น!” ผ่านไปนาน เทียนหลันเมิ่งกล่าวด้วยเสียงแหบ

“ไม่ใช่ นี่เป็นของข้าเอง” ซูหมิงกล่าวเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับ เดินอากาศไกลออกไปทีละก้าว

“เงื่อนไขของเจ้าคงจะเป็นการร่วมมือกันในสงครามหมอกนภาล่าเชมัน และนั่นเหมือนว่าจะเกี่ยวกับของที่เจ้าให้ข้าด้วย การร่วมมือครั้งนี้ย่อมได้”

เงาแผ่นหลังของซูหมิงหายลับไปไกล น้ำเสียงเขาดังแว่วเข้ามากระทบหูของเทียนหลันเมิ่ง

บนยอดเขาลำดับเจ็ด หญิงชราเสื้อคลุมขาวมองเงาที่ห่างออกไปของซูหมิง เงยหน้ามองท้องฟ้า นัยน์ตาเป็นประกายสว่างไสว

“การสร้างภาพวาด…..” หญิงชราพึมพำเบาๆ มองไปทางยอดเขาลำดับเก้า

‘เด็กคนนี้คารวะเข้ายอดเขาลำดับเก้าได้ไม่นาน แต่กลับเข้าใจถึงเพียงนี้…ทว่าคำว่าสร้าง เป็นความหมายที่แท้จริงของเผ่าหมานพวกเราจริงๆ รึ…อาจารย์อาเทียนเสียจื่อ ศิษย์คนแรกของท่านเพราะเข้าใจเลยต้องปิดด่านฝึกพลัง ไม่อาจออกมาได้

ศิษย์สองของท่านเพราะเข้าใจ ภายในจึงเกิดการแตกแยก…

ศิษย์สามของท่านเพราะเข้าใจ จึงปรากฏความต่างของความจริงและความฝัน…

ทั้งสามคนนี้ทั้งสำเร็จและล้มเหลว…บางทีอาจมีวันหนึ่งที่พวกเขาจะทำสำเร็จอีกครั้ง แต่ก็แค่บางทีเท่านั้น…ตอนนี้ศิษย์คนที่สี่ของท่านก็กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูแล้ว ในตัวเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร…

ท่านสามารถก้าวข้ามจิตใจเปลี่ยนสี่ครั้ง แต่ก็หยุดอยู่ที่ครั้งที่ห้า…ทว่าต่อให้ท่านข้ามผ่านไปได้ ด้านหลังก็ยังมีอะไรที่มากกว่ากำลังรอท่านอยู่ ขนาดท่านยังเป็นเช่นนี้ แล้วศิษย์ของท่านจะทำได้รึ? การสร้าง ยากนัก…’ หญิงชราส่ายศีรษะ สีหน้าซับซ้อน

“ในด้านขั้นพลัง เมิ่งเอ๋อร์คือหมายเลขหนึ่งของแผ่นดินเหมันต์ ในด้านสภาพจิตใจ ข้าทำให้นางตระหนักรู้ถึงเต๋าของต่างแดน วิธีนี้มั่นคง ทว่ากลับไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าหมาน…”

ขณะหญิงชรากล่าวพึมพำด้วยสีหน้าซับซ้อน ณ ยอดเขาลำดับเก้า ภายในถ้ำของเทียนเสียจื่อ ยามนี้เขากำลังนั่งฌานอยู่ในนั้น สีหน้าบิดเบี้ยวดูดิ้นรนและเจ็บปวด อาภรณ์ที่เขาใส่บ้างเป็นสีขาว บ้างเป็นสีดำ บ้างเป็นสีแดง บ้างเป็นสีเขียว แต่ส่วนมากกลับหยุดอยู่ที่สีม่วง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version