ตอนที่ 255 เจ้าประลองฝีมือเป็นหรือไม่
ซูหมิงมองภาพวาดอยู่นาน เขาหยิบภาพขึ้นมาพลิกกลับด้าน แล้วเก็บรักษาเอาไว้
ก่อนหน้าที่คนในภาพจะยกขาฉีกต้นหญ้าบนพื้น ภาพของซูหมิงไม่จะไม่วาดลงด้านหน้า แต่วาดลงด้านหลัง
เขายังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะรับมือกับซือหม่าซิ่นอย่างไร ควรจะยุติอย่างไร จะ…เอาชนะอย่างไร! การต่อสู้ครั้งนี้บางทีอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในสำนักเหมันต์สวรรค์ก่อนสงครามหมอกนภาล่าเชมัน!
ค่ำคืนเงียบสงบค่อยๆ ผ่านไป ในค่ำคืนนี้ ซูหมิงไม่ได้วาดภาพ เขานั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น หลับตาลงเล็กน้อย ขณะหายใจ ความคิดเขาผุดเงาร่างคนกลางหิมะในความทรงจำ
ในใจของซูหมิงเหมือนจะมีความเข้าใจรางๆ เขารู้สึกว่าการต่อสู้กับซือหม่าซิ่นครั้งนี้คล้ายจะไม่สำคัญอะไร ทว่าจุดสำคัญคือสตรีนามไป๋ซู่ จุดสำคัญคือใบหน้าที่เหมือนกับไป๋หลิง ทั้งยังมีความดื้อรั้นเหมือนกันจากในตัวนาง
จุดสำคัญคือหลายครั้งหากไม่เตรียมใจให้พร้อม ก็จะมองนางเป็นไป๋หลิงในชั่วพริบตา…
จุดสำคัญคือจิตใจของเขาเหมือนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มิได้กะทันหัน ราวกับว่าเดิมทีก็มีอยู่แล้ว ถึงตอนนี้มันคล้ายรวมตัวกันถึงระดับที่มั่นคงจนต้องการจะปะทุออกมา
แสงตะวันยามเช้าตรู่สาดส่องเข้ามาตามถ้ำ ทว่าก็ส่องมาไม่ถึงตัวซูหมิง นอกจากแสงตะวันที่ส่องเข้ามาพร้อมกันแล้ว ยังมีเสียงสตรีผู้หนึ่งดังอยู่นอกถ้ำ
“ต่อให้วันนี้เจ้าไล่ข้าลงเขาอีก ข้าก็จะมาอีก จะมาทุกวัน!”
หลังกล่าวจบ ไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลง ซูหมิงรู้ดีว่าจื่อเชอไล่นางออกจากยอดเขาลำดับเก้าอีกครั้ง
แต่ผ่านไปไม่นาน เสียงของไป๋ซู่ดังแว่วเข้ามาอีก
“ซูหมิง หากเจ้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้า ในใจเจ้าจะมีปมไปชั่วนิรันดร์!”
เป็นเช่นนี้หลายครั้งตลอดทั้งวัน เวลาผ่านช้าๆ ไปจนถึงยามโพล้เพล้ ครั้งนี้ไป๋ซู่มายอดเขาลำดับเก้าและถูกจื่อเชอไล่อีกครั้ง ร่างกายนางเริ่มจะทนไม่ไหว กระอักโลหิตหนึ่งครา
จื่อเชอเกิดความลังเล เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่ยึดมั่นเช่นนี้ ตลอดทั้งวันไป๋ซู่ขึ้นเขามาแล้วเจ็ดครั้ง!
จนกระทั่งกระอักโลหิตและบาดเจ็บ นางเลยจำต้องถอย…จื่อเชอมองโลหิตสดที่ไหลซึมบนพื้นน้ำแข็ง ก่อนมองถ้ำของซูหมิง
ถ้ำยังคงเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดๆ ดังแว่วออกมา จื่อเชอเงียบไปครู่หนึ่ง จึงค่อยนั่งสมาธิลงด้านข้าง
ในวันที่สอง ไป๋ซู่ก็มาอีกครั้ง
วันนี้นางขึ้นเขามาเก้าครั้ง ท้ายที่สุดก็ทิ้งโลหิตไว้หนึ่งกอง ใบหน้าซีดขาว ไม่มีแรงกลับมาอีก
จนกระทั่งถึงยามโพล้เพล้ของวันที่สาม ขณะที่ไป๋ซู่ยืนอยู่นอกถ้ำซูหมิงเป็นครั้งที่ยี่สิบของวันนี้ และยืนอยู่ตรงหน้าจื่อเชอ จื่อเชอยกมือขวาขึ้นแต่กลับไม่อาจสะบัดใส่
เขามองเด็กสาวตรงหน้า ใบหน้านางซีดขาวยิ่งนัก ลำตัวโคลงเคลงจะล้มลง ทว่าความยึดมั่นในแววตา ทั้งยังมีความเข้มแข็งและทรหดจากนิสัย ทำให้จื่อเชอลังเล
แม้จุดยืนต่างกัน จื่อเชอกลับเคารพไป๋ซู่ตรงหน้า ในเวลาสามวันนางขึ้นเขามากกว่าห้าสิบครั้ง และถูกไล่ไปมากกว่าห้าสิบครั้ง แต่นางกลับยังยืนหยัดไหว
ยิ่งถูกไล่มากเท่าไร ความยึดมั่นในแววตาจะยิ่งเข้มมากขึ้นเท่านั้น จื่อเชอไม่สงสัยเลย ต่อให้เขาลงมือไล่ในตอนนี้ หรือบางทีนางอาจจะไม่มีแรงกลับมาอีก ทว่าพรุ่งนี้ ต่อให้บาดเจ็บนางก็จะมาอีกครั้ง
หากเป็นระยะยาว ต่อให้เด็กสาวมีสุขภาพแข็งแกร่งกว่านี้ก็ไม่มีทางทนไหว มิหนำซ้ำขั้นพลังนางเพิ่งจะถึงชำระล้างเท่านั้น กระทั่งดูจากท่าทางแล้ว แม้แต่ลายหมานของชำระล้างก็ยังไม่ทันวาดด้วยซ้ำ
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้…” จื่อเชอมองไป๋ซู่ ฝืนยิ้มกล่าว
“เจ้าจะไล่ข้าลงเขาอีกครั้งก็ได้ แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้!” ไป๋ซู่มีน้ำเสียงอ่อนแรงยิ่งนัก ขณะกล่าว นางหันหน้ามองไปทางยอดเขาลำดับหนึ่งแวบหนึ่ง
‘ยิ่งเจ้าไปมากเท่าไร จิตใจของเขาจะยิ่งไม่สงบ ยิ่งเจ้าบาดเจ็บมากเท่าไร หัวใจของเขาก็จะยิ่งเจ็บปวด…เขามิใช่คนไร้เมตตา มิใช่คนที่จะลืมอะไรง่ายๆ ข้ามั่นใจในจุดนี้มาก! แต่ว่าไป๋ซู่ ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้น เพราะหัวใจของข้าเจ็บปวดยิ่งกว่า…” คำพูดอ่อนโยนของซือหม่าซิ่นดังก้องอยู่ในความคิดไป๋ซู่
นัยน์ตานางฉายแววเข้มแข็งและยึดมั่นมากยิ่งขึ้น
จื่อเชอถอนหายใจยาว แล้วพลันยกมือขวาขึ้น เขาเป็นคนรักษาการณ์ภูเขาให้กับซูหมิง เขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของซูหมิง เขาไม่กล้าปฏิเสธ
เผชิญหน้ากับเด็กสาวผู้ไม่ยอมแพ้คนนี้ ขณะจื่อเชอกำลังจะสะบัดมือไล่นางลงเขาอีกครั้ง พลันมีคำพูดราบเรียบดังแว่วมาจากในถ้ำของซูหมิง
“เจ้าขึ้นเขามาหลายครั้ง มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
หลังจากซูหมิงกล่าวจบ จื่อเชอนึกโล่งอก เขาสงสารเด็กสาวตรงหน้าเล็กน้อย แม้เขาจะรู้ไม่เยอะ แต่ก็รู้ว่าการมาของเด็กสาวต้องเกี่ยวกับซือหม่าซิ่นอย่างแน่นอน
“ข้าอยากเรียนวาดภาพ” ไป๋ซู่มองถ้ำของซูหมิง กล่าวอย่างหนักแน่น
“หากเจ้าไม่ถ่ายทอดให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าก็จะมาทุกวัน จะให้ข้าตายหรือว่ายอมรับในวันนี้!” แม้เสียงไป๋ซู่จะอ่อนแรง ทว่าดูจากความยึดมั่นถือมั่นจากภายใน ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางพูดได้และทำได้
“คุ้มค่าอย่างนั้นรึ…เรื่องนี้เดิมทีไม่เกี่ยวกับเจ้า” ภายในถ้ำเงียบอยู่นาน ก่อนมีเสียงเหมือนซูหมิงถอนหายใจดังแว่วมา
ไป๋ซู่ไม่กล่าว ทว่าความยึดมั่นในแววตากลับไม่ลดน้อยลงเลย
“ในความทรงจำของข้ามีผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนเจ้าจริงๆ…มาหาข้าหลายครั้งและยังฉีกบาดแผลความทรงจำของข้า เจ้าทำเพื่อช่วยซือหม่าซิ่นอย่างนั้นหรือ…” เสียงพึมพำของซูหมิงล่องลอยมาจากในถ้ำ
ไป๋ซู่เงียบ ความยึดมั่นในแววตาเหมือนลังเล ทว่าไม่นานความลังเลนั้นก็หายไป
“เป็นเจ้าที่แย่งสมบัติของพี่ใหญ่ซือหม่าก่อน…” ไป๋ซู่กัดฟันขาว นางยังกล่าวไม่จบ ก็พลันมีลมพายุคลั่งพัดมาจากในถ้ำ ม้วนตัวนางลงจากเขา
ภายในถ้ำ ซูหมิงมองกระดานภาพตรงหน้า แล้วลดมือขวาลงอย่างสงบนิ่ง
ท้องฟ้าภายนอกค่อยๆ มืดสลัว จนกระทั่งมืดทึบ ยามกลางดึกยอดเขาลำดับเก้าเงียบสงัด บางทีอาจมีแค่ศิษย์พี่รองที่ล่องลอยไปมาเหมือนวิญญาณ ตามหาคนที่เขาคิดว่าจะมาขโมยพืชดอกของตน
บางทีตอนนี้ศิษย์พี่สามอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง กำลังยิ้มน้อยๆ อย่างลึกลับ ถ้ำมองอะไรบางอย่าง และคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด
บางทีศิษย์พี่ใหญ่อาจจะยังคงอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง มองไม่เห็นดวงตะวันขึ้นลง ปิดด่านนั่งฌานอย่างเงียบๆ อยู่ในที่เงียบสงัดแห่งนั้น
ซูหมิงหลับตา หยิบซวินกระดูกชำรุดจากถุงเก็บวัตถุในอกเสื้อ ซวินชำรุดนี้ยากจะซ่อมกลับมาได้ เป่าไม่มีเสียง เขาวางไว้ตรงริมฝีปากแล้วเป่าเบาๆ
ไม่มีเสียง
ทว่าข้างหูซูหมิงเหมือนได้ยินเสียงซวินดังวนอยู่รอบตัวเขา กึกก้องอยู่ในใจอยู่นานไม่เลือนหาย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ดวงจันทร์นอกถ้ำสาดส่องแสงจันทร์อ่อนโยน ส่องสะท้องแสงบนภูเขาน้ำแข็งจนแผ่สีสันหลากหลาย ในค่ำคืนเงียบสงบนี้ ซูหมิงเป่าซวินไร้เสียง สัมผัสความสงบที่ต่างจากการวาดภาพ
จนกระทั่งบรรเลงเพลงจบ มีเสียงแก่ชราดังขึ้นข้างหูซูหมิง
“เป็นเพลงที่ไม่เลว”
วินาทีที่ได้ยินเสียงนั้น ซูหมิงพลันลืมตา หัวใจเต้นรัวแรงทันใด เขาพบว่าภายในถ้ำมีคนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้!
บุคคลนี้สวมชุดสีม่วง ยืนหันหลังให้เขา แสงจันทร์ส่องลงบนตัวเล็กน้อย ขับสีม่วงบนตัวให้เด่นชัดขึ้น ก่อเป็นแรงกดดันพิลึกปกคลุมรอบถ้ำ ขณะเดียวกันสีม่วงก็ยังสะท้อนในดวงตาซูหมิง
ชุดสีม่วง เส้นผมสีม่วง เงาร่างคนสีม่วง เสียงคุ้นหู!
“ศิษย์คารวะอาจารย์” ซูหมิงยืนขึ้นทันที แล้วคารวะเงาคนที่หันหลังให้ตน
แม้ซูหมิงเหมือนมีสีหน้าปกติ ไม่แปรเปลี่ยนอะไร ทว่าในใจเขาตอนนี้กลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ คลื่นลูกใหญ่ที่ว่านี้มิใช่เพราะการมาอย่างกะทันหันของเทียนเสียจื่อ และก็มิใช่เพราะเขาสัมผัสไม่พบก่อนหน้านี้
แต่เป็นเพราะตอนนี้เทียนเสียจื่อสวมชุดม่วง!
ซูหมิงไม่เคยเห็นเทียนเสียจื่อในลักษณะแบบนี้มาก่อน คำพูดของศิษย์พี่รองในวันนั้นคล้ายดังแว่วมาข้างหูเขาอีกครั้ง ข่าวลือเกี่ยวกับอาจารย์ ทั้งยังสีหน้าจริงจังของศิษย์พี่รอง
นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่ทำให้ซูหมิงตะลึงคือซวินไร้เสียง เสียงนี้อยู่ในความทรงจำเขา แต่คำพูดของเทียนเสียจื่อเมื่อครู่กลับดังขึ้นพอดีกับที่เพลงซวินจบลง
นี่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่า…
ซูหมิงมองอาจารย์ที่หันหลังให้ตนในชุดคลุมม่วง ก่อนถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ากลัวรึ?” เทียนเสียจื่อในชุดคลุมม่วงยังคงยืนหันหลัง น้ำเสียงแก่ชรา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกของกลิ่นคาวเลือด ความรู้สึกเช่นนี้ ซูหมิงสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
กลิ่นคาวเลือดนี้มีทั้งอยู่มานานจนสังเกตได้ และ…เพิ่งสัมผัสมา!
ซูหมิงเห็นเป็นอย่างแรกคือตรงชุดคลุมสีม่วงส่วนล่างของอาจารย์ มีอยู่จุดหนึ่งที่กลิ่นคาวเลือดโชยมา กลิ่นคาวเลือดนี้มิใช่ความรู้สึก แต่เขาได้กลิ่นจริงๆ!
นี่ไม่ใช่เลือดสดของเทียนเสียจื่อ เห็นได้ชัดว่าก่อนเทียนเสียจื่อจะมาหาเขา เคย…เปื้อนเลือดคนอื่นมาก่อน!
“ศิษย์ไม่เคยเห็นอาจารย์ใส่ชุดคลุมม่วงมาก่อน รู้สึกแปลกเล็กน้อย…” ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบไปตามจริง
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเจ้าจะชินเอง” ความเหี้ยมโหดจากเสียงของเทียนเสียจื่อพลันเด่นชัดขึ้นมา ตัวเขาค่อยๆ หมุนกลับ ดวงตาทั้งสองข้างที่ราวกับคบเพลิงมองซูหมิง
ช่วงที่เขาหันมา ซูหมิงเห็นชัดเลยว่าใบหน้าที่เดิมทีมีเมตตา ยามนี้กลับเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็ง ใบหน้าเขามืดทะมึนกว่าเดิม ทว่าแววตากลับไม่มีเจตนาร้าย
ด้านหลังอาจารย์ ซูหมิงคล้ายเห็นทะเลโลหิตรางๆ ภายในทะเลโลหิตมีรูปปั้นหินหนึ่งรูป มันเอาสองมือกอดอก ยามนี้กำลังลืมตามองซูหมิง แต่ก็ไม่มีเจตนาร้ายเช่นกัน
“ศิษย์สี่ เจ้าประลองฝีมือเป็นหรือไม่?” เทียนเสียจื่อมองซูหมิงพลางกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า ขณะกล่าวก็ยิ้มมุมปากด้วยความเหี้ยมโหด
ความเหี้ยมโหดที่ว่าไม่ได้เจาะจงซูหมิง ทว่าคำพูดประโยคนี้ราวจะเหนี่ยวนำจิตใจของเทียนเสียจื่อ ทำให้อารมณ์เขาผันแปร