ตอนที่ 258 แผ่นดินเผ่าเชมัน
รอบแดนอรุณใต้มีกำแพงเทือกเขาราวกระดูกสันหลังมังกรหนึ่งชั้น เทือกเขายาวเหยียดล้อมเป็นวงแหวน แบ่งแดนอรุณใต้ออกเป็นสองส่วนคือในและนอก
เทือกเขาแห่งนี้เรียกว่ากำแพงหมอกนภา
กำแพงหมอกนภามีเมืองหมอกนภาเป็นใจกลาง และมีผู้รักษาการณ์เฝ้าอยู่ตามจุดที่ห่างกันเป็นช่วงๆ ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะฤดูกาลใด ไม่ว่าจะร้อนหนาว ไม่ว่าลมพายุห่าฝน พวกเขาจะไม่ออกนอกเขตรักษาการณ์เด็ดขาด
ไม่ว่าชาวเผ่าเชมันคนใดที่อยากข้ามกำแพงหมอกนภาตรงจุดที่พวกเขารักษาการณ์อยู่ ล้วนต้องข้ามศพพวกเขาไปก่อน
อาจารย์อาไป๋ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขามักจะนั่งอยู่บนกำแพงรักษาการณ์ของตน คอยสอดส่องไปทางเผ่าเชมัน บ้างก็มีสีหน้าห่อเหี่ยว บ้างก็ซับซ้อน
ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทว่าแผ่นดินยังคงมืดสลัว มองเห็นได้ไม่ไกลนัก อาจารย์อาไป๋ก้มหน้าลงหลับตา ปกปิดแววตาของตนไว้
ทว่าวินาทีที่เขาหลับตาลงก็พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตามีประกายวูบผ่าน
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าด้านหลังเขา ขณะมวลอากาศบิดเบี้ยว มีเงาร่างสีม่วงสองคนเดินออกมาจากในนั้น ทั้งสองคนนี้ก็คือเทียนเสียจื่อกับซูหมิง
อาจารย์อาไป๋ขมวดคิ้ว แต่ไม่หันกลับไปมองและหลับตาลงอีกครั้ง
ปล่อยให้เทียนเสียจื่อในชุดคลุมม่วงเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เดินผ่านเขาออกนอกกำแพงหมอกนภา
ซูหมิงตามเทียนเสียจื่ออยู่ด้านหลัง เขาได้พบอาจารย์อาไป๋อีกครั้งที่นี่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงโล่งอก
เขาจำได้ว่าตอนแรกที่มาตรงนี้ หลังจากสนทนากับอาจารย์อาไป๋แล้ว ชายร่างกำยำที่น่าเคารพและมีความรู้สึกผูกพันด้วยผู้นี้ก็ออกไปสู้กับสตรีเผ่าเชมัน
ขณะทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันเกิดพลังมหาศาล ทำให้ซูหมิงในตอนนั้นไม่อาจเข้าใกล้ได้ ในใจยังคงเป็นกังวลอยู่ตลอด ยามนี้พอได้พบ เมื่อซูหมิงเดินผ่านอาจารย์อาไป๋ เขาหันหน้ากลับไปยิ้มให้
ขณะเดียวกับที่ซูหมิงยิ้ม อาจารย์อาไป๋ลืมตาเล็กน้อย เพ่งมองซูหมิงแวบหนึ่ง
“ติดตามตาแก่บ้าคนนั้น เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเอง” ระหว่างกล่าว มือขวาคว้าอากาศ พลันปรากฏเกล็ดปลาสีขาวขนาดเท่านิ้วมือกลางอากาศ ก่อนผลักมาให้ซูหมิง
“นำสิ่งนี้ติดตัวไป ในนั้นมีพลังของข้าอยู่ ใช้มันปกป้องตัวเองเสีย”
อาจารย์อาไป๋กล่าวจบก็หลับตาลง
ซูหมิงรับเกล็ดปลาสีขาวเอาไว้ เมื่อสิ่งนี้อยู่ในมือ มันแผ่กระจายความรู้สึกของพลังชีวิตที่กระปรี้กระเปร่า ทำให้ซูหมิงมีกำลังวังชาขึ้น เขาประสานมือคารวะอาจารย์อาไป๋ แม้เขากับคนตรงหน้าเคยพบกันเพียงสองครั้ง ทว่าความรู้สึกผูกพันกลับเข้มข้น ไม่เหมือนเพิ่งรู้จักกัน
ตอนซูหมิงเดินออกจากกำแพงหมอกนภา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนแรกเขายืนอยู่บนกำแพงหมอกนภา มองทอดไกลไปบนแผ่นดินด้านนอก ความรู้สึกวังเวงและกลิ่นคาวเลือดผุดขึ้นในใจอีกครั้ง
ดินแดนส่วนนี้เป็นสิ่งแปลกตาสำหรับเขา
แผ่นดินผืนนี้มีความแค้นที่ไม่อาจลบล้างระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ความแค้นนี้อยู่มานานไม่เลือนหาย ค่อยๆ เกิดเป็นความรู้สึกหนักหน่วงและกดดันต่อชาวเผ่าหมานทุกคนที่เพิ่งเหยียบย่างเข้ามาในแดนแห่งนี้
แรงกดดันทำให้หายใจกระชั้นถี่ เหมือนหายใจไม่ออกอยู่บางครั้ง หลังจากซูหมิงกับเทียนเสียจื่อบินอยู่บนฟ้า ความรู้สึกนี้ก็ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยามโผไปข้างหน้า
ยิ่งเดินหน้าเท่าไร ความรู้สึกจะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น จนท้ายที่สุดซูหมิงได้ยินกระทั่งเสียงหัวใจของตัวเองกำลังเต้นอย่างรุนแรง
สายลมพัดผ่านเข้ามาจากไกลๆ เหมือนแฝงไว้ด้วยการขับไล่สิ่งแปลกปลอม ราวกับมีความแค้นต่อการมาเยือนของแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนนี้ หากพบกันจะต้องเข่นฆ่ากันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
เทียบกับความกดดันของซูหมิงแล้ว ยามนี้เทียนเสียจื่อกลับมีสีหน้าเหี้ยมโหดมากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มเหี้ยมเกรียม แววตาแดงโลหิต และยังมีความเย็นชาไร้เมตตาหยั่งลึกอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นเทียนเสียจื่อที่ซูหมิงไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง
ในสายตาของซูหมิง เทียนเสียจื่อพลันหยุดชะงัก เขาลอยอยู่กลางอากาศ ท้องฟ้าวังเวงมืดครึ้มเล็กน้อย เหมือนมีเมฆดำกำลังรวมตัว
“เจ้าสี่!” เทียนเสียจื่อหันหลังให้ซูหมิง มองทอดไกลพลางกล่าวอย่างเย็นชา
“คอยดูอยู่ข้างๆ แล้ววาดภาพให้อาจารย์!”
ซูหมิงพยักหน้าเงียบๆ ถอยหลังไปหลายก้าว มองไปรอบตัว มองแผ่นดินแปลกตา เขาเข้าใจความแค้นระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมันน้อยยิ่งนัก จึงยากจะเข้าใจการเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งระหว่างสองเผ่านี้ในแดนอรุณใต้
เขาไม่เข้าใจ
เทียนเสียจื่อเอาสองมือไพล่หลัง ชุมคลุมม่วงสั่นไหวตามแรงลม เส้นผมยาวสีม่วงปลิวไสว หากมองไกลๆ จะเหมือนเปลวเพลิงสีม่วงกำลังลุกโชติช่วงอยู่บนแผ่นดินของเผ่าเชมัน
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดินพลันออกจากปากเทียนเสียจื่อ ช่วงที่เขาแหงนหน้าคำราม ซูหมิงมีสีหน้าตื่นตะลึง!
เทียนเสียจื่อในยามนี้ เงาร่างของเขาแฝงไว้ด้วยความอวดดีถึงที่สุด ทั้งยังมีความบ้าอำนาจเมินเฉยต่อสวรรค์ เขายืนอย่างเปิดเผย แผดเสียงคำรามให้รู้ทั่วกัน เสียงเขาแผ่กระจายไปรอบแปดทิศ ทั้งยังกระจายไปไกลยิ่งกว่า
กลางอากาศปรากฏคลื่นบิดโค้ง ดุจผืนฟ้าทั้งหมดสั่นไหว ผสานความน่ายำเกรงที่กำลังสั่นสะเทือนเข้าไปในคลื่นนั้นแล้วแผ่ขยายออกไป
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก
เขารู้ดีว่าแม้ที่นี่จะมิใช่ส่วนลึกของแดนเผ่าเชมันและเป็นเพียงพื้นที่ชายแดนแถวกำแพงหมอกนภาก็ตาม ทว่าที่นี่ก็เป็นแผ่นดินของเผ่าเชมันจริงๆ ผู้คนที่นี่แทบทั้งหมดล้วนเป็นชาวเผ่าเชมัน!
การใช้พลังของคนเดียวเข้ามาในเผ่าเชมันถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ต่อให้ต้องการโลหิตหัวใจหนึ่งพันดวงก็ตาม เพราะส่วนใหญ่จะลอบเข้าไป ไม่มีทางป่าวประกาศด้วยความอวดดี บอกเผ่าเชมันว่าเขาเทียนเสียจื่อมาถึงแล้วเช่นนี้
ทว่าเทียนเสียจื่อกลับทำลงไปแล้ว!
หากมองไกลๆ เงาของเขาจะเหมือนเพลิงสีม่วง ใช้วิธีการป่าวประกาศที่อวดดีอย่างยิ่งบอกกับชาวเผ่าเชมันในเขตนี้ทุกคน!
ทันใดนั้น ซูหมิงพลันเข้าใจความหมายแฝงจากคำว่าตาแก่บ้าของอาจารย์อาไป๋ และก็เข้าใจด้วยว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมอบเกล็ดปลาสีขาวให้เขา…
เห็นได้ชัดเลยว่าการกระทำของเทียนเสียจื่อมิใช่ครั้งแรก และมิใช่แค่สองครั้ง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าทุกช่วงเวลาหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หนึ่งครั้ง!
‘ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม แม้เป็นเพียงชนเผ่าหนึ่งก็ดี หากหลายปีมานี้ถูกศัตรูรุกรานด้วยความอวดดีติดต่อกันหลายครั้ง สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นการถูกฆ่าอย่างน่าอดสู…
ผลลัพธ์ของมันจะดึงดูดความสนใจอย่างแน่นอน เมื่อดึงดูดความสนใจแล้ว การเผชิญหน้ากับศัตรูขั้นพลังระดับนี้ จะต้องมีการเตรียมรับมืออย่างดีเป็นแน่…
ในเมื่ออาจารย์เคยมาหลายครั้ง เช่นนั้นก็ต้องเคยรับมือกับการเตรียมความพร้อมของเผ่าเชมันมาก่อน ทว่าตอนนี้เขายังเป็นเช่นนี้…อีกทั้งยังบอกเผ่าเชมันตรงๆ ว่าเขา…มาแล้ว…’ ขณะซูหมิงกำลังขบคิด พลันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงเงยหน้ามองทอดไกล ก่อนพลันหรี่ตาลง
เขาเห็นชัดเลยว่าชั้นเมฆหมุนตลบอยู่ไกลๆ มีแถวจุดสีดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เห็นชัดว่าจุดสีดำเหล่านั้นคือสัตว์ร้ายลักษณะต่างกันจำนวนมาก
พวกมันตัวไม่ใหญ่นัก มีขนาดราวหลายจั้ง ทั้งยังมีสองปีก กำลังบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนตัวสัตว์เหล่านั้น ซูหมิงเห็นคนยืนอยู่ บนใบหน้าแต่ละคนมิใช่ลายหมาน แต่เป็นลายสักสัญลักษณ์ประจำเผ่า
“วาดภาพตามสบาย!” ความเหี้ยมโหดตรงมุมปากของเทียนเสียจื่อเข้มข้นถึงขีดสุด พลังชั่วร้ายมหาศาลปะทุออกมาจากร่างกาย กล่าวจบ เทียนเสียจื่อเดินหน้าไปหนึ่งก้าว
ด้านหลังเขาปรากฏทะเลโลหิตมายาเช่นเดิม ทว่าตอนนี้กลับดูสมจริงยิ่งนัก นัยน์ตารูปปั้นหินในทะเลโลหิตฉายแววตื่นเต้นในการสังหาร
ภายใต้จิตสังหาร ซูหมิงเห็นเงาเทียนเสียจื่อทะลวงเข้าไปในกลุ่มจุดสีดำที่กำลังตรงเข้ามา ทะเลโลหิตด้านหลังเขาราวกับเกิดคลื่นยักษ์ ซัดสาดเข้าใส่กลุ่มจุดสีดำ
เสียงคำรามดังกึกก้อง ซูหมิงเห็นกับตาเลยว่าชาวเผ่าเชมันที่ยืนบนสัตว์ร้ายล้วนเหี้ยมโหดและคลุ้มคลั่งเช่นกัน ดูไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย พวกเขาทยอยกันกัดปลายลิ้นพ่นโลหิต ในโลหิตสดมีแมลงสีเลือดจำนวนมากตรงเข้าใส่เทียนเสียจื่อ
บางคนก็หยิบกระดูกออกมาแล้วลูบคลำ ก่อนมีหมอกดำลอยขึ้นก่อตัวเป็นเงาปีศาจดุร้าย ทั้งยังมีบางคนนั่งขัดสมาธิ สัตว์ร้ายด้านล่างร้องโหยหวนยามเลือดเนื้อหลุดออก เศษเนื้อจำนวนมากรวมตัวกันเป็นคนยักษ์เลือดเนื้อด้านข้าง แล้วแผดเสียงคำรามตรงเข้าหาเทียนเสียจื่อ
สัตว์ร้ายที่สูญเสียเลือดเนื้อเหลือเพียงกระดูกสีขาว ทว่าในดวงตาของกระดูกกลับมีเปลวเพลิงยมโลก เกิดเป็นความหนาวเยือกและมืดทึบอย่างบอกไม่ถูก
กระทั่งในกลุ่มชาวเผ่าเชมัน ยังมีอีกหลายสิบคนที่ดีดตัวจากสัตว์ร้ายแล้วกระโดดลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งตัวพลันพองบวมดุจมีพลังน่าสะพรึงจะระเบิดในร่าง ใช้ร่างกายกลายเป็นของวิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละคน พุ่งตัวเข้าใส่เทียนเสียจื่อ
ซูหมิงเห็นอภินิหารต่างๆ ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะเลือดเนื้อกลายเป็นคนยักษ์ หลังจากสูญเสียเลือดเนื้อเหลือเพียงโครงกระดูกแล้ว มันกลับยังมีชีวิตอยู่ นี่ทำให้ซูหมิงทึ่งยิ่งนัก
“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้สื่อวิญญาณแห่งเผ่าเชมัน ดูท่าพวกเจ้าคงจะเตรียมตัวมาดีกว่าเดิมเพื่อข้าโดยเฉพาะ…รอมานานหลายปี ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้มาสักที พวกเจ้า…ไม่ต้องรออีกแล้ว!” เสียงหัวเราะเย็นเยือกของเทียนเสียจื่อดังก้อง
เสียงระเบิดดังขึ้น ในสายตาของซูหมิงปรากฏภาพจำนวนมาก ในภาพเหล่านั้นเป็นเงาอวดดีของเทียนเสียจื่อที่กำลังสังหารโดยไม่คำถึงอะไรทั้งสิ้น!
แมลงโลหิตจากโลหิตสดที่พ่นจากปากเผ่าเชมันเกาะอยู่บนตัวเทียนเสียจื่อ แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นสีม่วงแล้วระเบิดกระจุย
เงาปีศาจดุร้ายจากกระดูกเพิ่งเข้าใกล้เทียนเสียจื่อ กลับพบว่ารูปปั้นหินในทะเลโลหิตด้านหลังเทียนเสียจื่ออ้าปากกว้างดูดเงาปีศาจเหล่านั้นเข้าไป จากนั้นความเหี้ยมโหดและตื่นเต้นในแววตาของรูปปั้นหินก็เข้มข้นขึ้นหลายเท่า