Skip to content

สู่วิถีอสุรา 275

ตอนที่ 275 พวกนางไร้คุณธรรม

“ซูหมิง” สตรีชุดขาวเผยรอยยิ้มเขี้ยวพยัคฆ์สองข้าง เดินลงมาจากท้องฟ้า ใต้เท้ามีเชือกหลายสีค้ำจุนตัวนางเอาไว้ ทำให้นางเหมือนเดินอยู่บนอากาศ ก่อนลงมายืนบนแท่นราบตรงหน้าซูหมิง

เสียงของนางอ่อนโยนยิ่งนัก เมื่อกระทบหูซูหมิงประหนึ่งล่องลอยจากกาลเวลา ปลุกความเศร้าที่ซ่อนลึกอยู่ในความทรงจำของเขา และยังมีคำสัญญาที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ทำตาม

ยามนี้สายลมหิมะพัดเข้ามา โปรยปรายอยู่ระหว่างซูหมิงกับสตรี เกล็ดหิมะบดบังสายตา ราวกับแยกสายตาออกเป็นส่วนๆ เมื่อหิมะลอยผ่านไปจึงกลับมารวมกันอีกครั้ง

“ซูหมิง จำข้าได้หรือไม่…” สตรีชุดขาวกัดริมฝีปากล่าง ในแววตาใสกระจ่างมีความดื้อรั้น นางเดินเข้ามาใกล้จนอยู่ตรงหน้าซูหมิง สายลมพัดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวนางโชยปะทะใบหน้าซูหมิง เข้าไปในจมูกเขา เข้าไปในส่วนลึกของความทรงจำจิตวิญญาณของเขา ตะวันสาดส่อง ผลึกตรงหน้าผากนางเปล่งแสงพร่างพราว สะท้อนใส่ดวงตาซูหมิง ขณะเดียวกันก็เข้าไปในจุดที่ซ่อนอยู่ในความทรงจำเขา

เส้นผมตรง เปียเล็กๆ สีดำสองข้างหู และยังมีเส้นผมหลายเส้นถูกสายลมพัดเข้ามาสัมผัสใบหน้าซูหมิง

“เหตุใดไม่มาหาข้า….” สตรีกล่าวเสียงเบา เสียงนางอ่อนนุ่มยิ่งนัก ดังก้องข้างหูซูหมิง

ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง เหม่อมองสตรีตรงหน้า ในแววตาเขาเศร้าโศก

“ซูหมิง ยังจำข้าได้หรือไม่ เจ้ายังจำชื่อข้าได้หรือไม่…ยังจำครั้งแรกที่เราพบกันได้หรือไม่…” นางกล่าวเสียงเบา ทุกคำพูดซึมเข้าสู่กลางใจของซูหมิง

“ข้าจำได้…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ยกมือขวาขึ้นลูบเส้นผมของนาง เมื่อแก้เชือกแดงออกแล้วจึงมัดให้ใหม่ แล้ววางผมเปียสองข้างหูไว้หลังบ่า ก่อนดึงผลึกตรงหน้าผากนางย้ายไปไว้อีกที่

“แบบนี้ถึงจะเหมือนขึ้นอีกหน่อย” ทำเสร็จแววตาซูหมิงสงบนิ่ง กล่าวเรียบๆ

เมื่อซูหมิงเอ่ยจบ สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วทันที ความรังเกียจทางสีหน้ายากจะอำพรางไว้ ถอยหลังหลายก้าว เหมือนไม่ชอบให้ซูหมิงจับเส้นผมนาง

“หากเจ้าอยากเป็นนาง ก็ให้ข้าเปลี่ยนเจ้าเป็นนาง…ตอนเจ้ากลับไป งานที่ซือหม่าซิ่นให้เจ้าทำจะได้สำเร็จ” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง มองเด็กสาวตรงหน้าชั่วครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปหาจื่อเชอที่มองมาเป็นบางครั้ง

ไป๋ซู่กระทืบเท้าอย่างแรง

จะว่านางเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อความตื่นตะลึงของซูหมิงในยามเช้าตรู่วันนี้ก็คงไม่ผิด กระทั่งคำพูดคลุมเครือเหล่านั้น รวมถึงสีหน้าและอารมณ์ขณะพูด นางยังตั้งใจซ้อมตั้งหลายหน

ก่อนมาในยามเช้าตรู่ นางยังเคยซ้อมกับกระจกน้ำแข็ง ตอนที่ซ้อมนางเหมือนกลายเป็นอีกคน เหมือนมีจิตวิญญาณแปลกตารวมอยู่ในตัวนาง เปลี่ยนพฤติกรรมและคำพูดของนาง

นางรู้ดีว่านี่เป็นครั้งแรกที่แต่งตัวเป็นอีกคนในความทรงจำของซูหมิง ยามซูหมิงเห็นนางในสภาพนี้ครั้งแรก นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่สุด กระทั่งหากคว้าโอกาสนั้นได้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่ต้องมีเหตุการณ์ต่อไป

ความจริงแล้วเมื่อครู่ช่วงที่นางเห็นซูหมิงใจลอย นางยังนึกลำพองใจ ยิ่งเห็นความเศร้าในแววตาซูหมิง นางยิ่งพอใจการเตรียมตัวอย่างดิบดีเมื่อคืนวานของตน ทว่าเรื่องราวกลับมิได้ดำเนินไปตามที่นางต้องการ คำพูดสุดท้ายกับการกระทำของซูหมิงทำให้ไป๋ซู่รู้ว่า การพบกันครั้งแรกแบบนี้รวมถึงการเตรียมตัวหนึ่งคืน ล้มเหลว

ซูหมิงเดินไปหาจื่อเชอ จื่อเชอมีสีหน้าเคารพยามซูหมิงเอ่ยสั่ง

“ข้าต้องการของที่ไม่ใหญ่ แต่มีน้ำหนักมาก ยิ่งหนักยิ่งดี ของแบบนี้เจ้าหาให้ข้าได้หรือไม่?”

จื่อเชอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า

“นายท่าน ข้ารู้ว่ามีน้ำแข็งอยู่ชนิดหนึ่ง นามมันคือน้ำแข็งจมน้ำ น้ำแข็งชนิดนี้ได้ยินว่าไม่มีวันละลาย มีขนาดเท่ากำปั้น แต่มีน้ำหนักเหมือนกับหินภูเขาก้อนเท่าคน”

“ยิ่งมากยิ่งดี” ซูหมิงสะบัดมือขวา ตราออกคำสั่งหนึ่งชิ้นตกอยู่ในมือจื่อเชอ

จื่อเชอมองตราออกคำสั่งในมือ สีหน้าประหลาดใจ ตราชนิดนี้ก่อนเขามายอดเขาลำดับเก้า พูดได้ว่าเป็นเหมือนของวิเศษ ทว่ายามนี้ยิ่งรู้เยอะมากเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าตรานี้ยืมมาจากหู่จื่อ เขาก็ยิ่งเฉยๆ

เขาถือตราออกคำสั่งแล้วประสานมือคารวะซูหมิง ก่อนหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป

เมื่อจื่อเชอไปแล้ว ซูหมิงจึงเดินไปทางถ้ำของหู่จื่อตามบันไดภูเขา ไป๋ซู่กระทืบเท้าอีกครั้ง เห็นซูหมิงไม่สนใจอีก จึงรีบสาวเท้าไวๆ ตามเขาไป

“นี่ ไหนเจ้าบอกว่าจะสอนข้าวาดภาพ!”

“เจ้าอยากวาดอะไร” ซูหมิงยังไม่หยุดเดิน น้ำเสียงเรียบๆ

“เจ้าเดินให้ช้าหน่อย ข้าอยากวาดตัวข้าเอง!” ไป๋ซู่ต้องสาวเท้าไวๆ ถึงจะรักษาความเร็วให้เท่าซูหมิง เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากเดินตามหลัง แม้ขั้นบันไดจะค่อนข้างลื่น นางก็ยังคงรักษาจังหวะก้าวให้เท่ากัน

“วาดตัวเองนั้นง่ายยิ่งนัก ส่องน้ำแข็ง มองเงาตัวเองในชั้นน้ำแข็งแล้ววาดลายเส้นออกมา” น้ำเสียงซูหมิงยังคงไร้คลื่นอารมณ์เหมือนเดิม

“ถ้าเช่นนั้น…ข้าจะมาหาเจ้าเพื่ออะไร!” ไป๋ซู่ตะลึงงัน ก่อนมีสีหน้าโมโห

ทว่าซูหมิงเดินเร็วนัก เพียงหนึ่งก้าวข้ามไปหลายจั้ง นางจึงเริ่มตามไม่ทัน

“ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้ามาหาข้า” ซูหมิงไม่หันหน้ากลับ ค่อยๆ สร้างระยะห่างจากไป๋ซู่ นางกัดฟันวิ่งตามมาอีกครั้ง

“ข้าไม่วาดตัวเองแล้ว ข้าจะวาดเจ้า!” เสียงของไป๋ซู่ดังมาจากด้านหลัง

ซูหมิงหยุดชะงัก หันกลับไปมองไป๋ซู่ที่วิ่งตามมาแวบหนึ่ง

ไป๋ซู่เห็นซูหมิงหยุดเดินจึงรีบวิ่งเข้ามาใกล้ นึกลำพองใจ แอบคิดว่าครั้งนี้เจ้าจะตอบอย่างไร หากวาดตัวเองให้ส่องน้ำแข็งวาด เช่นนั้นหากวาดคนอื่น ก็ต้องหาต้นแบบมายืนถึงจะวาดได้

“เจ้าอยากวาดข้า?” ซูหมิงมองไป๋ซู่

ความลำพองใจของนางปรากฏบนสีหน้า นางเชิดหน้าขึ้น ผลึกตรงหน้าผากสะท้อนแสงตะวันเป็นประกาย เส้นผมที่มัดเอาไว้ปลิวไสวตามแรงลม

“ไม่ผิด ข้าอยากวาดเจ้า” ไป๋ซู่แค่นเสียงหึ ท่าทางถือดี ชั่วพริบตาหนึ่งราวกับซ้อนทับเงาร่างคนที่ซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำซูหมิง

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นแล้ววาดบนหินน้ำแข็งด้านข้าง วาดไปหลายเส้น เศษน้ำแข็งกระเด็นจำนวนมาก บนก้อนน้ำแข็งปรากฏร่างคนผู้หนึ่ง นั่นคือซูหมิง

“วาดตามแบบนี้” ซูหมิงกล่าวจบจึงหมุนตัวเดินต่อ

ไป๋ซู่อึ้งงันไปครู่หนึ่ง มองร่างคนที่ซูหมิงวาดบนก้อนน้ำแข็ง ก่อนมองซูหมิงที่เดินไกลออกไป แล้วกระทืบเท้าอย่างแรงอีกครั้ง

“ซูหมิง เจ้ามันสารเลว!” ท่าทางและสีหน้าของไป๋ซู่ในตอนนี้ และยังมีคำพูดต่างๆ เทียบกับตอนอยู่กับซือหม่าซิ่นแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง

ตอนอยู่ต่อหน้าซือหม่าซิ่น นางจะมีท่าทีใสซื่อไร้เดียงสา แววตาอ่อนโยน มีสีหน้าเชื่อฟัง มองซือหม่าซิ่นอย่างเลื่อมใส

ทว่าเมื่ออยู่ยอดเขาลำดับเก้า อยู่ต่อหน้าซูหมิง

นางเหมือนกลายเป็นอีกคน หากซือหม่าซิ่นอยู่ตรงนี้จะต้องตะลึงงัน เพราะไป๋ซู่ในยามนี้ต่างกับไป๋ซู่ตอนอยู่กับเขายิ่งนัก

ไป๋ซู่โมโห ถลึงตาโต กระทืบเท้า พอเห็นซูหมิงเดินไกลออกไปจนไม่เห็นแผ่นหลัง นางจึงมองภาพเหมือนของซูหมิงบนหินน้ำแข็งอย่างรังเกียจ ก่อนยกเท้าเตะเข้าใส่

“ข้าจะเตะเจ้า ไอ้สารเลวซูหมิง!” ไป๋ซู่เตะอีกหลายทีจนเหมือนได้ระบายโทสะบ้างแล้ว นางมองภาพเหมือนของซูหมิงบนก้อนน้ำแข็ง พลันกลอกตา มีสีหน้าลำพองใจอีกครั้ง

นางเดินหน้าหลายก้าว หยิบกระบอกกลมสีดำมาจากอกเสื้อ แล้วแต่งแต้มบนภาพเหมือนของซูหมิง แต่งแต้มไปพลางหัวเราะอย่างสาแก่ใจ

ด้านนอกถ้ำของหู่จื่อ ไม่นานซูหมิงก็เข้ามาอย่างช้าๆ ไม่ได้ยินเสียงกรน แต่เป็นเสียงหัวเราะพิลึกดังมาจากในถ้ำ ซูหมิงไม่หยุดชะงัก แต่เดินเข้าไปทันที

เพิ่งเข้ามาในถ้ำของหู่จื่อ ซูหมิงเห็นหู่จื่อนั่งยองอยู่บนพื้น ตรงหน้ามีภาพสัญลักษณ์วงกลมจำนวนมาก ดูยุ่งเหยิงยิ่งนัก ในภาพเหล่านั้นยังมีภาพลักษณะภูเขา พวกมันล้อมเข้าด้วยกันเหมือนเป็นวงโคจร

หู่จื่อถือกริชในมือหนึ่งเล่ม กำลังแกะสลักลงบนภาพนั้นไม่หยุด เขาแกะสลักพลางส่งเสียงหัวเราะพิลึก หากยามนี้ซูหมิงเห็นสีหน้าของไป๋ซู่ เขาจะต้องรู้สึกว่านางเหมือนกับภาพที่หู่จื่อแกะสลักหลายส่วน

“หึๆ ท่านหู่คนนี้ฉลาดที่สุด ฉลาดที่สุด!”

“เปลี่ยนวงแหวนอาคมแล้วยังไง มารดาเถอะ คิดว่าข้าเปิดมิได้รึ!”

“ท่านหู่เติบใหญ่มาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยมีที่ใดที่ข้าผ่านไปไม่ได้ มารดาเจ้าเถอะ ของแค่นี้ ท่านหู่หลับตื่นหนึ่งก็เข้าใจแล้ว”

หู่จื่อกำลังเคลิบเคลิ้ม จนไม่สังเกตเห็นซูหมิงที่เข้ามาด้านหลัง กระทั่งซูหมิงยืนอยู่ด้านหลังและมองภาพที่เขากำลังแกะสลัก หู่จื่อก็ยังไม่รู้ตัว

“ท่านหู่คนนี้ใช้เวลาสิบวัน สิบวันนี้ข้าดื่มสุราสามสิบกว่าไห ดื่มน้อยขนาดนี้ก็ต้องโทษเจ้า สมควรตาย ยอดเขาลำดับเจ็ดที่ดีๆ เหตุใดถึงเปลี่ยนอาคมคุ้มกันภูเขา เจ้าคอยดูเถอะข้าจะทำลายมันให้ดู!” หู่จื่อถือกริชแกะสลักบนพื้นอีกหลายครั้ง สีหน้าตื่นเต้นและยินดี เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง

แต่ช่วงที่เขาเงยหน้าหัวเราะ หางตาเหลือบไปเห็นซูหมิงยืนอยู่ด้านหลัง เขาตะลึงงัน เสียงหัวเราะหยุดลง

“น้องสี่ เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร?”

“มานานแล้ว…” ซูหมิงมีสีหน้าประหลาด มองหู่จื่อที่เส้นผมยุ่งเหยิง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย

“เจ้าได้ยินทั้งหมดเลย?” หู่จื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม

“ได้ยิน…ส่วนหนึ่ง” สีหน้าซูหมิงดูพิลึกมากขึ้น

หู่จื่อก้มหน้าลง จากนั้นพลันเงยหน้าขึ้น กอดซูหมิงเอาไว้ น้ำเสียงเหมือนน้ำหลากดังกังวานอยู่ในถ้ำ

“น้องสี่ เจ้าเป็นศิษย์น้องเล็กที่ข้าสนิทด้วยมากที่สุดจริงๆ เจ้าคงรู้ว่าวันนี้ศิษย์พี่หู่ของเจ้าทำสำเร็จแล้ว ก็เลยมาแสดงความยินดีด้วยใช่หรือไม่ ดี เจ้าเป็นศิษย์น้องเล็กที่ดี ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ไหนเจ้าลองตอบให้ข้าฟังหน่อย เจ้าว่าพวกยอดเขาลำดับเจ็ดที่น่าโมโหและต่ำช้าไร้ยางอายพวกนั้นยุติธรรมหรือไม่ มีจิตใจดีงามหรือไม่ มีคุณธรรมหรือไม่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกนาง…พวกนางจะเปลี่ยนอาคมคุ้มกันภูเขา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version