ตอนที่ 31 งดงาม…
ซูหมิงหลับตาลง เขาคิดว่าทุกภาพที่เขามองเห็นในค่ำคืนนี้ ราวกับมีความรู้สึกหนักหน่วงบางอย่างหมุนเป็นเกลียวรอบหัวใจของเขา ความรู้สึกนั้นทั้งอ้างว้างและเศร้าโศก
“โครงกระดูกนั้นก่อนตายเป็นใครในเผ่าหมานเพลิงกันแน่…เหตุใดถึงมีแค่เขาที่จบชีวิตก่อนกลายเป็นค้างคาวจันทรา…..บางทีเขาอาจจะเป็น….ผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าหมานเพลิง…” โครงกระดูกพิลึกลอยอยู่เบื้องหน้าซูหมิง เขาถอนหายใจเบาๆ ในความคิดของเขายังมีตัวอักษรซับซ้อนประโยคนั้นอยู่ด้วย ยากจะลืมเลือน
“เขาเป็นหมานปรารถนา ปลายสุดแดนแปดทิศ เศษอัคคีจงหลอมโลหิต นึกคิดแผดเผาสวรรค์ นึกคิดแผดเผาฟ้ากว้าง….หากจันทร์อัคคีพ้นเมฆา ดินแดนทุกแห่งหน….ทุกความคิดเงียบสงัด เพลิงโลหิตเผดเผาซ้ำแล้วเล่า เก้าเป็นปลาย หนึ่งเป็นธรรม คารวะเพลิงหมานเก้าครั้ง เป็นหนทางสู่การคารวะเพลิง!”
ซูหมิงยังคงไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ ขณะกำลังขบคิด พลางกวาดสายตามองไป๋หลิงข้างกาย นางกำลังมองสำรวจรอบๆ สีหน้าดูประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ทราบว่าที่นี่มีไว้ทำอะไร
“ไปเถอะ คุณผู้หญิงไป๋หลิง” ซูหมิงเผยรอยยิ้ม ก่อนปีนไปยังปากถ้ำ ไป๋หลิงรีบตามมาติดๆ นางอยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะทุกลมหายใจที่อยู่ที่นี่ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
เมื่อออกมาได้ พลันมีลมหุบเขาพัดโหมกระหน่ำปะทะเข้าใส่ร่าง ทำให้รู้สึกราวกับกำลังจะปลิวไปตามสายลม ไป๋หลิงมีสีหน้าขาวซีด มือหนึ่งจับหินผาด้านข้างเอาไว้
เพียงแต่สำหรับคนที่ได้รับการประคบประหงมอยู่แต่ในเผ่ามาแต่เยาว์เฉกเช่นนางแล้ว ยอดเขาเช่นนี้นางแทบไม่เคยปีนมาก่อน ยามนี้พยามกัดฟันยืนหยัด ทว่าใบหน้ากลับยิ่งขาวซีด แฝงไว้ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
ซูหมิงสังเกตไป๋หลิงอย่างละเอียด ใบหน้างามเช่นนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน โดยเฉพาะใบหน้าขาวซีด ยามนี้ดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ช่างเถอะ ข้าจะแบกเจ้าเอง” ซูหมิงส่ายหน้า ทว่าหัวใจกลับเต้นระรัว
“เจ้า…..” ไป๋หลิงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนมองสลับไปยังเหวเบื้องล่างลึกราวหมื่นจั้ง จนสุดท้ายนางก็พยักหน้าเบาๆ
ซูหมิงตกตะลึง ก่อนเดินหน้าแล้วย่อตัวลง ใบหน้างามซีดขาวของไป๋หลิงมีเลือดฝาด นางขึ้นไปหมอบอยู่บนหลังของซูหมิง แขนทั้งสองข้างเกาะคอของเขาเอาไว้
ซูหมิงกะพริบตาปริบๆ พลันสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มบริเวณหลังและกลิ่นหอมที่ลอยเข้ามาเตะจมูกอย่างชัดเจน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจเกิดความคิดที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้
“เอ่อ….เจ้าเกาะข้าให้แน่นหน่อย หากตกลงไปจะมาโทษข้าไม่ได้นะ”
ซูหมิงกล่าวขึ้น ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากด้านหลัง เขาจึงลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตั้งสมาธิแล้วปีนป่ายอย่างว่องไว
ด้วยความปราดเปรียวของเขาบวกกับความชำนาญบนเขาแห่งนี้ ต่อให้แบกคนเพิ่มอีกคนก็ไม่ส่งผลอะไรมากนัก ทว่าซูหมิงในวันนี้กลับแปลกไป เส้นทางที่เขาเลือกล้วนเป็นทางสูงชัน บ้างก็พลันกระโดดลงไปแล้วคว้าเถาวัลย์หรือหินผาเอาไว้ ทำให้มีเสียงร้องตกใจดังมาจากด้านหลัง ซูหมิงรู้สึกได้ว่าร่างนุ่มนิ่มกอดตนแน่นขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าเผยความอิ่มอกอิ่มใจ
เดิมทีใช้เวลาไม่นานในการปีนลงจากยอดเขาไอทมิฬ ทว่าวันนี้ซูหมิงใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ กว่าจะลงมาได้ ยามที่เห็นไป๋หลิงลงมาจากหลังตนด้วยใบหน้าแดง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว ในใจของเขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ปรายตามองไป๋หลิง แล้วกระแอมเสียงดังหลายครั้ง
“ตรงนี้เป็นป่าทึบและมีแอ่งน้ำลึก อีกทั้งยังมีกับดักหลายจุด และที่สำคัญมันใกล้เผ่าภูผาทมิฬมากด้วย หากเจ้าเดินคนเดียวเกรงว่าจะเป็นอันตราย เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าจะไปส่งเจ้าที่เผ่ามังกรทมิฬก่อน”
ซูหมิงกล่าวช้าๆ พลางสังเกตสีหน้าไป๋หลิง ตอนเห็นนางลังเล หัวใจเขาพองโต รีบกล่าวต่อ
“แต่ว่าทางเส้นนี้ค่อนข้างลำบาก เช่นนั้นให้ข้าแบกเจ้าต่อเถอะ แบบนี้จะได้ประหยัดเวลา และข้าจะได้กลับบ้านเร็วขึ้นด้วย” ซูหมิงขมวดคิ้ว มองท้องฟ้าพลางกล่าวขึ้น
“เอ่อ…..” ไป๋หลิงกัดริมฝีปาก ใบหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่ตอนลงจากยอดเขา นางเห็นได้ว่าชายเบื้องหน้าคนนี้ตั้งใจ หากเป็นเช่นนั้นอีกตลอดทางเล่า……นัยน์ตาไป๋หลิงฉายแววทั้งโกรธและเขินอาย
“นี่ ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้านะ!” ซูหมิงถลึงตา เขาเห็นความโกรธจากแววตาของไป๋หลิง ก็เลยเสียความมั่นใจเล็กน้อย ทว่าพอนึกได้ว่าตนเพิ่งช่วยชีวิตอีกฝ่าย จึงพลันแข็งข้อขึ้นมา
“เจ้าไม่เต็มใจ? ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นนักรบหมาน แม้สัตว์ป่าที่นี่จะมีไม่น้อย แต่กับดักมันมีเยอะกว่า บางทีอาจจะมีค้างคาวจันทราก็ได้ แต่ถ้าระวังตัวหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร…..อืม ข้าไปละ” ซูหมิงหาววอดๆ หมุนตัวเตรียมมุ่งหน้าไปยังชนเผ่าของตน ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าว ก็มีน้ำเสียงอ่อนนุ่มดังมาจากด้านหลังอย่างร้อนรน
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณเจ้า…..แต่ข้าไม่รู้ทาง รบกวนเจ้าไปส่งข้าที…..” ซูหมิงหัวเราะในใจ ทว่าสีหน้ายังคงเป็นปกติ ตรงกันข้ามกลับขมวดคิ้วขึ้นราวกับไม่ยินยอม มองไป๋หลิงแวบหนึ่ง ก่อนย่อตัวลงแล้วกล่าวขึ้นอย่างปัดรำคาญ
“รีบขึ้นมาเถอะ ฟ้าใกล้มืดแล้ว หากไปไม่ถึงก็คงต้องหาที่พัก”
ไป๋หลิงถลึงตามองซูหมิง ยามนี้นางเริ่มรู้จักตัวเขามากขึ้น โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ที่เจอกัน ณ ตลาด ยิ่งทำให้บางครั้งนางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
และที่สำคัญที่สุดคือ ชายตรงหน้าคนนี้ เป็นคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยยามที่นางสิ้นหวังที่สุด ความเด็ดขาดและสีหน้าของอีกฝ่ายในถ้ำภูเขาไฟ ทำให้นางยากจะลืมเลือน
ไป๋หลิงเดินมาอยู่ข้างซูหมิงด้วยใบหน้าแดง ก้มหน้าแล้วหมอบลงบนหลังของเขาอีกครั้ง นางได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังตึกตึก ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอารมณ์แบบใด
ซูหมิงแบกไป๋หลิงพุ่งทะยานเข้าไปในป่าทึบด้วยความเร็วประดุจวานร ด้านหลังมีกลิ่นหอมลอยมาบ่อยครั้ง เป็นที่ชื่นชอบแก่เขายิ่งนัก ทำให้ขณะเดินทางอดใจเปลี่ยนเส้นทางเดินวนกลับมามิได้
ผ่านไปพักใหญ่ ไป๋หลิงที่เงียบมาตลอดทางนัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ มือทั้งสองข้างที่กอดคอซูหมิงอยู่ออกแรงบีบเล็กน้อย
“เราผ่านตรงนี้มาสามรอบแล้ว…..” นางกล่าวขึ้นเบาๆ มองต้นไม้แห้งที่อยู่ไม่ไกลนัก
“หา? อย่างนั้นหรือ หรือว่าข้าหลงทางกัน? เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าขอดูก่อน”
ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า สีหน้าเผยความแปลกใจ เมื่อมองรอบๆ อย่างละเอียดแล้ว จึงพยักหน้าด้วยความหนักแน่น
“จริงด้วย เฮ้อ ทางเส้นนี้ข้าไม่เคยมาก่อนด้วย” ซูหมิงยังคงทำตัวปกติ เขาเปลี่ยนทิศทางแล้วพุ่งทะยานต่อไป
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ตามจริงยามโพล้เพล้ก็ควรจะถึงเผ่ามังกรทมิฬได้แล้ว แต่ทว่าตอนนี้ซูหมิงเพิ่งมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น อีกทั้งระหว่างทางเข้ายังพาไป๋หลิงผ่านเผ่าเขาทมิฬ หันไปมองก็พบว่าทุกอย่างยังคงเป็นปกติ เขาจึงค่อยวางใจ ก่อนจะเดินทางต่อไป
เห็นท้องฟ้าค่อยๆ มืดมิดลง สีหน้าไป๋หลิงยิ่งดูแปลกใจมากขึ้น เมื่อตะวันลับขอบฟ้า ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้าอยู่ในป่าทึบ แล้วมองไป๋หลิงด้วยสายตาจนปัญญา
“ดูท่าพวกเราคงต้องพักที่นี่แล้ว…..ตอนกลางคืนในป่าอันตราย วันพรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางกันต่อ”
ไป๋หลิงค่อยๆ เห็นความเจ้าเล่ห์ของซูหมิงเหมือนดั่งที่พบกันครั้งแรก นางมองเขาเงียบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร ภายใต้แสงจันทร์ ยิ่งทำให้ซูหมิงเสียความมั่นใจมากขึ้น
“ได้ เช่นนั้นก็พักกันที่นี่” ผ่านไปครู่หนึ่ง ไป๋หลิงพลันเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มงดงามยิ่งนัก ทั้งยังค่อยๆ แฝงไว้ด้วยความดื้อรั้น
ซูหมิงถูจมูก แล้วเผยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน เขายันกายขึ้นแล้วดึงกิ่งไม้บนต้นไม้ด้านข้างมาสุมกองกันเอาไว้เพื่อเป็นที่พัก ก่อนขึ้นไปนั่งด้านบนพร้อมกับไป๋หลิง
เวลาผ่านไปทั้งสองยังคงนิ่งเงียบ ราวกับไม่รู้จะสนทนาอะไรกัน
“ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าชื่ออะไร?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ไป๋หลิงมองซูหมิง ภายใต้แสงจันทร์ทำให้ดวงตาของนางสว่างไสวยิ่งนัก
“ข้าชื่อซูหมิง แต่ข้ารู้แล้วว่าเจ้าชื่อไป๋หลิง” ซูหมิงมองไป๋หลิงพลางยิ้มกล่าว
“ที่ตลาดก่อนหน้านี้เจ้าหลอกข้า หึ พอข้ากลับถึงเผ่ายิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลก”
ไป๋หลิงกะพริบตาปริบๆ ย่นจมูกกล่าว ใบหน้าดูน่ารัก
“เอ่อ….”
“และเจ้าก็ไม่ใช่ผู้สืบทอดจ้าวหมานด้วย ถูกต้องหรือไม่” ไป๋หลิงชายตามอง หัวเราะกล่าวเบาๆ
ซูหมิงเกาศีรษะ ขณะกำลังจะกล่าวบางอย่าง ทันใดนั้นเองมีเกล็ดหิมะโปรยปราย ทั้งผืนฟ้าดินเป็นหิมะปุยนุ่มสีขาว
“หืม หิมะตกแล้ว” ซูหมิงพลันแหงนหน้าขึ้นมองหิมะโปรยปราย รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
นัยน์ตาไป๋หลิงฉายแววขบขัน นางไม่ได้เค้นถามต่อแต่อย่างใด เพียงแหงนหน้ามองเกล็ดหิมะโปรยปราย เกล็ดหิมะตกใส่หน้านาง ความหนาวเย็นของมันทำให้สุขสบายยิ่งนัก
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนในป่าทึบแห่งนี้ ราวกับแช่อิ่มอยู่ในความงดงามของหิมะเงียบสงัด
“ซูหมิง ขอบคุณนะ….” เดิมทีท้องฟ้ามืดมิด ทว่ายามนี้แสงจันทร์สาดส่องลงบนเกล็ดหิมะ สะท้อนเป็นแสงสีเงินอาบโดยรอบ ทำให้ผืนป่าทึบคลายความมืดมิดลง
“ขอบคุณที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้….ข้าขอถามเรื่องส่วนตัวของเจ้าได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไปอยู่ตรงนั้นได้?” ไป๋หลิงมองซูหมิง กล่าวขึ้นเสียงเบา
“ข้ามักจะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรบ่อยๆ แล้วบังเอิญไปเจอที่หลบหนาวตรงนั้นพอดี ไม่คิดเลยว่าเมื่อวานจะเป็นคืนจันทร์โลหิต…..” ซูหมิงไม่ได้กล่าวถึงเรื่องหลอมสมุนไพร แต่กล่าวถึงเรื่องอื่นแทน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในค่ำคืนหิมะแห่งนี้ ซูหมิงค่อยๆ สนทนากับไป๋หลิง ค่อยๆ ทำความรู้จักกัน….เสียงของพวกเขาแผ่กระจายไปท่ามกลางลมหิมะหนาวเหน็บ
“ท่านปู่เผ่ามังกรทมิฬเป็นท่านยายของข้า….ส่วนท่านพ่อกับท่านแม่ออกจากเผ่าไปตอนข้ายังเล็ก ข้าเคยได้ยินท่านยายบอกว่า พวกเขาเดินทางไปเผ่าที่ใหญ่กว่าเผ่าร่องลม ไม่ได้กลับมานานมากแล้ว……” ไป๋หลิงกอดตัวเองอยู่ท่ามกลางหิมะ กล่าวขึ้นเสียงเบา
“ข้ายังไม่รู้เลยว่าท่านพ่อกับท่านแม่ข้าเป็นใคร….ข้าเป็นเด็กที่ท่านปู่เก็บมาเลี้ยง…”
ซูหมิงกล่าวเบาๆ
“หา ที่แท้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ว่าเหตุใดเจ้าถึงได้ดูผอมกว่าคนอื่นนัก แถมยังเตี้ยกว่าข้าอีก ท่านปู่ของเจ้าจะต้องไม่ดีกับเจ้ามากแน่” ไป๋หลิงเบิกตากว้าง
“เปล่าเสียหน่อย ท่านปู่ดีกับข้ามาก อีกอย่างแม้เจ้าจะตัวสูง แต่ท่านปู่บอกว่าอีกไม่กี่ปี ข้าก็จะสูงขึ้นเหมือนกัน ว่าแต่เหตุใดเจ้าถึงดูไม่เหมือนเด็กสาวในเผ่าที่มีรูปร่างแข็งแรงพวกนั้น” ซูหมิงหัวเราะกล่าว
“นั่นเป็นเพราะท่านปู่ถ่ายทอดวิชาหมานให้แก่ข้า ได้ยินว่าก่อนที่ท่านแม่จะออกจากเผ่า ได้ให้ท่านยายถ่ายทอดมันแก่ข้าเมื่อเติบใหญ่”
ไป๋หลิงเห็นเส้นผมของซูหมิงถูกหิมะย้อมเป็นสีขาว จึงหัวเราะคิกคิกพร้อมกล่าวขึ้น