Skip to content

สู่วิถีอสุรา 322

ตอนที่ 322 ออกรบ

รีบขึ้นมา!

คำพูดนี้ก่อเป็นคลื่นเสียงก้องกังวาน ประหนึ่งมีหลายคนตะโกนพร้อมกัน ดังสนั่นกึกก้องโดยรอบ เมื่อเสียงนั้นเข้าถึงหูผู้คนก็กลายเป็นการควบคุมด้านจิตใจ กระตุ้นให้ทุกคนกระหายในสงคราม!

พริบตาเดียว มีเงาร่างคนลากยาวขึ้นจากยอดเขาบนแผ่นดิน ตรงสู่สมบัตินภาหิมวันต์ ตอนที่ยืนด้านบน บนตัวกระบี่ยักษ์พลันปรากฏจุดเล็กสีขาวหนึ่งจุด

จุดนี้หมายถึงชีวิต มันจะไม่เปลี่ยนตำแหน่งอีก หากหายไปก็หมายความว่าบุคคลนี้ตายแล้ว

จากนั้น เงาร่างคนจำนวนมากขึ้นมาบนสมบัตินภาหิมวันต์ ยิ่งเหยียบบนตัวกระบี่มากเท่าไร จุดขาวก็จะมากขึ้นเท่านั้น ความกระหายในสงครามพลันปะทุออกมาในสำนักเหมันต์สวรรค์ก่อนเวลาเกือบยี่สิบวัน

“สงครามแห่งหมอกนภาล่าเผ่าเชมันคือความภูมิใจของเผ่าหมานทุกคน นี่คือสงครามที่สำคัญที่สุดในชีวิต สงครามครั้งนี้พวกเราอาจจะตาย ทว่าต่อให้ตายก็ได้ตายเพื่อเผ่าหมาน!

พวกเราเลี่ยงความตายไม่ได้ ทว่าหากไม่ตาย พวกเราก็จะเจิดจ้า!” ชายชราที่ยืนบนปลายกระบี่กล่าวเสียงกึกก้อง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยพลังประหลาด ทำให้ผู้ฟังทุกคนฮึกเหิม

เงาร่างคนมุ่งตรงมายังสมบัตินภาหิมวันต์มากขึ้น กระทั่งยังมีเงาคนบางส่วนมาจากแผ่นดินฝ่ายนภา ศิษย์ฝ่ายนภาเหล่านี้มีไม่น้อยที่ขึ้นมาเหยียบบนตัวกระบี่ยักษ์

“พวกเรารู้แล้วว่าเผ่าเชมันเคลื่อนไหวก่อนเวลา พวกเราเห็นดาวตกจากเมืองหมอกนภา ข้าบอกพวกเจ้าได้ว่านั่นมิใช่ข่าวร้าย ในความคิดข้ามันคือสัญญาณของการเปิดฉากสงคราม ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าข้ารอคอยวันนี้…รอมาหนึ่งร้อยปีแล้ว!” ชายชราแผดเสียงตะโกน เสียงก้องกังวานเด่นชัด

มีคนพุ่งตัวขึ้นมายังนภาหิมวันต์มากขึ้นและยืนอยู่ด้านบน ประทับตราชีวิตบนตัวกระบี่

“สำนักเหมันต์สวรรค์สร้างมาไม่ถึงหนึ่งหมื่นปี แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในช่วงเวลาหลายพันปีมานี้ พวกเราสำนักเหมันต์สวรรค์สังหารชาวเผ่าเชมันไปเท่าไร ข้าจะบอกให้ว่านับไม่ถ้วน!

พวกเราสำนักเหมันต์สวรรค์ จากสำนักเล็กๆ ใช้การสังหารเผ่าเชมันพิสูจน์ตัวเอง จนถึงวันนี้พวกเราเป็นหนึ่งในสองสำนักใหญ่แห่งแดนอรุณใต้! นี่คือเหตุผลที่พวกเราต้องชนะ!” เสียงชายชราก้องกังวาน มีคนบินขึ้นมายังนภาน้ำแข็งมากขึ้นอีกครั้ง ยามนี้บนสมบัตินภาหิมวันต์มีศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์หลายพันคนแล้ว

“หนึ่งแสนนักรบหมานอยู่เหมันต์สวรรค์ นักรบหมานเหมันต์สวรรค์…อยู่หมอกนภา!” ชายชราพลันแผดเสียงตะโกนสะเทือนฟ้า

ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า แม้รู้เรื่องที่ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าจากคำพูดของชายชรา ในใจเขาก็ยังเกิดความกระหายในการต่อสู้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ไม่นานนัยน์ตาขยับประกาย กลับมาเป็นปกติ

“เป็นการโน้มน้าวที่ร้ายกาจยิ่งนัก…” ซูหมิงพึมพำ เมื่อครู่นี้ หากมิใช่ว่าเขามีจิตสัมผัส คงยากจะหลุดพ้นจากการโน้มน้าว

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หันไปมองจื่อเชอข้างกายแวบหนึ่ง ยามนี้จื่อเชอเปี่ยมล้นไปด้วยความกระหายในสงคราม

ขอแค่ซูหมิงออกคำสั่ง เขาพร้อมจะพุ่งตัวไปทันที

“จื่อเชอ ในเมื่อเจ้าเข้าร่วมสงคราม เช่นนั้นข้าจะให้อิสระเจ้า! ในสงครามเจ้าไม่ต้องตามคุ้มกันข้า….” ซูหมิงกล่าว

จื่อเชอตะลึงงัน มองซูหมิงเหมือนอยากกล่าวอะไรบางอย่าง

“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว! ติดตามข้าจะเป็นอันตรายกับตัวเจ้ามากขึ้นไม่น้อย หากเจ้ามัวแต่รอคำสั่งข้าในสงคราม ชีวิตเจ้าอาจสิ้นลงได้ทุกเมื่อ…เจ้าเป็นอิสระแล้ว” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ขอรับ!” จื่อเชอเงียบไปครู่หนึ่ง ประสานมือคารวะซูหมิง

ซูหมิงหันกลับไปมองยอดเขาลำดับเก้าแวบหนึ่ง ขณะกำลังจะเดินขึ้นไปบนสมบัตินภาหิมวันต์ พลันมีหมอกดำปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว หมอกดำนี้มากะทันหันยิ่งนัก ยังไม่ทันที่ซูหมิงจะได้ตั้งตัว มันก็โอบล้อมข้อมือซูหมิงเอาไว้ กลายเป็นกำไลสีดำ!

ขณะเดียวกัน ในจิตซูหมิงมีเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ดังก้อง

“ศิษย์น้องเล็ก…เผ่าเชมันอันตรายยิ่งนัก ศิษย์พี่จะมอบทาสตนนี้ให้เจ้า….นางมีนามว่าฝ่าจั้ง….” หลังจากซูหมิงประสานมือคารวะบนธารน้ำแข็ง ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวลอยขึ้นฟ้า

จื่อเชอตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสองคนเข้ามารวมอยู่ในสายรุ้งยาวของคนอื่นที่มุ่งหน้าไปสมบัตินภาหิมวันต์เช่นกัน และเหยียบบนกระบี่ยักษ์พร้อมกับทุกคน

ตอนที่เหยียบเท้าลง ซูหมิงรู้สึกว่าใต้เท้ามีพลังงานหลอมรวมเข้ามาในร่างกาย แล้วส่งเข้าไปในตัวกระบี่อย่างเร็ว หลังจากนั้น แม้เขามองไม่เห็นตราประทับของตนบนตัวกระบี่ ทว่ากลับรู้สึกถึงตราประทับได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังรู้ว่าตราประทับชีวิตนี้อยู่ตรงไหนของกระบี่

เวลาผ่านไป ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบนตัวกระบี่จุคนราวหนึ่งหมื่นคน กระบี่ยักษ์พลันสั่นสะท้านแล้วลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ

“ส่งนักรบ!” เสียงแก่ชราดังมาจากฝ่ายนภา จากนั้นมีร่างคนนับไม่ถ้วนบินมาจากฝ่ายนภา อีกทั้งยอดเขาทั้งเก้าบนแผ่นดินก็มีคนนับไม่ถ้วนบินออกมา บ้างก็ยืนอยู่กลางยอดเขา มองกระบี่ยักษ์บนท้องฟ้ารวมถึงคนราวหมื่นคนบนตัวกระบี่!

ผู้คนเหล่านี้อยู่กันแน่นขนัด ดูแล้วมีประมาณหลายหมื่นคน

“คารวะส่งนักรบ ขอให้วิญญาณเทพหมานปกป้องศิษย์เหมันต์สวรรค์ ขอให้ได้ชัยชนะ!” น้ำเสียงชายชรากึกก้อง ขณะเดียวกัน ทุกคนล้วนประสานมือคารวะกระบี่ยักษ์บนท้องฟ้า

การคารวะครั้งนี้ ทำให้คนราวหมื่นคนพลันฮึกเหิมขึ้นมา พวกเขามองแผ่นดิน มองใบหน้าคนรู้จักเหล่านั้น มองสำนักที่คุ้นเคย เงียบไม่กล่าวสิ่งใด

“คารวะส่งนักรบอีกครั้ง ของให้บรรพบุรุษทุกรุ่นของเหมันต์สวรรค์ปกป้อง ให้พวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย!”

ซูหมิงยืนอยู่ตรงขอบกระบี่ จื่อเชอยืนข้างกายเขา นอกจากจื่อเชอแล้ว ข้างกายเขายังมีคนไม่รู้จักอยู่ด้วย เขามองแผ่นดิน มองยอดเขาลำดับเก้า เห็นอาจารย์ปรากฏตัวบนปลายยอดเขารางๆ หู่จื่อยืนดื่มสุราพลางโบกมือให้เขาตรงกลางยอดเขา และยังมีรอยยิ้มอบอุ่นของศิษย์พี่รองส่องสะท้อนแสงตะวัน

เขายังเห็นหานชางจื่อ นางอยู่บนยอดเขาลำดับเจ็ด กำลังเพ่งมองตน

อีกทั้งมีหานเฟยจื่อบนยอดเขาลำดับสาม นางปล่อยไอหนาวเยือกทั้งตัวและกำลังมองเขาเช่นกัน

จนกระทั่งมีสายตาคู่หนึ่งดึงความสนใจซูหมิง ตอนที่เขาเงยหน้า พบว่านอกแผ่นดินฝ่ายนภามีสตรีชุดขาวผู้หนึ่งกำลังมองเขา

“คารวะครั้งสุดท้าย พวกเจ้าเป็นนักรบแห่งเหมันต์สวรรค์ สงครามครั้งนี้ โลหิตชะล้างพวกเชมัน!” เสียงตะโกนของชายชราดังก้องอีกครั้ง กระตุ้นให้แทบทุกคนบนกระบี่ยักษ์เปล่งเสียงตะโกน

“โลหิตชะล้างพวกเชมัน!”

“โลหิตชะล้างพวกเชมัน!”

ข้างหูซูหมิงก้องเป็นคลื่นเสียงคำพูดประโยคนี้ เขายืนเงียบๆ และหลับตาลง

ขณะเดียวกับที่เขาหลับตา กระบี่ยักษ์นภาหิมวันต์ใต้เท้าเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง ค่อยๆ หมุนปลายกระบี่ แล้วพุ่งทะยานไปทางเมืองหมอกนภาท่ามกลางเสียงคำรามของคนในสำนักและบนตัวกระบี่ยักษ์

ช่วงที่กระบี่ยักษ์พุ่งทะยาน ม่านแสงพลันเข้ามาโอบล้อมกระบี่ยักษ์ สร้างเป็นเกราะแสงลักษณะวงรี เกิดเป็นเสียงแหลมและอึกทึก ก่อนกระบี่ยักษ์พุ่งตรงไกลออกไป

ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็มองไม่เห็นสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว แผ่นดินด้านล่างมิใช่หิมะขาวอีก แต่เป็นสีเขียว

ซูหมิงลืมตาขึ้น เขารู้สึกถึงความเร็วของกระบี่นภาหิมวันต์ได้อย่างชัดเจน แทบจะสูสีกับเขาตอนทำลายกำไลน้ำแข็งไปมากกว่าครึ่ง แม้บอกว่าหากทำลายกำไลน้ำแข็งทั้งหมดแล้ว ซูหมิงมีโอกาสแซงหน้ากระบี่เล่มนี้ได้ก็ตาม ทว่ามันก็แค่ระยะทางใกล้เท่านั้น หากเป็นระยะทางไกลขึ้นมาหน่อย ร่างกายซูหมิงจะรับไม่ไหว จึงเทียบไม่ติดกับกระบี่เล่มนี้

ถึงอย่างไรมันก็เป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าของสำนักเหมันต์สวรรค์ ด้วยความเร็วของมัน ไม่กี่วันก็จะถึงเมืองหมอกนภา

“พวกเจ้ากลัวรึไม่!” ออกจากสำนักเหมันต์สวรรค์มาแล้ว ขณะกระบี่ยักษ์หมื่นจั้งกำลังพุ่งทะยาน ชายชราที่ยืนตรงปลายกระบี่หันกลับมาหัวเราะเสียงดัง

“ไม่กลัว!” ในกลุ่มคนราวหมื่นคนบนตัวกระบี่ มีคนตะโกนเสียงดังขึ้นมา

“ไม่กลัวรึ ไม่จริงหรอก ชาวเผ่าเชมันเหี้ยมโหด พวกเจ้ากลัวก็ไม่เป็นไร แต่หลังจากเจ้าตัดหัวพวกมันมาแล้ว เจ้าจะพบว่าไม่เพียงแต่เจ้าที่กลัว มารดาของพวกมันก็กลัวพวกเจ้าเช่นกัน!” ชายชราหัวเราะอย่างสบายใจ มิได้โน้มน้าวเหมือนก่อนหน้านี้

“นอกจากนี้ พวกเรายังมีคนเยอะกว่า ตอนนี้พวกเรามีคนราวหมื่นคนก็จริง ทว่าสำนักระยำอย่างทะเลตะวันออกก็มีคนเข้าร่วมราวหมื่นเช่นกัน และยังมีชนเผ่าหมานทั้งหมดอีก พวกเขาจะเดินทางไปเมืองหมอกนภาในช่วงนี้เช่นกัน! เมื่อถึงตอนนั้น คนของเราจะไม่น้อย! นี่คือสงครามครั้งใหญ่ นี่คือมหาสงครามทุกหนึ่งร้อยปี! สงครามครั้งนี้ หากไม่ตายจะถือเป็นการฝึกฝน พวกเจ้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง!” ชายชราหัวเราะเสียงดังก้องไปทั้งตัวกระบี่หมื่นจั้ง

“ตอนนี้นั่งฌานเสีย ให้ตัวเองอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด พวกเราจะถึงเมืองหมอกนภาในอีกสี่วัน!” ชายชรากล่าวจบ มีหลายคนบนตัวกระบี่เริ่มนั่งฌานสมาธิ รอเหยียบเมืองหมอกนภาในอีกสี่วันให้หลัง

ซูหมิงยังคงเงียบ นั่งขัดสมาธิลง ตรงจุดที่เขานั่งเป็นขอบตัวกระบี่ ตรงหน้าเป็นท้องฟ้ากว้างไกล เขาเห็นม่านแสงปกคลุมหนึ่งชั้น หลังม่านแสงเป็นท้องฟ้าสีคราม ชั้นเมฆล่องลอย

“กำลังมองอะไร” น้ำเสียงนุ่มนวลดังมาจากหลังซูหมิง เขาไม่หันกลับไปมอง เพราะคนที่กล่าวยามนี้นั่งอยู่ข้างเขา

“กำลังดูว่าแดนอรุณใต้กว้างใหญ่เพียงใด…” ซูหมิงกล่าวเบาๆ เหลือบไปมองเทียนหลันเมิ่งแวบหนึ่ง

เทียนหลันเมิ่งยังคงหน้าซีดขาว มองท้องฟ้านอกกระบี่ยักษ์ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“ดาวตกสิบดวงหมายถึงอะไร?” ซูหมิงพลันถาม

“ไม่มีอะไร เจ้าไม่ต้องถามแล้ว” เทียนหลันเมิ่งเงียบ ส่ายศีรษะ

“เช่นนั้น ภัยพิบัติแห่งแดนรกร้างบูรพาหมายถึงอะไร!” ซูหมิงมองเทียนหลันเมิ่ง ส่งกระแสจิตไป

เทียนหลันเมิ่งพลันตัวสั่น หันใบหน้างามที่ทำให้คนหวั่นไหวมามองซูหมิง นัยน์ตางามฉายแววตะลึง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version