Skip to content

สู่วิถีอสุรา 353

ตอนที่ 353 ข้าคือซูหมิง

บนสนามรบ ไม่มีคำว่าถูกผิด

บนสนามรบ มีแค่การทำตามคำบัญชา

ซูหมิงเลือกเข้าร่วมสงครามในแห่งนี้ เช่นนั้นเขาก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของโจวเต๋อ ทำการแสดงอันยอดเยี่ยมนี้ให้เสร็จสิ้น ครั้งนี้เป็นการทดสอบคลุ้งกลิ่นคาวเลือด

ตอนที่เขาบุกทะลวงออกจากเขตสงครามทางใต้แล้วมาปรากฏตัวอยู่บนที่โล่ง ด้านหลังเขามีผู้ติดตามเกือบพันคน ตรงหน้าเขาเป็นพื้นที่ห่างไปไกล และมีชาวเผ่าเชมันหลายร้อยคน

เขายังเห็นว่ายามนี้ชาวเผ่าเชมันหลายร้อยคนนั้นมองมาเป็นตาเดียว มองพวกเขาอย่างเย็นชา

“ท่านซูหมิง ข้าอยากกระจายกำลังพลเพื่อตรึงกำลังของเผ่าเชมัน…” เหยียนป๋อหัวใจเต้นแรง เขารู้สึกว่าตนบ้าระห่ำเกินไปหน่อย เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงบุคคลเล็กจ้อยในสนามรบ นำคนเพียงสิบกว่าคนเข่นฆ่าในสนามรบแล้วเอาชีวิตรอดมาให้ได้เท่านั้น

ทว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปราวกับพลิกฟ้าดินหลังจากเจอซูหมิง

ตอนที่เขานำกำลังคนหนึ่งร้อยกว่าเขาก็พอใจแล้ว เขารู้สึกว่าหนึ่งร้อยคนนี้ภายใต้การควบคุมของตน จะทำพวกเขาเข่นฆ่าศัตรูได้เยอะยิ่งขึ้นโดยมีความปลอดภัยสูงสุดเป็นพื้นฐาน

ทว่าก็พอใจมาได้ไม่นานเท่าไร ผู้ติดตามด้านหลังพวกเขาก็มากถึงสองร้อยและสามร้อย จากนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การแปรเปลี่ยนเช่นนี้ทำให้เหยียนป๋อทั้งตื่นเต้นและหวาดกลัว

ตอนที่ผู้บัญชาการโจวสั่งการมา ในใจเหยียนป๋อขมขื่น ทั้งยังจำใจยอมรับ เขาเคยคิดจะถอยหนี ทว่าคำสั่งการศึกเป็นเหมือนภูเขา หากเขาถอย ชนเผ่าเขาจะต้องดูถูกดูแคลน เขาจึงถอยไม่ได้

ด้านหลังเขาเป็นกำแพงหมอกนภา หากเขาถอย หากคนอื่นก็ถอยเช่นกัน เช่นนั้นไฟสงครามจะลุกลามไปทั้งเผ่าหมาน…..ภาพนั้น เขาไม่กล้าจินตนาการถึงมัน แม้ในใจจะบอกตัวเองเสมอว่าสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นทุกร้อยปีเท่านั้น และสงครามครั้งนี้ยังมิใช่ศึกตัดสินสุดท้าย

กำแพงหมอกนภาจะไม่ถูกบุกโจมตีจนแตก แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากเขาเข้าร่วมด้วยแล้วกลับไม่เป็นอิสระ อีกทั้งรู้สึกถึงความเหี้ยมโหดและน่ากลัวของสงคราม

ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้

“การบัญชาการอะไรพวกนี้ข้าไม่เข้าใจ เจ้าจัดการเลย” ซูหมิงไม่หันไปมอง เขาจ้องไปยังกลุ่มชาวเผ่าเชมันไกลๆ และมุ่งหน้าไปอย่างเงียบขรึม

“ท่าน ความคิดข้าคือไม่ต้องเปลี่ยนรูปขบวน จากตรงนี้ถึงตรงนั้นราวๆ เกือบหมื่นจั้ง พวกเราก็บุกทะลวงเข้าไปแบบนี้เลย!” เหยียนป๋อกัดฟัน เขากังวลว่าหลังจากกระจายกำลังพลแล้วจะมีคนกลัวและคิดถอยหนี สู้ตามซูหมิงไปแบบนี้จะดีกว่า

“กลัวรึไม่!” ซูหมิงกล่าว

“ไม่กลัว!” เหยียนป๋อกัดฟัน

“ข้าก็ไม่กลัว อย่างมากก็แค่ตาย!” จื่อเชอพุ่งตัวออกมาจากกลุ่มคน หลังจากกระจายคำสั่งแล้วก็กลับมาอยู่หลังซูหมิง ขณะห้อเหยียดได้ยินการสนทนาของซูหมิงกับเหยียนป๋อ จึงยิ้มกล่าวขึ้นด้านข้าง

ซูหมิงยิ้ม นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ขณะห้อเหยียด กำลังพลหนึ่งพันลากยาวปานสายลม สายลมนี้พัดจากนอกเมืองหมอกนภาตรงเข้าสู่กลุ่มชาวเผ่าเชมัน

หมื่นจั้ง เก้าพันจั้ง แปดพันจั้ง เจ็ดพันจั้ง!

จากการบุกทะลวงไปของพวกซูหมิง มีเสียงตะโกนดังมาจากในกองกำลัง พวกเขาออกจากสนามรบแล้ว จึงกลายเป็นจุดที่เด่นตาอย่างยิ่งบนสนามรบแห่งนี้

ชั่วขณะที่พวกเขาห่างจากกลุ่มเผ่าเชมันเกือบถึงหกพันจั้ง ชาวเผ่าเชมันเหล่านั้นพลันลุกฮือขึ้น มีนักล่าสวมหน้ากากแห่งเผ่าเชมันห้าคนพุ่งทะยานออกมา ด้านหลังพวกเขามีนักรบเชมันหนึ่งร้อยกว่าคน พากันพุ่งตรงไปทางซูหมิงทันที

พวกเขาในยามนี้จะไม่บอกว่าใกล้เคียงกับคำว่าเป็นที่จับตามองของคนมหาศาล! แต่มีผู้คนจำนวนมากจับตามองพวกเขาโดยเฉพาะในเมืองหมอกนภา นอกจากชายชราบนกำแพงเมืองเจ็ดแปดคนแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกที่มองกำลังพลกลุ่มนี้ทะลวงออกจากเขตสนามรบ

กลางเมืองหมอกนภา มีสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดอยู่หนึ่งแห่ง ลักษณะของมันเหมือนแท่งกระบอกยักษ์ ตรงปลายเป็นลักษณะกลม ลูกกลมนี้มีขนาดหนึ่งร้อยจั้ง ลอยอยู่เหนือแท่งกระบอก ภายในลูกกลมนี้มีห้องลับเงียบสงบอยู่

ยามนี้ภายในห้องลับมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่สามคน

ชายชราตรงกลางผิวหนังแห้งและดำคล้ำ มีเพียงดวงตาลึกล้ำประดุจตกตะกอนอยู่ในกาลเวลามามากกว่าพันหมื่นปี เขามองไปตรงหน้า ตำแหน่งของเขาไม่มีผนังห้องกั้นเอาไว้ เหมือนกับโปร่งใส จึงมองเห็นทุกจุดของสนามรบได้ชัดเจน

สายตาเขากำลังมองกลุ่มเล็กหนึ่งพันคนของซูหมิง

ทว่ามิใช่เพียงแค่เขา ชายชราสองคนข้างกายก็เพ่งมองกลุ่มซูหมิงเช่นกัน

“ชาวหมานในเขตสนามรบทางใต้ ส่วนใหญ่มาจากสำนักเหมันต์สวรรค์”

ชายชราด้านขวาสวมชุดคลุมฟ้า ยามนี้ยิ้มบางพลางกล่าว

ชายชราด้านซ้ายสวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว พอได้ยินดังนั้นจึงแค่นเสียงหึ ไม่กล่าวสิ่งใด

ขณะทั้งสามคนกำลังมองไป ก็พบว่าด้านหน้ากำลังพลของซูหมิง ชาวเผ่าเชมันหนึ่งร้อยกว่าคนภายใต้การนำของนักล่าแห่งเชมันหลายคนวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนทั้งสองฝ่ายจะเข้าปะทะกันห่างจากจุดที่กลุ่มเชมันอยู่สี่พันจั้ง

นี่คือสงครามที่ดุเดือดอย่างยิ่ง แม้ชาวเผ่าเชมันจะมีเพียงหนึ่งร้อยกว่า แต่เห็นได้ชัดว่าชาวเผ่าเชมันเหล่านี้ต่างจากที่ซูหมิงเคยเจอในสนามรบ พวกเขาลงมือเด็ดขาดยิ่งนัก ขั้นพลังยังต่างชั้นโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้อ่อนแอแม้แต่คนเดียว

กลับกันในกลุ่มซูหมิง แม้คนจะเยอะ แต่ขั้นพลังสูงต่ำไม่สม่ำเสมอกัน หากมิใช่เพราะซูหมิงบุกทะลวงอย่างไม่เกรงกลัวคงพ่ายไปนานแล้ว

ยามนี้ทั้งสองฝ่ายปะทะเข้าใส่กัน กลุ่มซูหมิงมีคนตายเกือบร้อยทันที เสียงเข่นฆ่าดังกึกก้อง ตรงหน้าซูหมิงมีนักล่าเชมันสองคนกำลังล้อมสังหารเขา!

นักล่าแห่งเชมันสองคนนี้มีขั้นพลังเทียบเท่าเซ่นไหว้กระดูกตอนกลาง เมื่อร่วมมือกันจึงทำให้ซูหมิงไม่อาจเดินหน้าต่อ ทว่าดวงตาซ้ายเขายังคงเย็นชาและมีความกระหายในสงคราม ตัดกับจิตสังหารในดวงตาขวาอย่างชัดเจน

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ แทบจะเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ชาวเผ่าหมานก็บาดเจ็บสาหัสแล้ว ห่างไปสี่พันจั้งพลันมีนักล่าอีกห้าคนนำชาวเผ่าเชมันหนึ่งร้อยกว่าเข้ามาสมทบ

แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าโจมตีในทันที ทว่ากลับสร้างแรงกดดันให้กับกลุ่มซูหมิงอย่างยิ่ง แรงกดดันนี้เหนือชั้นยิ่งนัก กระทั่งยังเทียบได้กับอภินิหารที่ยิ่งใหญ่!

‘เป็นกลยุทธ์ที่เหนือชั้นจริงๆ !’ เหยียนป๋อมีโลหิตเต็มใบหน้า ขณะเข่นฆ่าก็เห็นภาพดังกล่าว จึงลอบถอนหายใจเบาๆ

การออกจากเขตสงครามจำเป็นต้องมีความกล้า ความกล้านี้จะมีน้อยมิได้ แต่เพราะหนึ่งพันคนออกมาพร้อมกันและมีซูหมิงนำหน้า ภายใต้จิตใจอันแน่วแน่และความทรหด คนที่มีความกล้าหาญก็ยังมีอยู่

ทว่าหลังจากออกมาแล้วกลับพบอุปสรรค พริบตาเดียวก็มีคนตายไปเกือบร้อย มองไกลออกไปก็มีชาวเผ่าเชมันเข้ามาสมทบอีก แรงกดดันที่ไร้รูปนี้จึงเพียงพอจะทำให้จิตใจพวกเขาพังทลาย

ยามนี้ ยังไม่ทันที่ชาวเผ่าเชมันระลอกที่สองจะมาถึง ชาวหมานส่วนหนึ่งด้านหลังกลุ่มก็มีบางคนถอยเพราะความกลัวแล้ว….

จะเห็นได้ว่าตอนแรกมีคนล่าถอยหลายสิบคน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเป็นหลายร้อยคน ยิ่งถอยยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้กำลังพลหนึ่งพันคนเหมือนถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม

ตอนที่เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นัยน์ตาโจวเต๋อแห่งเขตสนามรบทางใต้มีแววผิดหวัง

ชายชราแห่งเขตสนามรบทางเหนือถอนหายใจ ส่ายศีรษะ

ส่วนเทียนหลันเมิ่งหน้าซีดขาว สายตามองเพียงซูหมิงคนเดียว

เทียนหลันโยวแห่งเขตสนามรบทางตะวันออกยังคงเหมือนเดิม

เพียงมองกลุ่มซูหมิงแวบหนึ่งแล้วด่าว่าโง่เขลา ก่อนจะไม่สนใจอีก ประหนึ่งว่ากลุ่มซูหมิงไม่มีค่าพอให้นางสนใจ

บนกำแพงหมอกนภา ชายชราเจ็ดแปดคนมีสีหน้าสงบนิ่ง ด้วยอายุที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทำให้พวกเขามีความอดทนมากพอที่จะชมการแสดงจนจบ

ซูหมิงกระอักโลหิต มีสีหน้าเหี้ยมโหด ก่อนใช้ศีรษะกระแทกใส่หน้ากากนักล่าแห่งเชมัน ในระยะใกล้เช่นนี้ เขาเห็นได้ถึงความตื่นตะลึงในแววตาของชายสวมหน้ากากแห่งเชมัน

ซูหมิงยังไม่เคยหยุดฝีเท้า และไม่คิดห้ามคนที่ล่าถอย แต่ใช้การกระทำของเขาบอกกับทุกคนว่า การต่อสู้กับศัตรู ผู้กล้าหาญเป็นฝ่ายชนะ

‘เจ้าถอยได้หนึ่งครั้ง ถอยได้สองครั้ง ทว่าเมื่อเจ้าถอยสามครั้ง ต่อให้เจ้าไม่ตาย แต่ความจริงคือเจ้าได้ถูกสนามรบทอดทิ้งไปแล้ว…คนแบบนี้ไม่มีทางเป็นผู้แข็งแกร่ง! ผู้แข็งแกร่ง คือผู้มีชีวิตรอดจากการต่อสู้นับร้อยครั้ง เมื่อนั้นจะสัมผัสได้ถึงการสร้างระหว่างความเป็นและความตาย!’

‘ทุกคนเป็นผู้แข็งแกร่งได้!’ ซูหมิงตาแดงก่ำ ใช้ศีรษะกระแทกใส่ชายสวมหน้ากากเผ่าเชมันไม่หยุด ขณะอีกฝ่ายร้องด้วยความกลัว ซูหมิงพุ่งไปด้านหน้า ใช้สองมือฉีกร่างอีกฝ่าย ฝนโลหิตโปรยปรายในอากาศ

ขณะเดียวกัน ซูหมิงก็ต้องจ่ายกับสิ่งนี้เช่นกัน บาดแผลเขาสาหัสยิ่งขึ้น!

“ผู้ติดตามข้า หากสู้ร้อยครั้งแล้วไม่ตาย ก็จะเป็นผู้แข็งแกร่ง!” ท่ามกลางฝนโลหิต ซูหมิงกล่าวประโยคแรกกับทุกคนหลังพุ่งทะยานออกมา

จื่อเชอติดตามอย่างบ้าระห่ำ เหยียนป๋อตาแดงขึ้น แผดเสียงคำรามพร้อมกับติดตามไป ด้านหลังพวกเขายังมีคนไม่เลือกหนีอยู่หลายร้อยคน คนเหล่านี้เห็นการกระทำของซูหมิงและได้ยินคำพูดของเขา

นี่คือสนามรบ มันเป็นสถานที่น่าอัศจรรย์ ที่บอกว่ามันอัศจรรย์ ก็เพราะว่าที่นี่เกิดความศรัทธา การพึ่งพา และความเลื่อมใสได้ง่ายที่สุด!

ที่นี่ ผู้มีจิตใจอ่อนแอจะเลือกติดตามผู้มีจิตใจแข็งแกร่ง นั่นคือกฎตายตัว และเป็นกฎตายตัวของสงคราม!

“ข้าคือซูหมิง ข้าคือนักล่าซูหมิง ข้าคือซูหมิงผู้ถือตรารัตติกาลแห่งหมอกนภา! ข้าสังหารเผ่าเชมันไปจำนวนมาก ติดตามข้า เป็นตายร่วมกันไปพร้อมกับข้า!” ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว พุ่งตรงไปยังนักล่าเชมันอีกหลายคน เสียงคำรามแหบแห้งจากลำคอก้องกังวานรอบทิศ

หลังจากซูหมิงคำราม หลายร้อยคนที่เหลือล้วนตาแดงก่ำ ยามนี้ความเป็นตาย ความคิดถอยหนี และความกลัวถูกสะบัดทิ้งไปไกล เหลือเพียงโลหิตเดือดพล่าน มีเพียงเสียงตะโกนแหบแห้งของซูหมิงที่ข้างหู

ระลอกคลื่นอารมณ์ถูกกระตุ้นในพริบตา คล้อยหลังการแปรเปลี่ยนอย่างชัดเจน จิตใจอันแน่วแน่ของทุกคนมารวมกัน เหมือนกับกระบี่ล้ำค่ากำลังลับคมอยู่บนสนามรบ และแสดงความคมของมัน!

โจวเต๋อสีหน้าเปลี่ยน!

ชายชราเขตสนามรบทางเหนือเพ่งสายตามอง ส่วนเทียนหลันเมิ่งนัยน์ตาฉายแววสับสน…..นางมองซูหมิง มอง….และมอง

เทียนหลันโยวแห่งเขตสนามรบทางตะวันออกหันไปมองซูหมิงเป็นครั้งที่สอง

“ตีกลองรบให้พวกเขา!” บนเมืองหมอกนภา หนึ่งในชายชราเจ็ดแปดคนพลันกล่าวขึ้น

กล่าวจบก็มีเสียงกลองดังตึงๆๆๆ ดังแว่วมาจากในเมืองหมอกนภา กลองรบนี้เต็มไปด้วยความฮึกเหิม มันตีเพื่อกลุ่มหลายร้อยคนของซูหมิง ส่งเสียงเพื่อพวกเขาเท่านั้น!

“เมืองหมอกนภาต้องการวีรบุรุษ สงครามครั้งนี้…ก็ต้องการวีรบุรุษของเผ่าหมานเช่นกัน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version