ตอนที่ 356 การแปรเปลี่ยนโดยธรรมชาติ
ขณะหมอกเขียวม้วนตลบบนท้องฟ้า ราวกับปรากฏมือไร้รูปสองมือล้วงลึกไปในหมอก ก่อนฉีกหมอกออกเป็นสองส่วน
หมอกม้วนกระจายสู่โดยรอบทั้งหมด สามผู้แข็งแกร่งเผ่าเชมันในนั้นมีสีหน้าตื่นตะลึง แล้วพากันถอยไป ส่วนผู้แข็งแกร่งห้าคนแห่งเผ่าหมานก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
หมอกเขียวบนท้องฟ้ากลายเป็นเศษกระจายในพริบตาเดียว แผ่กระจายออกโดยรอบอย่างรวดเร็ว จนเผยให้เห็นท้องฟ้ามืดมิด!
บนท้องฟ้า เห็นชัดเลยว่ามีแสงสีฟ้าจากที่ไกลๆ กำลังตรงเข้ามา เมื่อแสงปรากฏ ท้องฟ้ามืดมิดก็กลายเป็นสีฟ้า!
ทว่าสีฟ้านี้กลับต่างจากท้องฟ้ายามกลางวัน มันคือสีฟ้าเข้ม มีความรู้สึกหนักหน่วงที่พิลึกบางอย่าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงลากยาวจากท้องฟ้า เสียงนั้นประดุจบทเพลง ประหนึ่งเสียงคำราม ทำให้ผู้ฟังได้ยินไม่ชัด แต่กลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยาย มันกำลังรวมอยู่บนท้องฟ้าและพุ่งลงสู่แผ่นดินไปทุกสารทิศ
“เทวรูปเซ่นไหว้กระดูก!” บนท้องฟ้า ในกลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานหกคนที่กำลังถอย พลันมีคนกล่าวขึ้น
“นี่คือสัญญาณก่อนเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกปรากฏ เทวรูปเซ่นไหว้กระดูกจากราชวงศ์ต้าอวี๋กำลังข้ามผ่านอากาศมาเยือนที่แห่งนี้!”
“มีคนทะลวงขั้นพลังในสนามรบ เลยอัญเชิญเทวรูปเซ่นไหว้กระดูก!”
ผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานทั้งหกคนนี้มิใช่พวกมีความรู้แค่หางอึ่ง ยามนี้แวบเดียวก็มองออกแล้ว ที่แท้มีคนทะลวงขั้นเซ่นไหว้กระดูก สำหรับพวกเขาแล้วเป็นเรื่องเล็กเท่านั้น ทว่าตอนนี้สีหน้าพวกเขากลับมิใช่เรื่องเล็กแล้ว!
“ทะลวงขั้นเซ่นไหว้กระดูกธรรมดาจะไม่มีทางอัญเชิญเทวรูปเซ่นไหว้กระดูก คนที่ทำได้มีเพียง…แม่ทัพเทพเซ่นไหว้กระดูก!”
บนกำแพงหมอกนภา ชายชราเจ็ดแปดคนยามนี้มองท้องฟ้า หนึ่งนั้นกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“อีกทั้งยังเป็นร่างจริง หากเป็นเงาจะไม่มีพลังฉีกหมอกนั่นได้ และยิ่งไม่มีแรงกดดันที่จะหยุดการต่อสู้ของพวกเขา! นี่คือร่างจริงอย่างสมบูรณ์! ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนอัญเชิญเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกร่างจริงมาได้ ในความทรงจำข้า หนึ่งพันปีมานี้ปรากฏเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกร่างจริงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เป็นใครกันที่อัญเชิญร่างจริงเทวรูปเซ่นไหว้กระดูก!”
“ต่อให้ได้รับแต่งตั้งแม่ทัพเซ่นไหว้กระดูก ก็อัญเชิญร่างจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตอนนี้…กลับปรากฏร่างจริงโดยสมบูรณ์! สวรรค์เข้าข้างเผ่าหมาน ปรากฏร่างจริงของเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกครั้งที่สองในแดนอรุณใต้ของเรา!”
เทียบกับความรู้และการคาดเดาของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นแล้ว คนหลายหมื่นบนแผ่นดิน มีคนมองออกเล็กน้อย ทว่าที่มากกว่าคือสับสนและมึนงง พวกเขามองท้องฟ้าในยามนี้ ในใจตื่นตะลึง
ตอนนี้แม้แต่โจวเต๋อแห่งเขตสงครามทางใต้ก็ยังมองท้องฟ้า ไม่มองซูหมิงอีก
ทั้งสนามรบ คนที่ยังสนใจซูหมิงมีเพียงเทียนหลันเมิ่งกับผู้ติดตามซูหมิงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น
มีแค่พวกเขาที่มองว่าซูหมิงอยู่ที่ใด
ทั้งตัวซูหมิงกลายเป็นแสงสีฟ้าพร่างพราว แสงนั้นอยู่กลางมวลอากาศ เห็นเพียงเงาแสง มองเห็นไม่ชัด ขณะแสงสีฟ้าขยับวิบวับ ความเร็วซูหมิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระยะทางสามพันห้าร้อยจั้งพริบตาเดียวก็เป็นหนึ่งพันจั้ง
ในสายตาซูหมิง นอกจากจุดเป้าหมายแล้ว ทุกอย่างเลือนรางไปหมด สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงในกลุ่มคนห่างไปหนึ่งพันจั้ง เป็นสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ภายใต้การคุ้มกันหลายชั้น
สตรีคนนั้นสวมเสื้อยาว สีหน้าราบเรียบ กำลังมองซูหมิงอยู่เช่นกัน ใบหน้านางมิได้งดงามมากนัก เพียงงดงามแบบทั่วไปเท่านั้น บนเส้นผมมีเครื่องประดับขนนกสีสันแพรวพราว นอกจากสิ่งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ดวงตานางหยั่งลึก ภายในแฝงไว้ด้วยพลังบางอย่าง เพียงคนที่ถูกนางมอง จะเหมือนตกอยู่ภายในบ่วง ถอนตัวไม่ขึ้น
แทบจะเป็นช่วงที่ซูหมิงห่างจากนางหนึ่งพันจั้ง ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าเข้ม กลางสีฟ้าเข้มนั้น ทั้งท้องฟ้ากลายเป็นน้ำวนยักษ์ หมุนวนอย่างรวดเร็ว และปล่อยแรงกดดันไม่อาจบรรยาย
ภายใต้แรงกดดันนี้ เผ่าหมานและเชมันบนสนามรบไม่อาจทำสงครามกันต่อ แรงกดดันนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้เผ่าหมานรู้สึกยำเกรงในใจ ต่อให้เป็นเผ่าเชมันก็ไม่ละเว้น
บนสนามรบ เกิดการพักรบเป็นครั้งแรก!
มีเพียงซูหมิงที่ยังเคลื่อนไหว ห้อเหยียดไปยังจุดเป้าหมายในสายตาเขา ทว่าคนที่สนใจเขากลับน้อยยิ่งนัก ต่อให้เป็นเผ่าเชมัน ส่วนใหญ่ก็ยังมองท้องฟ้า
ช่วงที่ซูหมิงห่างจากสตรีแปดร้อยจั้ง ตรงกลางน้ำวนยักษ์บนท้องฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้า ส่องสะท้อนทั้งแผ่นดิน แสงนี้เป็นสีฟ้า มันปกคลุมแผ่นดินในชั่วพริบตา ขณะเดียวกัน ค่อยๆ มีเทวรูปขนาดหนึ่งพันจั้งลงมาจากน้ำวนยักษ์
เทวรูปนี้เปล่งแสงไกลหมื่นจั้ง และมองไม่เห็นใบหน้า ทว่าเมื่อมันปรากฏตัว แม้แต่เวลายังเหมือนหยุดนิ่ง แรงกดดันแกร่งกล้า ทำให้เผ่าหมานบนแผ่นดินทุกคนล้วนคุกเข่ากราบไหว้
ไม่เพียงแค่เผ่าหมาน เผ่าเชมันยังมีสีหน้าดิ้นรน ทว่าร่างกายพวกเขากลับคุกเข่าลงกราบไหว้เอง ประหนึ่งว่าเทวรูปนี้ทำให้เผ่าหมานเคารพยำเกรง แม้แต่พวกเชมันก็ต้องด้วย
แผ่นดินในตอนนี้ หากมีคนนอกเผ่ามองจากท้องฟ้าจะต้องแยกไม่ออกระหว่างเผ่าหมานกับเผ่าเชมันแน่ เหมือนกับชนเผ่าหนึ่งกำลังต่อสู้กันเอง
คนที่ไม่คุกเข่ามีเพียงผู้แข็งแกร่งขั้นพลังสูงส่งเหล่านั้น พวกเขาอยู่กลางอากาศ อยู่ในเมืองหมอกนภา กำลังมองเทวรูปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคารพ ทว่ากลับมิได้ตกใจกลัวกับแรงกดดันมากนัก
นอกจากพวกเขาแล้ว บนแผ่นดินยังมีสัตว์ร้ายจำนวนมากที่ไม่คุกเข่า และยังมีซูหมิงที่กำลังมุ่งหน้าไปยังจุดเป้าหมาย เพราะหลังจากคนเหล่านั้นคุกเข่าลงแล้ว ก็เหลือเพียงสตรีเส้นผมยาวปลิวไสวที่ยืนอยู่ระหว่างสัตว์ร้ายสิบกว่าตัว รวมถึงอยู่ใต้สัตว์ร้ายขนาดหนึ่งพันจั้ง
ยามนี้สตรียกมือขึ้น เส้นผมถูกสายลมพัด ตรงนิ้วมือนางมีแหวนวงหนึ่ง
กระดูกหมานในตัวซูหมิงละลายจนหมด เมื่อกระดูกสันหลังดูดพลังไปแล้ว ก็ดูดสายลมนับไม่ถ้วนไปอีก สายลมนี้หายไปในตัวซูหมิง ทำให้เขาเร็วขึ้น ไหววูบครั้งเดียวก็มาอยู่ห่างจากสตรีห้าร้อยจั้ง
ยามนี้ บนกำแพงเมืองหมอกนภาของเผ่าหมาน ชายชราเจ็ดแปดคนที่ยังเงยหน้ามองท้องฟ้าพลันสีหน้าเปลี่ยน ดูเหลือเชื่อและตื่นกลัว
คนที่มีสีหน้เช่นนี้ มิได้มีเพียงแค่พวกเขา ยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานหกคนบนท้องฟ้า กระทั่งชาวเผ่าเชมันสามคน
“แรงกดดัน…แข็งแกร่งขึ้น!”
บนท้องฟ้า เมื่อเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกปรากฏ แรงกดดันในตอนแรก ยามนี้พลันเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ตรงกลางน้ำวนบนท้องฟ้าเกิดการหมุนทวนเข็ม พริบตาเดียว ทิศทางการหมุนของน้ำวนก็เปลี่ยน ไม่เพียงเท่านั้น มันยังแผ่ขยายออกทุกสารทิศ มีพลังมากกว่าตอนเทวรูปเซ่นไหว้กระดูกปรากฏ พลังของมันปกคลุมเกินกว่าสนามรบ ลุกลามไปจนถึงเมืองหมอกนภา
“นี่มัน..สัญญาณของการปรากฏเทวรูปขั้นวิญญาณหมาน!” ในกลุ่มชายชราเจ็ดแปดคนบนกำแพง พลันมีคนหลุดเสียงร้องดังขึ้น
เมื่อกล่าวจบมีเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากในน้ำวนประหนึ่งฉีกท้องฟ้า เทวรูปที่ไม่อาจบรรยายรูปหนึ่งค่อยๆ ปรากฏมาจากข้างใน เผยให้เห็นหนึ่งมุม
เพียงแค่หนึ่งมุมนี้ก็ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานและเชมันทั้งเก้าคนกลางอากาศถอยอย่างรวดเร็ว พากันลงสู่แผ่นดิน ราวกับว่าพวกเขาอยู่กลางอากาศมิได้
มุมที่ปรากฏเปล่งแสงสีแดงฉาน จะเห็นได้ว่าเทวรูปขนาดเท่าไรไม่รู้นี้โผล่เพียงฐานล่างสุดเท่านั้น ทว่าเพียงแค่ฐานกลับมีแรงกดดันถึงเพียงนี้ หากเทวรูปปรากฎโดยสมบูรณ์ เกรงว่าแรงกดดันคงจะทำให้หลายหมื่นคนบนสนามรบระเบิดพร้อมกัน
ขณะเดียวกับที่เทวรูปเซ่นไหว้กระดูกและเทวรูปวิญญาณหมานปรากฏ ภาพนี้เกินจินตนาการของผู้คน ไม่ว่าในตำราใดๆ ก็ไม่เคยบันทึกเหตุการณ์พิลึกเช่นนี้มาก่อน ยามนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต้องตื่นตะลึง
หลังจากเทวรูปวิญญาณหมานปรากฏเพียงมุมหนึ่ง และโผล่ออกมาอีกหลายชุ่น(นิ้ว)แล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานก็ไม่อาจทนรับแรงกดดันนี้ไหว พากันคุกเข่าลง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเป็นเช่นนี้!”
“หรือว่าจะมีคนทะลวงจากขั้นชำระล้างไปวิญญาณหมาน นี่…..นี่…..”
“เทวรูปสององค์ปรากฏพร้อมกัน เพราะอะไรกันแน่!” ในความคิดผู้คนสับสน ขณะที่สงครามสงบลงก็เพราะเรื่องนี้ มีเสียงหนึ่งดังมาจากในเมืองหมอกนภา
“นี่คือผู้สืบทอดคนแรกของหมานวายุ…..”
น้ำเสียงแก่ชราปานดังแว่วมาจากกาลเวลาห่างไกล ก้องกังวานรอบแปดทิศ เข้าถึงหูผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานทุกคน คนอื่นไม่ได้ยิน
“ไม่เหมือนกับแม่ทัพเทพชำระล้าง แม่ทัพเทพเซ่นไหว้กระดูกมีการแบ่งชั้นอย่างละเอียด เทพแท้จริงเป็นระดับที่สูงที่สุด…จิตของเทพแท้จริงหายไปตามเทพหมานรุ่นหนึ่งในตอนนั้น อยู่ในความเวิ้งว้าง…ในเศษความทรงจำของข้า พอจะเข้าใจเกี่ยวกับเทพแท้จริงอยู่บ้าง เทพแท้จริงมีสี่องค์ วายุเป็นผู้นำ รองลงมาเป็นเมฆ สายฟ้า และสุดท้ายคือหมอก
เมฆ สายฟ้า และหมอก ในสมัยบรรพกาลมีผู้สืบทอดแล้ว มีเพียงหมานวายุที่ยังไม่ปรากฏ…ตอนนี้ผู้สืบทอดหมานวายุปรากฏตัวแล้ว
เพราะมีเพียงผู้สืบทอดคนแรกของเทพแท้จริงเซ่นไหว้กระดูกเท่านั้น ถึงจะอัญเชิญร่างจริงของเทวรูปวิญญาณหมานเพื่อมาแต่งตั้งยศให้เองกับมือ…หากบุคคลนี้ตาย การสืบทอดหมานวายุก็จะไม่เป็นเช่นนี้อีก”
แทบจะเป็นช่วงที่เทวรูปวิญญาณหมานโผล่มาจากมุมหนึ่งในน้ำวน ซูหมิงห่างจากสตรีผู้นั้นไม่ถึงสองร้อยจั้งแล้ว