Skip to content

สู่วิถีอสุรา 411

ตอนที่ 411 ศพพิษกับร่างแยก

‘เงาร่างแยกของตี้เทียนน่าจะหายไปเพราะพลังเทพหมานแล้ว….ทว่าหนึ่งร่างแยกยังแข็งแกร่งขนาดนี้ หากเขาแยกร่างมาอีกครั้ง หรืออาจมาด้วยตัวเอง…..’ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ นึกถึงเรื่องเมื่อครึ่งปีก่อนพลันมีสีหน้ามืดทะมึน

‘พลังเขาแข็งแกร่งขนาดนี้ ในสายตาเขา เหตุใดข้าถึงสำคัญเช่นนั้น…บางทีในตัวข้าอาจมีความลับอะไรบางอย่างในใจของตี้เทียน’ ปัญหานี้ซูหมิงขบคิดอยู่นานมาก ทว่าก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบ

“เฟยเอ๋อร์….” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ขณะที่กล่าวสองคำนี้ จิตเขาไม่รู้สึกเศร้า แต่ใจเขา ร่างกายเขา กลับเกิดความเศร้าโดยที่ไม่อาจควบคุม

ซูหมิงหลับตาอยู่พักใหญ่ก่อนลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววเศร้าโศก

“บางทีความเศร้าที่สุดบนโลกใบนี้คือเจ้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงเศร้า…”

ซูหมิงพึมพำด้วยความขมขื่น เขานึกถึงรูปปั้นหินหญิงสาวในโรงศพ เขาเข้าใจทุกอย่างในความฝันแล้ว บางทีอาจเป็นความจริง ทว่าเขา…สูญเสียความทรงจำส่วนใหญ่ไป คงยากที่จะรู้สึกถึงความเศร้าของร่างกายและจิตใจ

‘หากไม่มีความทรงจำฝังลึก ต่อให้รู้จักกันมากกว่านี้ก็กลายเป็นคนแปลกหน้า…..แต่ความทรงจำทางร่างกายเป็นสิ่งที่ลบไม่ออก ความเจ็บปวดของหัวใจคอยย้ำเตือนตัวเอง ความเศร้าคงอยู่….ทว่าจิตใต้สำนึกข้ากลับสงบนิ่ง ปานแยกออกจากร่างกายและจิตวิญญาณ’

‘ใครคือซู่มิ่งกันแน่!’

‘ตี้เทียนมีความคิดอะไรอยู่!’

‘ข้าเป็นใครกันแน่ ทุกอย่างในภูเขาทมิฬเป็นของจริงหรือภาพมายา…..’

‘เหตุใด…..ท่านปู่ถึงตั้งชื่อให้ข้าว่าซูหมิง…..’

‘ซู่มิ่ง ซู่มิ่ง…เมื่อกุมชะตาชีวิตตัวเองแล้ว ใครจะเรียกข้าว่าซู่มิ่ง (ชะตาชีวิต) ได้อีก!’ ซูหมิงเงยหน้า สายตาคล้ายสามารถมองทะลุผ่านถ้ำ มองไปยังท้องฟ้านอกผนึก

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงหลับตาลง สองมือทำสัญลักษณ์ วิญญาณแรกในร่างกายเคลื่อนไหว ใช้อภินิหารหลอมหุ่นเชิด ส่วนวัตถุดิบก็คือชายชราเผ่าหมาน

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็หนึ่งเดือน

ในหนึ่งเดือนนี้ หนอนงูเฝ้าระวังอยู่รอบๆ ตลอด คอยคุ้มกันซูหมิงตามคำสั่งกระแสจิต

วันนี้พลังฟ้าดินภายในถ้ำพลันโหมซัดสาดราวกับกลายเป็นน้ำวน ดูดพลังฟ้าดินโดยรอบเข้ามา แม้แต่เทือกเขายังเกิดเสียงดังสนั่นติดต่อกันมากกว่าครึ่งวัน ก่อนจะมีเงาร่างเดินออกมาจากถ้ำสองคน

คนนำหน้าคือซูหมิง เขามีสีหน้าเย็นชา สวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว ด้านหลังเป็นชายชราเผ่าหมานที่แววตาเหม่อลอย ทั้งตัวเป็นสีดำทึบ มีกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงแผ่กระจาย เดินตามซูหมิงไปทีละก้าว

ซูหมิงหยุดลงนอกถ้ำ หันไปมองชายชราเผ่าหมานแวบหนึ่ง นัยน์ตาขยับไหวเล็กน้อย ก่อยยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์ชี้ไป ดวงตาชายชราพลันเกิดแสงอ่อน เขาเดินหน้าหนึ่งก้าวยาวแล้วต่อยหมัดขึ้นฟ้า

หนึ่งหมัดนี้ทำให้ท้องฟ้าเกิดเสียงดังสนั่นและระลอกคลื่นวงใหญ่ ทั้งยังมีหมอกดำลอยขึ้นจากหมัดเขา ปกคลุมในระยะเจ็ดแปดจั้ง หนอนงูที่อยู่ไม่ไกลพลันเงยหน้าขึ้นจ้องหมอกดำ แววตาดูฉงน

ชายชราเผ่าหมานยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ

ซูหมิงจ้องชายชรา ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ

‘แม้คนผู้นี้เป็นเพียงขั้นวิญญาณหมานตอนต้น ทว่าไม่รู้ว่าฝึกฝนวิชาอะไร ร่างกายแข็งแกร่งไม่ว่า จิตวิญญาณยังแบ่งเป็นส่วนๆ ซ่อนอยู่ในร่างกาย ด้วยวิชาหลอมหุ่นเชิดของเผ่าเซียน หลอมได้เพียงวิญญาณสองกับวิญญาณสี่ ส่วนวิญญาณหนึ่งกับวิญญาณสามยังซ่อนอยู่ มิเช่นนั้นแล้วก็จะควบคุมให้เขาใช้อภินิหารขั้นวิญญาณหมานได้ ไม่ต้องใช้ได้เพียงพละกำลังร่างกายเช่นนี้

ทว่าแบบนี้ก็ถือว่าดีแล้ว สำหรับวิชาแปลงศพหมื่นพิษของหงหลัว การหลอมศพหนึ่งคนไม่ต้องใช้พลังวิเศษอะไร ขอแค่มีร่างกายแข็งแรงก็พอ เพราะร่างพิษร้ายแรงนี้คือพลังวิเศษที่ดีที่สุดแล้ว แม้ตอนนี้หลอมเพียงครึ่งเดียว ในตัวเขาก็มีพิษของหนอนงูอยู่เล็กน้อย พิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก สามารถใช้ได้ชั่วคราว ภายภาคหน้าหากเจอพิษอีกก็ให้ศพพิษนี้ดูดมา แล้วค่อยๆ หลอมจนกลายเป็นศพพิษอย่างแท้จริง!’

‘เพียงแค่ศพพิษตัวเดียว เกรงว่าคงไม่อาจทำลายก้อนน้ำแข็งนั้นได้ ยังต้องการมากกว่านี้อีกเล็กน้อย’ ซูหมิงขบคิดครู่หนึ่ง หลังจากส่งกระแสจิตไปยังศพพิษแล้วก็ไม่สนใจอีก หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำและปิดด่านฝึกฝนอีกครั้ง

ศพพิษตกลงมาสู่พื้น ทั้งตัวเป็นสีดำทึบ แววตาเหม่อลอยอีกครั้ง ยืนนิ่งอยู่นอกถ้ำ

หนอนงูบนท้องฟ้าบินเข้ามาด้วยความสงสัย มันเกาะอยู่บนศีรษะศพพิษ แลบลิ้นทำเสียงฟ่อๆ ดูท่าทางสุขสบายมาก

เวลาผ่านไปอีกครั้ง ซูหมิงอยู่ในถ้ำของตน

ช่วงเวลานี้เขาลองหลอมศพของจีอวิ๋นไห่อย่างต่อเนื่อง ทว่าทุกครั้งที่ปล่อยจิตสัมผัสเข้าไปในศพจะไม่อาจกักเก็บเอาไว้ได้ และหาจุดรวมตราประทับไม่พบ

ในร่างจีอวิ๋นไห่ว่างเปล่า กระทั่งไม่มีอวัยวะภายใน ทั้งตัวเหมือนกับเปลือก ทำให้ซูหมิงสงสัยนักว่าจีฮูหยินควบคุมหุ่นเชิดตัวนี้อย่างไร

หลังลองมาแล้วหลายวิธี สุดท้ายซูหมิงก็หมดหนทาง เขามองศพของจีอวิ๋นไห่พลางขมวดคิ้วขบคิดอยู่พักใหญ่ ทว่าก็ได้แต่ส่ายศีรษะถอนหายใจ

‘เชมันผู้ดูดวิญญาณลึกลับยิ่งนัก อีกทั้งหุ่นเชิดตัวนี้ของจีฮูหยินต่างจากหุ่นเชิดของเด็กชายผู้ดูดวิญญาณที่ข้าเคยพบ นางควบคุมมันได้อย่างไรกันแน่? เห็นอยู่ว่ามันเป็นเปลือกชัดๆ!’ ซูหมิงขมวดคิ้ว พลันมีสีหน้าจริงจัง มองไปทางศพของจีอวิ๋นไห่ ก่อนที่นัยน์ตาจะค่อยๆ เปล่งประกาย

‘เปลือก…เปลือก…’ นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว ขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็หลับตาลง สองมือทำสัญลักษณ์แล้วกดหลายจุดบนตัว กลิ่นอายพลังทั้งตัวพลันเปลี่ยนไป คนเล็กวิญญาณแรกในร่างกายลืมตาขึ้น ประกายในแววตามันก็คือของซูหมิง

คนเล็กวิญญาณแรกเคลื่อนตัว มุดออกมาจากกลางกระหม่อมของซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิแล้วลอยอยู่เหนือศีรษะเขา ร่างมันเลือนรางเล็กน้อย ราวกับเพียงลมพัดก็จะปลิวหายไป ทั้งยังตัวสั่น แววตาดูเลื่อนลอยและประหลาดใจ

“วิญญาณแรกคือจิตวิญญาณของขั้นพลัง ร่างกายเป็นเพียงเปลือกนอก วิญญาณแรกต่างหากคือแก่นแท้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว หากวิญญาณแรกหรือแก่นวิญญาณถูกดูดไป เช่นนั้นก็เท่ากับตาย กลับกัน ร่างกายเป็นเพียงรองเท่านั้น…” คนเล็กวิญญาณแรกกล่าวคำพูดของซูหมิง มันเคลื่อนตัวไปยังศพจีอวิ๋นไห่แล้วหายตัวไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง จีอวิ๋นไห่ลืมตาขึ้น ดวงตาเป็นสีเทา ทว่าตรงส่วนลึกของสีเทากลับขยับประกายแสงอ่อน จีอวิ๋นไห่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้าตรวจสอบร่างกาย ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็ยิ้มมุมปาก

“ไม่เลว ที่แท้หุ่นเชิดใช้งานแบบนี้ ดูท่าไม่น่าจะต่างกับวิธีของจีฮูหยิน…” ขณะเดียวกัน ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ลืมตาขึ้น เมื่อประสานสายตากับจีอวิ๋นไห่แล้วก็เผยรอยยิ้มพร้อมกัน มีสีหน้าประหลาดยิ่งขึ้น

ซูหมิงมองจีอวิ๋นไห่ เขามีความรู้สึกเหมือนว่าตนถูกแบ่งเป็นสองความรู้สึก อันแรกเป็นขั้นพลังเซียนรวมอยู่ในตัวจีอวิ๋นไห่ อีกอันหนึ่งเป็นตัวเขาจริงๆ ที่กำลังมองจีอวิ๋นไห่ซึ่งถูกตนควบคุมอยู่

เมื่อซูหมิงยิ้ม จีอวิ๋นไห่ที่ถูกวิญญาณแรกควบคุมก็ยิ้มเช่นกัน พอเขาขยับตัวพลันมีเสียงอื้ออึงดังมาจากอีกห้องหินหนึ่ง พบว่าแมลงปีกแข็งสีดำกลุ่มใหญ่ตื่นขึ้นและพากันตรงเข้ามา ซูหมิงหรี่ม่านตาทว่าไม่ขยับ ต่อให้เป็นจีอวิ๋นไห่ก็ยังไม่ขยับ ปล่อยให้แมลงปีกแข็งเข้ามา หลังจากปกคลุมทั้งตัวแล้ว จีอวิ๋นไห่ก็กลายเป็นอีกคน หากไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่ออกเลยว่าเลือดเนื้อในร่างกายคือแมลงปีกแข็งสีดำพวกนั้น

‘เช่นนี้แล้ว นี่ก็นับว่าเป็นร่างแยกของข้า’ ซูหมิงตื่นตะลึง เขาเคยเห็นร่างแยกของตี้เทียน ตอนนี้ตนก็มีร่างแยกพิลึกร่างหนึ่งเหมือนกัน ทำให้ซูหมิงเข้าใจพลังของเผ่าเซียนมากขึ้นอีกนิด

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เพียงความคิดเคลื่อนไหว ใบหน้าดำมืดของร่างแยกก็เผยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากถ้ำไป

ระหว่างเห็นร่างแยกเดินจากไป ซูหมิงก็ยกมือขวาขึ้น ขณะพลิกฝ่ามือ ในมือเขาปรากฏผลึกขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งก้อน มันคือผลึกแห่งหมานวายุ ซูหมิงจ้องสิ่งนี้ด้วยสีหน้าประหลาด เขาคิดหาทุกวิถีทางแล้วก็ยังไม่อาจผสานรวมกับมันได้

แต่จากการต่อสู้กับจีฮูหยินตอนนั้น อภินิหารของนางได้จุดประกายความคิดเขาระหว่างประมือกัน

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเขาเสียการควบคุมไป จนกระทั่งกลับมาถึงถ้ำจึงสงบใจลงและตรึกตรองว่าประกายความคิดในตอนนั้นใช้ได้หรือไม่

‘ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งเทพหมานหรือระฆังเขาหาน ต่อให้เป็นขั้นพลังเผ่าเซียนของข้า สำหรับข้าแล้วก็ล้วนเป็นพลังภายนอก จะพึ่งพามากไม่ได้ มีเพียงขั้นพลังเผ่าหมานถึงจะเป็นแก่นแท้ของความแข็งแกร่ง!’ ซูหมิงจ้องผลึกหมานวายุ นัยน์ตาเป็นประกายประหลาด

‘วิธีนี้อาจจะสำเร็จจริงๆ!’ ซูหมิงกัดฟัน

ยามนี้ร่างแยกเขาเดินออกจากถ้ำภายใต้การควบคุมของวิญญาณแรก ทันใดนั้น หนอนงูบนศีรษะศพพิษพลันมองร่างแยกซูหมิงด้วยความสงสัย

ร่างแยกซูหมิงยิ้มน้อยๆ สะบัดมือขวาไปบนพื้น ศพจ้าวเผ่ากระเรียนดำลอยเข้ามาทันใด แล้วถูกเขาจับม้วนลอยขึ้นฟ้ากลายเป็นสายรุ้งยาวไกลออกไป ตอนที่เข้ามาใกล้ผนึกที่หงหลัววางคุ้มกันเทือกเขาเอาไว้ ร่างแยกซูหมิงเดินเข้าไปในระลอกคลื่นแล้วหายวับไป

ร่างแยกซูหมิงมาปรากฏตัวอีกครั้งกลางอากาศ ช่วงที่เขาก้มหน้ามอง เทือกเขาด้านล่างหายไปแล้ว กลายเป็นเพียงพื้นที่กว้างใหญ่ ห่างไปไม่ไกลยังมีวานรเพลิงตัวหนึ่งกำลังนั่งยอง มองร่างแยกซูหมิงตาค้าง

เมื่อเห็นวานรเพลิง ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง สีหน้ามีความสุขนัก เขาชี้มือขวาไปทางวานรเพลิง จากนั้นพลันเกิดระลอกคลื่นตรงหน้ามัน กลายเป็นปากทางเข้าเทือกเขา

วานรเพลิงอึ้งงัน รีบมุดเข้าไปในทันที ก่อนหายวับไปในปากทางเข้า

รอยยิ้มมุมปากของร่างแยกซูหมิงค่อยๆ หายไป แทนที่ด้วยความเย็นชา สายตามองไปทางเผ่ากระเรียนดำ แล้วพุ่งทะยานไป!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version