ตอนที่ 466 หนึ่งประโยค
โลกเก้าหยิน ภายในตัวของจู๋จิ่วอิน รอบตัวซูหมิงมีสายฟ้าไหลเวียน
กระดูกหมานเจ็ดชิ้นปะทุพลังออกมาทั้งหมด ทำให้ความเร็วเขาเพิ่มมากขึ้นไม่ว่า ทั้งยังทำให้ขั้นพลังเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยด้วย ตอนนี้หลังจากทะยานเข้าไปหลายร้อยจั้งแล้ว เขาก็ดื่มไขกระดูกทะเลหยดที่สี่ เดิมทีเขามีมันไม่เยอะ ทว่าตอนหาซื้อสมุนไพรก็พบว่ามีขายสิ่งนี้อยู่ เพียงแต่มีไม่มาก เขาจึงซื้อมาด้วยผลึกเชมันเล็กน้อย
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงบุกทะลวงต่อไปอีกเจ็ดร้อยกว่าจั้งโดยไม่มีหยุด ด้านหลังเป็นพายุฝนกลิ่นคาวเลือด จุดที่เขาผ่านล้วนเป็นซากโครงกระดูก
ทว่าขณะเดียวกัน เขาก็ต้องจ่ายไปในราคาสูงลิ่ว ไม่ว่าจะเป็นการกระอักโลหิต เกราะแม่ทัพเทพแตกหัก ระฆังเขาหานกลับเข้ามาอยู่ในตัว และยังมีพลังโลหิตไหลปั่นป่วนทั้งร่าง สิ่งเหล่านี้ทำให้ซูหมิงหน้าซีดขาว แต่เขากลับไม่หยุด
เมื่อใช้พลังจากไขกระดูกทะเลหมดแล้ว วิญญาณแรกของเขาก็ส่งเสียงร้องแหลม
ขณะร้องคำราม วิญญาณแรกของซูหมิงพลันขยับแสงวูบวาบทั้งตัว หลังห่อหุ้มตัวซูหมิงเอาไว้แล้วก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า พาร่างของเขาหายวับไป
วิญญาณแรกใช้การเคลื่อนย้ายพาร่างจริงไปปรากฏตัวห่างไปเกือบร้อยจั้ง หลังจากนั้นก็ร้องคำรามและทำการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
มันทำติดต่อกันเจ็ดครั้ง จนเมื่อซูหมิงมาปรากฏตัวห่างออกไปเจ็ดร้อยกว่าจั้ง ในที่สุดตรงหน้าเขาก็ไม่มีสัตว์ร้ายกำเนิดขึ้นอีก ทว่าด้านหลังยังคงเป็นสัตว์ร้ายจำนวนมหาศาลกำลังไล่ตามมา
ซูหมิงหอบหายใจ วิญญาณแรกแห้งเหี่ยวลงไปไม่น้อยและกลับมาอยู่ในจุดตันเถียน ซูหมิงจึงกัดฟันห้อเหยียดต่อไป
ร่างเงาเขาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ดุจเส้นโค้งในศพจู๋จิ่วอิน ครู่ต่อมาด้านหลังก็มีแค่เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังแว่วมาไกลๆ เห็นได้ชัดว่าถูกทิ้งระยะห่างไปไกลมากแล้ว
แต่ซูหมิงยังไม่วางใจ เพราะความรู้สึกถูกฉุดดึงด้านหลังยังไม่หายไป ทว่ากลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงพึมพำข้างหูทำให้ซูหมิงอยากจะหันกลับไปมองหลายครั้ง
ทว่าเขาจำคำพูดของชายร่างกำยำวิญญาณหยินได้ ห้ามหันไปมองตาจู๋จิ่วอินเป็นอันขาด!
ซูหมิงไม่หันกลับไปและห้อเหยียดตลอดทาง กระทั่งระหว่างทางเขายังดื่มไขกระดูกทะเลเข้าไปอีกหนึ่งหยด ทำให้ขั้นพลังฟื้นฟูกลับมาในชั่วพริบตา อีกทั้งความเร็วยังเพิ่มมากขึ้นจนไม่อาจบรรยาย
เมื่อเข้าไปในส่วนลึกของศพจู๋จิ่วอินไม่หยุด และรู้สึกว่าใกล้จะถึงส่วนหัวของมันแล้ว ความร้อนโดยรอบก็บรรลุถึงขีดสุด แม้แต่หายใจยังทำให้ในร่างกายแสบร้อน
กระทั่งผนังเนื้อโดยรอบยังเป็นสีแดงฉาน ทั้งยังมีของเหลวจำนวนมากไหลมาตามผนังเนื้อรอบๆ เมื่อไหลลงถึงพื้นจะเกิดเป็นเสียงดังซ่าๆ
ของเหลวเหล่านี้เป็นกรดกัดกร่อนอย่างรุนแรง ความรู้สึกร้อนอบอ้าวจนหายใจไม่สะดวกทำให้ซูหมิงหายใจกระชั้น ในใจเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย
เม็ดเหงื่อจำนวนมากไหลออกมาจากตัวซูหมิง เพียงแต่มันจะระเหยกลายเป็นไอขาวในทันใด ขณะเขาพุ่งทะยานจึงดูเหมือนถูกหมอกขาวโอบล้อม
หากเป็นคนอื่นๆ บางทีอาจทนไม่ไหว นี่ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง แต่เกี่ยวกับการทนต่อความร้อน ทว่าเมื่อซูหมิงอยู่ที่นี่ เขายังคงรักษาความเร็วไว้ในระดับสูงตลอด แม้ความร้อนเหล่านี้จะสร้างความลำบากให้มากก็จริง ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบเจอเรื่องแบบนี้
นานมาแล้วตอนเขายังเป็นเด็กหนุ่ม เขาสร้างถ้ำของตัวเอง ที่นั่นมีความร้อนแบบนี้อยู่ อีกทั้งยังเคยเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ ได้เห็นค้างคาวจันทราและหินหนืดไหลย้อย
นอกจากนี้แล้วเขายังเคยฝึกวิชาหมานเพลิง กระทั่งตอนนี้ก็ยังฝึกอยู่
วิชาหมานเพลิงคารวะจันทรานี้ช่วยให้ซูหมิงควบคุมไฟได้ดีกว่าคนอื่นๆ มาก
ฉะนั้นเขาจึงวิ่งผ่านจุดที่มีความร้อนในตัวจู๋จิ่วอินไปได้ปานลมกรด โดยที่ความเร็วไม่ลดน้อยลงเลย
เวลาค่อยๆ ผ่านไป และก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในความรู้สึกของซูหมิง การเชื่อมต่อกับหนอนงูยังคงอยู่ เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังบินอยู่ไกลมากๆ
เขาร้องเรียกหลายครั้ง หนอนงูกลับไม่สนใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้จากการเชื่อมต่อว่าในตัวมันมีพลังแปลกปลอมกำลังควบคุมจิตใจมันอยู่
ด้วยความรู้สึกนี้ ซูหมิงจึงยังคงตามต่อไปแบบไม่ลดละ จนกระทั่งมาถึงจุดที่แม้แต่เขายังทนไม่ค่อยไหว นั่นคือพื้นที่หนึ่งพันจั้งที่มีความร้อนมากพอจะแผดเผาได้ทุกสิ่ง!
ตอนที่เหยียบเข้าไปในขอบเขตหนึ่งพันจั้งนี้ ซูหมิงรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว มันเป็นความเจ็บแบบแสบร้อน เขาเห็นว่าในขอบเขตพันจั้งนี้มีแสงสีเขียวเปล่งมาจากข้างใน บนพื้นดูคล้ายกับบึงน้ำสีเขียว ตรงนั้นเป็นพื้นที่กว้างโล่ง โดยรอบไม่มีโครงกระดูกใดๆ
ความร้อนมหาศาลแผ่มาจากในบึงน้ำสีเขียวนี้เอง
ซูหมิงเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เกิดความรู้สึกรุนแรงว่าจะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าธุลี หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่างและเดินต่อไปอย่างนี้ละก็ เขาเชื่อว่าไม่ถึงสามก้าวขาทั้งสองข้างจะต้องเผาไหม้ ถึงตอนนั้นสิ่งที่รออยู่คือความตายเท่านั้น
ทว่าเขาไม่มีเวลามาขบคิดมากนัก อีกทั้งความรู้สึกจากแรงดูดข้างหลังและเสียงพึมพำยังเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อาจหยุดคิดเพื่อหาทางที่สมบูรณ์แบบได้เลย
ช่วงที่ภยันตรายกำลังจะมาถึง ซูหมิงพลันยกมือขวาขึ้นกัดปลายนิ้ว ก่อนนำไปป้ายดวงตาทั้งสองข้าง
ทันใดนั้น วิชาหมานเพลิงโคจรในตัวซูหมิง ยามนี้ไม่เห็นแสงจันทร์ แต่ทันทีที่ป้ายไปนั้น โลหิตกลับประดุจลุกแผดเผา ทำให้ซูหมิง…ทำเพลิงโลหิตแผดเผาได้!
ขณะนั้นความร้อนจากโดยรอบในความรู้สึกเขาพลันลดน้อยลง
ซูหมิงพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลจนกลายเป็นสายรุ้งยาว หนึ่งร้อยจั้ง สองร้อยจั้ง สามร้อยจั้ง…จนกระทั่งบินมาหกร้อยจั้ง เขาพลันรู้สึกเจ็บขาทั้งสองข้างอย่างรุนแรง ก่อนจะมีไฟลุกขึ้นมาทันใด จากนั้นเปลวเพลิงก็ปกคลุมทั่วตัวเขา จนถึงตอนนี้ซูหมิงบินมาแปดร้อยจั้งแล้ว
วินาทีที่เปลวเพลิงปกคลุมตัวซูหมิงและลุกลามไปจนถึงศีรษะ เขาก็บินมาเก้าร้อยจั้ง จากนั้นจึงยกมือขวาที่มีไฟท่วมทำเพลิงโลหิตแผดเผาซ้ำอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงคำรามแหบแห้ง เงาร่างซูหมิงกระโดดข้ามขอบเขตหนึ่งพันจั้งมาปรากฏตัวอยู่ตรงปลายอีกด้านหนึ่งของบึงน้ำสีเขียวในตัวจู๋จิ่วอิน
ซูหมิงทะยานต่อไปอีกหลายก้าวตามแรงเฉื่อย เสียงกึกๆ พลันดังแว่วมาจากขาทั้งสองข้าง ก่อนพบว่ามีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงลมหายใจเดียว ซูหมิงพลันกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง!
รูปปั้นน้ำแข็งนี้ยังคงอยู่ในท่าก้าวเท้า ยามนี้ยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
เส้นทางในศพจู๋จิ่วอินตรงหน้า หลังจากเจอความร้อนก็เริ่มเข้าสู่ช่วงหนาวเหน็บ อีกทั้งซูหมิงในตอนนี้ เจอกับความหนาวสุดขีด ตัวเขาจึงกลายเป็นน้ำแข็ง
สามลมหายใจต่อมา นัยน์ตาซูหมิงที่ลืมอยู่ในรูปปั้นน้ำแข็งพลันเป็นประกายแสงเพลิง ขณะเดียวกัน ตรงกระดูกสันหลังมีสายฟ้าไหลเวียนไปตามชั้นน้ำแข็ง ต่อมาก็มีพายุหมุนกระจายมาจากในตัวเขา ทำให้รูปปั้นน้ำแข็งเกิดเสียงกึกๆ ก่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ซูหมิงก้าวเดินออกมา ไอหนาวแล่นเข้าสู่ในร่างกายแล้วปะทะกับความร้อนก่อนหน้านี้ทันใด ทุกครั้งที่หายใจจะเจ็บปวดภายใน
เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเจ็ดปวดนี้แล้ว แรงดึงดูดและเสียงพึมพำกังวานข้างหูจากด้านหลังต่างหากที่ซูหมิงใส่ใจมากที่สุด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องกับดักขวางทาง แต่หากข้ามเรื่องความยากลำบากในการวางกับดักหรือวงแหวนอาคมไปก่อน ควรรู้ว่าสัตว์ร้ายเหล่านี้เกิดอยู่ในศพตนนี้ พวกมันไปๆ มาๆ โดยไร้ร่องรอย ก่อนหน้านี้ซูหมิงยังถึงขั้นเห็นว่าสัตว์หมอกเคลื่อนไหวในเลือดเนื้อจู๋จิ่วอิน และยังมีมารกระดูกนั่น พวกมันเป็นหนามกระดูกเคลื่อนไหวลึกอยู่ใต้เนื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยากจะขวางได้
นัยน์ตาซูหมิงขยับวูบไหวและเดินหน้าต่อ เขาใช้ความเร็วสูงสุดอีกครั้ง พุ่งทะยานรับลมหนาว เขาไม่รู้ว่าตนมาไกลเท่าไรแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าตรงส่วนนี้คือส่วนใดของจู๋จิ่วอิน
เขาเพียงไปตามทางของหนอนงูจากการตอบสนองในความรู้สึก!
ขณะห้อเหยียดไป ซูหมิงพลันหยุดฝีเท้า สิ่งที่ทำให้เขาหยุดกลางคันในตอนนั้นได้ คือร่างแข็งทื่อตรงผนังเนื้อที่แผ่ไอหนาวทางด้านขวา
มันเป็นซากโครงกระดูกแห้งเหี่ยว เห็นใบหน้าไม่ชัด แต่บนตัวเขามีเกราะสีม่วง เกราะนี้เปล่งแสงสีม่วง ขยับวิบวับ ดูเด่นตาอย่างยิ่ง
โดยรอบผนังเนื้อมีรอยแผลลึกอยู่หลายจุด จากรอยแผลเหล่านั้นจึงรู้ได้เลยว่าก่อนบุคคลนี้จะตายได้สร้างรอยแผลเหล่านี้ให้กับจู๋จิ่วอิน
ในนั้นมีรอยแผลหนึ่งราวกับถูกฉีกออก ดูแล้วน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
หากเพียงเท่านี้ซูหมิงคงไม่หยุดชะงัก สิ่งที่ทำให้เขาหยุดจริงๆ คือลักษณะและกลิ่นอายพลังของเกราะ มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแรงกล้าในพริบตา
ความรู้สึกคุ้นเคยไม่ใช่เพราะเขาเคยเจอคนผู้นี้มาก่อน แต่เพราะเกราะนี้กับเกราะเผ่าหมานของเขาแทบจะเหมือนกัน ต่างกันก็เพียงสีเท่านั้น!
เกราะของซูหมิงเป็นมายา เกราะหมานแท้จริงต้องไปรับที่ราชวงศ์ต้าอวี๋ แต่ราชวงศ์ต้าอวี๋มีจริงหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ ทว่าตอนนี้เกราะในสายตาของซูหมิง….มันเป็นเกราะที่แท้จริง!
ตอนที่เห็นเกราะนี้ ซูหมิงใจสั่นไหว นี่คือสิ่งแรกที่สะเทือนจิตใจเขาหลังจากเข้ามาในร่างของจู๋จิ่วอิน
ทันใดนั้น แรงฉุดดึงกับเสียงพึมพำชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามก็ดังใกล้เข้ามา กระทั่งผนังเนื้อโดยรอบรวมถึงผนังข้างหน้ายังมีสิ่งมีชีวิตนูนออกมามากมาย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ร้ายพวกนั้นตามมาแล้ว!
ซูหมิงเดินหน้าอย่างไม่ลังเล หลังจากมาถึงโครงกระดูกก็คว้าเกราะสีม่วงเอาไว้ เพียงแต่ช่วงที่จับเกราะ โครงกระดูกที่ว่าตายไปแล้วพลันยกมือขวาขึ้นจับข้อมือเขา!
ขณะเดียวกัน ภายในดวงตาบนศีรษะแห้งเหี่ยวมีแสงอ่อนขยับวูบวาบ
“ข้าหา…..รุ่นสามเจอแล้ว…”
ทันใดนั้น การเชื่อมต่อกับหนอนงูในใจซูหมิงพลันถูกตัดขาดอย่างเหนือความคาดหมาย
เวลานั้น ภายในหมอกนอกศพจู๋จิ่วอิน คนสวมเสื้อคลุมดำที่ติดตามมาตลอดทาง ยามนี้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมหนึ่ง นัยน์ตาเขาขยับประกายราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง ทว่าครู่ต่อมาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วพลิกมือ ในมือเขาปรากฏแผ่นหยกสีเขียว
“นี่คือยันต์โชคชะตาชิ้นสุดท้ายที่นายท่านสร้างขึ้นเองกับมือและให้ไว้กับข้า…” ชายชรากัดฟันแล้วกดแผ่นหยกสีเขียวไว้ตรงระหว่างคิ้ว
แทบจะทันใดนั้น เขาพลันตัวสั่นอย่างรุนแรง ในดวงตามีหมอกโอบล้อม กลางลูกตาค่อยๆ ปรากฏภาพหนึ่งขึ้น คนในภาพนั้นคือซูหมิงที่อยู่ในร่างของจู๋จิ่วอิน!