Skip to content

สู่วิถีอสุรา 501

ตอนที่ 501 หญิงแห่งโชคชะตาของท่านเพียงคนเดียว

นางเป็นวิญญาณอ่อนแอ และเป็นวิญญาณที่สูญเสียสติปัญญา ล่องลอยอย่างสับสนอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปี….

นางล่องลอยไปอย่างไร้เป้าหมาย ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ใด

ร่างนางมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้จิตสัมผัสเท่านั้นถึงจะมองเห็นใบหน้างดงามและแววตาสับสนชัดเจน…

นางสวมอาภรณ์สีขาวในหมู่วิญญาณ กำลังลอยล่อง ข้างกายมีวิญญาณเหมือนกับนางจำนวนมาก ต่างฝ่ายต่างเหมือนไม่เห็นกัน เพียงลอยไปเป็นกลุ่มเท่านั้น

เดิมทีนางไม่มีความทรงจำ ลืมว่าเหตุใดตนถึงตาย ลืมว่าเหตุใดตนถึงกลายเป็นเช่นนี้ นางจำได้รางๆ เพียงว่าตนกำลังหาอะไรบางอย่าง…..

ทว่าหาอะไรนั้น นางนึกไม่ออก

ลอยไปลอยมาพลางตามหาไปด้วย กำลังหาทางกลับบ้านหรือไม่ กำลังตามความอบอุ่นในชีวิตงั้นหรือ หรือว่ากำลังตามหาสำนักของตน

….นางก็คือหญิงแห่งโชคชะตา

ด้วยฐานะของนาง เดิมทีควรจะออกไประหว่างเหตุร้ายเมื่อสิบห้าปีก่อนแล้ว ด้วยฐานะของนางที่เป็นคนจากเผ่าเซียน ที่นี่ไม่ใช่ของนาง นางควรจะตามคนในสำนักออกจากโลกเก้าหยินไป…

แต่นางยังปรากฏในจิตสัมผัสของซูหมิงในสภาพวิญญาณล่องลอย

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองนางท่ามกลางวิญญาณสิบกว่าตัวตรงหน้าที่ไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้จิตสัมผัสถึงจะมองชัด เขามองใบหน้าซีดขาวของนาง ร่างวิญญาณลอยล่อง และยังมีดวงตาสับสน

ในงานพนันสมบัติครั้งใหญ่ ช่วงที่เทียนหลันเมิ่งก้มหน้า สตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าทะเลใบไม้ร่วงหลบสายตา และไม่มีใครพูดแทนซูหมิง มีคนเดียวที่เป็นห่วงเขา

สตรีคนนี้ ซูหมิงรู้จักไม่มากจริงๆ

เขาเคยเห็นนางบนสนามรบเผ่าหมานและเชมัน ได้ยินนางกล่าวว่าซู่มิ่ง…

หลังจากนั้นก็เป็นในความทรงจำของหงหลัว ได้สัมผัสกับสตรีคนนี้อีกเล็กน้อย จากนั้นก็ว่างเปล่า จนกระทั่งมาเจอกันในโลกเก้าหยิน

กระทั่งนามของนาง ซูหมิงยังจำไม่ได้

รู้เพียงมีคนเรียกนางว่า…หญิงแห่งโชคชะตา

เป็นนามเรียกที่แปลกมาก ชะตานี้คือชะตาไหน ใช่ชะตาที่ความหมายเดียวกับซู่มิ่งหรือไม่? ซูหมิงมองนางแล้วเงียบไป

ตรงหน้าซูหมิง วิญญาณลอยล่องเหล่านั้นบินผ่านข้างกายเขา พวกเขามองไม่เห็นซูหมิง จนกระทั่งมีวิญญาณผ่านไปเจ็ดแปดตัว สตรีชุดขาวนางนั้นก็เข้ามาใกล้

นางเข้ามาใกล้ซูหมิงทีละน้อยพร้อมกับดวงตาสับสน ช่วงที่ลอยผ่านไป ร่างเงาของนางพลันหยุดชะงัก

นางเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงหันหน้าไปมองซูหมิง เพียงแต่สิ่งที่นางเห็นคือความว่างเปล่า…ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก เหมือนกับว่า….ที่นี่ก็คือจุดที่นางตามหามาตลอด

นางค่อยๆ ยกมืองามคล้ายจะสัมผัสความอบอุ่นนั้น ซูหมิงมองนาง ปล่อยให้มือนางวางบนตัว ลูบคลำใบหน้าของตน

เย็นมาก นี่คือความรู้สึกแรกของซูหมิง

เขาเห็นว่าวิญญาณสตรีคนนี้เดิมทีไม่มีอารมณ์ แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นงดงามยิ่งนัก แฝงไว้ด้วยความบริสุทธิ์และอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก

นางลูบคลำใบหน้าของซูหมิง ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ ค่อยๆ คลอเคลียอยู่ในอ้อมอกของซูหมิง จากนั้นหลับตาลง เผยใบหน้าพึงพอใจ ประหนึ่งว่านางตามหามานานมาก สุดท้ายก็ตามหาที่พักพิงพบ

นางคือหญิงแห่งโชคชะตา โชคชะตาของซู่มิ่ง…

สิบห้าปีก่อน เดิมทีนางจากไปได้ทว่าไม่ไป นางเลือกอยู่ที่นี่ โลกภายนอกไม่มีซู่มิ่ง เช่นนั้นนางก็จะไม่ใช่หญิงแห่งโชคชะตาอีก มีแค่ที่นี่ที่มีซู่มิ่ง นางถึงจะเป็นหญิงแห่งโชคชะตาของซู่มิ่งได้…

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นางเป็นเด็กหญิงนิสัยอ่อนแอมาจนถึงตอนนี้ แต่กลับเปลี่ยนไปเพราะชื่อเดียว แม้จะเป็นหนึ่งในหญิงแห่งโชคชะตาจำนวนมาก นางก็มาจากเผ่าเซียน และเป้าหมายอย่างเดียวคือได้เห็นซู่มิ่งกับตาตัวเอง…

ฉะนั้นนางจึงไม่จากไป หลังจากตามหามาหลายปี ในคืนฝนตกคืนหนึ่ง นางกลายเป็นวิญญาณล่องลอย แม้จะเป็นอย่างนั้น แม้จะลืมทุกอย่างและเสียสิ้นสติปัญญา นางก็ยังคงตามหาต่อไปเรื่อยๆ

ซูหมิงมองวิญญาณสตรีตรงหน้า ขณะเงียบงันเขารู้สึกถึงความอาลัยอาวรณ์ของนาง เขายืนอยู่ตรงนั้น ทั้งกลางวันและกลางคืน…

ในความคิดลอยขึ้นเป็นความทรงจำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน…

ยามนั้นเป็นค่ำคืนมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด หนาวเหน็บยิ่งนัก ความโดดเดี่ยวและเงียบเหงากลายเป็นนิรันดร์ นี่คือหลังจากที่เขาสูญเสียเสียงของน้องสาวมาไม่รู้กี่ปี

เขายังคงนอนอยู่ตรงนั้น สัมผัสได้ถึงทุกอย่างของโลกภายนอก ทว่ากลับชาและลืมเลือน

จนกระทั่งเสียงเยาว์วัยเจือแววเป็นห่วงนั้นดังเบาๆ ข้างหูเขา

“สวัสดีพี่ใหญ่…..ข้า…ข้าแซ่ไป๋ ไป๋จากไป๋เซ่อ (สีขาว) ขะ…ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์…มาจากสำนักซ่อนมังกร…”

“พี่ใหญ่ ท่านคือซู่มิ่งหรือ…ซู่มิ่งหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดพวกเขาถึงเรียกท่านว่าซู่มิ่ง?”

“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงบ้าน ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ท่านคิดถึงบ้านหรือไม่ บ้านของท่านอยู่ที่ใด…ข้าพูดกับท่านอยู่นะ บ้านข้าสวยมาก ข้ายังมีน้องชายคนหนึ่งด้วย แต่ไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว…”

“พี่ใหญ่ ปู่โม่บอกว่าข้าเป็นหญิงแห่งโชคชะตาเหมือนกับคนอื่นๆ ได้แล้ว ทว่าข้าไม่อยากเหมือนพวกนาง จากนี้ไปข้าอยากเป็นหญิงแห่งโชคชะตาของท่านเพียงคนเดียว…ไม่ว่าจากนี้ท่านจะไปที่ใด ข้าจะตามไปอยู่ข้างๆ ท่าน…”

“พี่ใหญ่ ข้าอยาก…เห็นท่านลืมตาตื่น หากข้าไปหาท่าน ท่านจะจำข้าได้หรือไม่…”

ค่ำคืนมืดในความทรงจำค่อยๆ สลายไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าซูหมิงคือท้องฟ้าปั่นป่วนของโลกเก้าหยินตอนนี้ แผ่นดินสั่นสะเทือน และยังมีเสาแสงเชื่อมฟ้าดินหลายต้นซึ่งอยู่ห่างไกลในคืนมืด

ซูหมิงก้มหน้ามองหญิงในอ้อมกอด นางหลับตาปานหลับใหล รอยยิ้มหวานเต็มไปด้วยความสุข

“ไป๋…หลิง…” นัยน์ตาซูหมิงเริ่มเศร้าโศก เขาพลันเข้าใจอะไรบางอย่าง ทว่ายังคงเลือนรางอยู่บ้าง

หลังเงียบอยู่นาน ซูหมิงก็คลายมืออย่างเศร้าโศก แต่วิญญาณสาวกลับจับเอาไว้แน่น แม้จะคว้าอากาศก็ตาม จนกระทั่งซูหมิงเก็บนางเข้าไปในถุงเก็บวัตถุและเดินไปยังซากเมืองเชมันเพื่อหาวิญญาณของอาหู่ เมื่อเก็บอาหู่ไปแล้ว เขาก็เดินหน้าไปยังหุบเขาของเผ่าชะตาชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในค่ำคืนมืดมิด

ในยามเช้าตรู่ ซูหมิงกลับมาถึงหุบเขาของเผ่าชะตาชีวิต เขามองชาวเผ่าหลายร้อยคนเบื้องหน้า พลันแยกไม่ออกว่าคนเหล่านี้เป็นคนเป็นหรือคนตาย…

เขานั่งลง มองท้องฟ้าด้วยความสับสน

ตะวันขึ้นและลง เวลาผ่านไปทีละวัน ซูหมิงยังนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้รับคำตอบ

‘บางทีคำอธิบายทุกอย่างอาจเผยออกมาตอนที่ข้าออกจากที่นี่’ ทันทีที่ค่ำคืนวันที่สามมาถึง ซูหมิงลืมตาขึ้น

‘วิญญาณโลกของที่นี่กำลังจะตื่นขึ้น ในช่วงเวลานี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เช่นนั้นก่อนหน้านั้น ข้ายังมีจุดที่สงสัยอยู่…ภูเขาหมื่นอรุณ…’ นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ ระงับความตื่นตะลึงและสับสนที่เกิดขึ้นในใจเพราะเผ่าวิญญาณหยิน ก่อนยืนขึ้นมองไกลออกไปในฟ้ามืด

ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็กลายเป็นสายรุ้งหายไปในม่านราตรี ใช้จิตสัมผัสรวมไปยังจุดที่อยู่ของเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับห้อเหยียดไปตลอดทาง

ที่นั่นจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของเขาในโลกเก้าหยิน เขาจะตามหาสาเหตุที่มีเพลิงโลหิตแผดเผา ตามหาว่าเหตุใดวิชาหมานเพลิงถึงมาอยู่ที่นี่ ตามหาจุดที่ไม่ถูกต้องในความทรงจำของตน

และยังมีนามของภูเขาหมื่นอรุณอีก เหตุใดเขาถึงคุ้นชื่อนี้ ในใจเขาเหมือนจะหาคำตอบพบแล้ว เหตุที่ไปครั้งนี้ก็เพื่อยืนยัน

ซูหมิงกำลังบินอยู่กลางอากาศ และใช้จิตสัมผัสอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ยังไม่พบกลิ่นอายพลังของจีอวิ๋นไห่ ศพหุ่นเชิดของจีอวิ๋นไห่เหมือนหายไป จึงหาไม่พบสักที

จนกระทั่งยามรุ่งอรุณมาเยือน ตรงหน้าเขาปรากฏเป็นถิ่นอาศัยของเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ ถึงตอนนี้ก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นพลังของจีอวิ๋นไห่

ตรงหน้าซูหมิงเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแยก รอยแยกเหล่านั้นลึกจนไม่อาจคาดเดา มีไอหนาวกระจายออกมาอบอวลอยู่รอบๆ

โดยเฉพาะบนผืนดินไกลออกไป มีอยู่จุดหนึ่ง ที่นั่นเป็นจุดที่ตัดสลับกันของรอยแยกทั้งหมด ไม่มีหลุมลึก ไม่มีร่องหุบเขา แต่มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง!

มันเป็นภูเขาสูงเสียดเมฆ เป็นสีดำทั้งหมด และแผ่ไอหนาวเย็นเยียบ!

ภูเขาลูกนี้ไม่มีอยู่เมื่อสิบห้าปีก่อน ราวกับว่ามันผุดขึ้นมาจากใต้ผืนดิน ตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน!

แทบจะเป็นวินาทีที่ซูหมิงเข้าใกล้ที่นี่ ในค่ำคืนมืดมิด ซูหมิงเห็นว่าในรอยแยกมืดทึบนับไม่ถ้วนบนผืนดินรอบๆ พลันปรากฏดวงตาเย็นชาขึ้นจำนวนมาก

ดวงตาเหล่านั้นส่องสว่างในเงามืด กำลังจ้องซูหมิง ไม่ใช่แค่รอยแยกบนพื้นที่มีดวงตาเช่นนี้ บนยอดเขาสูงลิบ เขาก็ยังเห็นดวงตาแบบนี้อยู่จำนวนมาก กำลังเพ่งมองมายังตนทั้งหมด

สายตาเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ไร้ปรานี และกระหายเลือดเป็นต้น เมื่อผู้คนได้พบเห็นจะต้องจิตใจสั่นไหวแน่นอน

ทว่าซูหมิงไม่เป็นเช่นนั้น เขาเดินหน้าไปอย่างเงียบๆ เป้าหมายมีเพียงสิ่งเดียวคือภูเขาลูกนั้น หรือก็คือภูเขาที่เผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์เรียกว่าหมื่นอรุณ

เมื่อซูหมิงเข้ามาใกล้ เสียงคำรามแหลมพลันดังกังวานฟ้าดิน นี่ไม่ใช่เสียงเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ตัวเดียว แต่เป็นเสียงร้องของพวกมันทั้งหมด

เสียงของพวกมันปานคลื่นเสียง มีพลังสั่นสะเทือนฟ้าดิน วินาทีที่เสียงดังขึ้น ยามรุ่งอรุณบนท้องฟ้าเหมือนจะถอยไป แต่กลับไม่อาจหยุดซูหมิงได้แม้แต่น้อย

อีกทั้งช่วงที่เสียงร้องดังกังวาน ยังมีเสียงกระพือปีกดังสนั่น ดวงตาในเงามืดเหล่านั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน!

ทันทีที่เผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ตรงเข้ามายังซูหมิง ทันใดนั้นก็มีเสียงแก่ชราดังแว่วมาจากปลายยอดเขา

“ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ที่บูชาข้า…ไม่ต้องตกใจ…นี่คือแขกของข้า ข้ารอเขามานานมากแล้ว…”

หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น ชาวเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังตรงเข้ามาต่างพากันหยุดร้องคำรามและกลับเข้าไปในรอยแยกลึก แม้แต่ดวงตาวูบไหวยังค่อยๆ มอดดับไป สุดท้ายผืนดินก็กลับมามืดมิดอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version