Skip to content

สู่วิถีอสุรา 571

Svtasr

ตอนที่ 571 สมบูรณ์!

ขณะร้องคำราม ทั้งตัวซูหมิงมีเส้นเลือดดำปูดโปน สีหน้าเหี้ยมโหด บนตัวเขายังปรากฏเส้นรอยปริแตกขึ้น หากรอยปริแตกนี้เชื่อมหากัน สิ่งที่รอซูหมิงอยู่คงจะเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัส กระทั่งปะทุขั้นพลังไปเรื่อยๆ จนระเบิดกระจุย เมื่อนั้นความเจ็บปวดจึงจะสิ้นสุดลง

มิเช่นนั้นก็ต้องควบคุมพลังนี้ให้มันสงบลง!

ซูหมิงตาแดงก่ำ ยามนี้เขาไม่ปล่อยพลังออกสู่ภายนอกอีก แต่ดึงพลังกลับเข้ามาทั้งหมด แล้วโอนอ่อนผ่อนตามมันปานม้าป่าบังเหียนหลุด

เขาให้ศักยภาพปะทุมาจากในร่างกายสำเร็จแล้ว ตอนนี้พลังมหาศาลมอบความรู้สึกแข็งแกร่งให้กับเขา ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกถึงความบ้าบิ่น

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิหลับตาอย่างไม่ลังเลมากนัก กลิ่นอายพลังในตัวเขายุ่งเหยิงอย่างยิ่ง บ้างก็โหดเหี้ยม บ้างก็อ่อนโยน จิตใจแน่วแน่ที่รวมขึ้นตอนอยู่ในโลกอมตะของจู๋จิ่วอินมีผลสำคัญในตอนนี้ ความแกร่งของจิตใจก็คือความเข้มแข็งและทรหดที่วัฏจักรนับครั้งไม่ถ้วนยังไม่อาจทำลายลงได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ต้องรับความเจ็บปวดและอันตรายเพื่อพลังอันแข็งแกร่ง

เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นอายพลังยุ่งเหยิงในตัวซูหมิงก็ค่อยๆ อ่อนลง อีกไม่นานช่วงที่ในตัวเขาไม่มีความรู้สึกปั่นป่วนยุ่งเหยิงอีก ซูหมิงถึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ แผ่มาจากตัวเขา ใบหน้าขาวซีด รูปร่างสูงยาว ดูแล้วเหมือนคนธรรมดา ไม่พบร่องรอยของกลิ่นอายพลังแม้แต่น้อย มีเพียงดวงตาที่ใสสะอาดยิ่งนัก ตรงส่วนลึกเหมือนแฝงไว้ด้วยฟ้าดิน ตะวัน และจันทรา

เขาในยามนี้ต่อให้นักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์เห็น หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่ออกว่าซูหมิงมีพลัง

เพราะ…ซูหมิงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ทั้งตัวกลายเป็นกระดูกหมานเท่านั้น เขายังบรรลุถึงความสมดุลประหนึ่งผลัดเปลี่ยนชีวิตอีกด้วย หลังจากสมบูรณ์แบบแล้วก็กลบร่องรอยทุกอย่างไป

ผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก ต้นตอของความแกร่งนั้นมาจากกระดูกสันหลังวิวัฒนาการเป็นหมาน โดยเฉพาะนักรบขั้นเซ่นไหว้กระดูกสมบูรณ์ พวกเขาไม่อาจควบคุมระลอกคลื่นพลังในร่างกายได้ จากกระดูกทั้งหมดภายในร่าง ด้วยความพิเศษของกระดูกสันหลังที่วิวัฒนาการเป็นหมาน มันจึงเหมือนมีน้ำหมึกหยดลงตรงกลางน้ำใสสะอาด ดูชัดเจนมากจนคนอื่นมองแวบเดียวก็รู้ถึงความต่าง

ทว่าหากน้ำใสสะอาดนี้เดิมทีเป็นน้ำหมึกอยู่แล้ว เช่นนั้นเวลาคนอื่นมองมาก็ย่อมไม่ต่างอะไรกับน้ำ เพราะว่ามันสมดุลกัน

สภาวะแบบนี้ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ถือกำเนิดเผ่าหมานก็ไม่เคยปรากฏคนอย่างซูหมิงมาก่อน!

เขาลืมตาขึ้น สีดำในลูกตาให้ความรู้สึกชัดเจนอย่างยิ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ไม่มีคลื่นพลังใดๆ แผ่ออกมาดุจดั่งคนธรรมดา เขามองผนึกห้าเหลี่ยมด้านบน แล้วยกมือขวาสะบัดไปยังม่านแสงห้าชั้นจากผนึกนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

พอสะบัดมือกลับก็ไม่เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง แต่ผนึกชั้นหนึ่งพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไร้เสียง จากนั้นผนึกด้านหลังก็ตามไปเช่นกัน….

ทว่าผนึกห้าเหลี่ยมเป็นสมบัติกำราบมือซ้ายเทพหมาน แม้ผสานรวมกับมือซ้ายเทพหมานมาแต่โบราณกาล อีกทั้งผนึกยังอ่อนลงไปมากจนไม่มีพลานุภาพเหมือนตอนนั้นแล้ว แต่มันก็ทำลายไม่ง่ายอยู่ดี

วินาทีที่ม่านแสงสองชั้นถูกทำลาย ม่านแสงสามชั้นด้านหลังพลันเปล่งแสงวาบ พบว่าด้านหลังม่านแสงสามชั้นมีปรากฏขึ้นมาอีกสองชั้นด้วยความเร็วระดับสายตา ฉะนั้นมันจึงเป็นห้าชั้นเหมือนเดิม!

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแค่นัยน์ตาวูบวาบเหมือนกำลังครุ่นคิด

ครู่ต่อมานัยน์ตาเขาเปล่งประกาย ก่อนยกมือขวาชี้ไปยังม่านแสงห้าชั้น ทันทีที่ชี้ไป ม่านแสงห้าชั้นพลันสั่นไหว ก่อนที่ชั้นแรกแตกกระจาย ตามด้วยชั้นสอง ชั้นสาม…..จนกระทั่งถึงชั้นห้า พวกมันแตกกระจายพร้อมกัน ทว่าทันใดนั้นก็มีอีกห้าชั้นปรากฏขึ้น

เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ผนึกอย่างนี้ไปชั่วนิรันดร์

‘ไม่รู้ว่าถ้าโจมตีจากภายนอกมันจะเป็นอย่างไร…’ นัยน์ตาซูหมิงวาววับ ตอนที่เขาเห็นม่านแสงห้าชั้นขยายสู่ข้างนอก พื้นที่ข้างในก็กว้างมากขึ้นไม่น้อย ดูจากลักษณะแล้วน่าจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องตามที่มันถูกทำลาย

ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว ยกมือขวาชี้ไปอีกครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งตรงเข้าไป ก่อนชี้ไปอีก

เมื่อชี้ติดกันหลายครั้ง ม่านแสงห้าชั้นก็แตกกระจายอย่างต่อเนื่องแล้วปรากฏขึ้นมาใหม่อีก ทุกครั้งจะขยายออกสู่ข้างนอกไม่น้อย

เมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากทำอยู่หลายครั้ง ม่านแสงชั้นนอกสุดจึงขยายไปจนกว้างหลายพันจั้ง อีกทั้งจากการที่ซูหมิงห้อเหยียดขึ้นมา จึงทำให้ม่านแสงด้านนอกนูนขึ้นสู่ผิวทะเล

ซูหมิงก้าวเดินไม่หยุด ขยับตัววูบวาบพร้อมกับชี้นิ้วไปอีกครั้ง

ม่านแสงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่มันแตกกระจายและกลับมาใหม่นั้น ก็เหมือนกับฟองอากาศยักษ์อยู่ในทะเล ทั้งยังลอยตัวขึ้นสู่ผิวทะเลอย่างต่อเนื่อง!

ผ่านไปพักหนึ่ง บนผิวทะเลนอกยอดเขาลำดับเก้า ภายใต้สายตาของทุกคนบนยอดเขา ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาเห็นว่าบนผิวทะเลไกลออกไปเกิดเสียงโครมดังสนั่น น้ำทะเลยังหมุนม้วนตัวอย่างรุนแรง ระลอกคลื่นไร้ขีดจำกัด ประหนึ่งมหาสมุทรเดือดพล่าน!

มีแสงสีทองเส้นหนึ่งเผยออกมา ครั้นแสงทองส่องสว่าง ก็มีม่านแสงคล้ายฟองอากาศลอยขึ้น

ทันทีที่ปรากฏม่านแสง ท้องฟ้ามืดครึ้มกลายเป็นสีทอง ความน่าเกรงขามเขย่าขวัญจิตใจกระจายสู่ฟ้าดิน!

ม่านแสงสีทองนั้นทำให้น้ำทะเลไหลเชี่ยวกราก ม้วนตลบออกไปรอบๆ คล้ายจะหลบหนี!

จนกระทั่งม่านแสงปรากฏขึ้นบนผิวน้ำครึ่งหนึ่งคล้ายกับชามใหญ่พลิกคว่ำ ก็มีเสียงดังเกรียวกราวมาจากยอดเขาลำดับเก้า ผู้คนที่เห็นต่างพากันตื่นตกใจและมองมา

ม่านแสงนี้ยังคงลอยสูงขึ้นอีก จนกระทั่งพ้นผิวทะเลมาอยู่กลางอากาศ กลายเป็นม่านแสงลักษณะวงกลมประจักษ์ในสายตาของทุกคน!

ม่านแสงนี้ขยับแสงทองวิบวับ มีทั้งหมดห้าชั้นด้วยกัน!

ชั้นนอกสุดใหญ่หมื่นจั้ง ในห้าชั้นนี้จะเห็นได้ว่ามีร่างเงาคนผู้หนึ่งอยู่ ร่างนี้เลือนรางมองเห็นใบหน้าไม่ชัด ระหว่างฟ้ากับดิน ม่านแสงวงกลมหมื่นจั้งลอยอยู่บนท้องฟ้ามืดครึ้ม แสงทองให้ความรู้สึกคล้ายดวงตะวัน ผู้คนที่จ้องอยู่ล้วนตื่นตะลึง ทั้งยังเกิดความยำเกรงอย่างสุดซึ้ง

“ใช้พลังทั้งหมดของพวกเจ้าโจมตีม่านแสงนี้!” ขณะเดียวกับที่ผู้รอดชีวิตจากฝ่ายนภาบนยอดเขาลำดับเก้ากำลังตื่นตะลึงกับการปรากฏตัวของซูหมิง ก็มีเสียงของซูหมิงดังอื้ออึงในม่านแสง ก้องกังวานฟ้าดินไปรอบๆ

“ซูหมิง…เป็นซูหมิง!” พอผู้รอดชีวิตจากฝ่ายนภาบนยอดเขาลำดับเก้าได้ยินเสียงนี้ก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา สำหรับพวกเขาแล้วซูหมิงไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยให้รอดพ้นจากซือหม่าซิ่น!

แม้ซูหมิงจะสังหารฝ่ายนภาอย่างหนัก ทว่าต้นตอของเรื่องไม่ใช่ซูหมิง

แต่เป็น…ซือหม่าซิ่น!

โดยเฉพาะคนที่รู้จักกับซูหมิงเมื่อนานมาแล้ว ยามนี้พอได้เห็นภาพดังกล่าวและได้ยินเสียงซูหมิงก็มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ทั้งยังลอบถอนหายใจปลงอนิจจัง

ไป๋ซู่เหม่อมองเขา น้ำตารินไหล เพียงแต่ในน้ำตาแฝงไว้ด้วยความดีใจ มีความสับสนเล็กน้อย แล้วนึกย้อนไปถึงเสียงถอนหายใจหลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น

บิดาด้านหลังนางมองซูหมิงในม่านแสงห้าชั้นบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ จนถึงตอนนี้เขายังนำบุคคลตรงหน้ากับชายหนุ่มในอดีตมาซ้อนทับกันไม่ได้

“โจมตีม่านแสงด้วยพลังทั้งหมดของพวกเจ้า ข้าอยากลองอานุภาพของม่านแสงนี้!” มีเสียงของซูหมิงดังแว่วออกมาจากด้านในอีกครั้ง

หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ถึงมีคนบินขึ้นมาจากกลุ่มคนแล้วตรงไปยังม่านแสง ต่อมาก็มีคนบินออกมาเยอะขึ้น ตอนที่สายรุ้งยาวเข้ามาใกล้ก็มีเสียงโครมดังกึกก้อง คนในสายรุ้งเหล่านั้นใช้พลังทั้งหมดโจมตีม่านแสงห้าชั้นตามคำสั่งของซูหมิง

ทว่าม่านแสงเพียงสั่นไหวเบาๆ ไม่เกิดเค้าลางจะแตกสลายเลย

“พอแล้ว!” ซูหมิงกล่าว ผู้คนโดยรอบเลยพากันถอยไปด้วยสีหน้าเคารพ

‘แม้สิ่งนี้เป็นผนึก ทว่าหากใช้ดีๆ ก็เป็นสมบัติเอาไว้คุ้มกันได้’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เขาใช้มือขวากดตรงหน้าอก พลันมีแสงหม่นลอยมาจากปาก จากนั้นก็เปล่งแสงหม่นพร่างพราวแล้วกลายเป็นโอสถมอบจิตในมือ

โอสถเม็ดนี้เป็นสีดำทึบ แม้ซูหมิงจะเอาออกมา แต่กลิ่นอายพลังจากในตัวเขากลับไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาไม่ต้องใช้โอสถมอบจิตอีก เพราะเขาได้วิชาอภินิหารทุกอย่างของเทพหมานตอนสูบพลังจากมือซ้ายเทพหมานแล้ว หลังจากเก็บโอสถมอบจิตไป ซูหมิงก็มองผนึกห้าเหลี่ยมที่ยังไม่หายไปด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วปล่อยจิตสัมผัสผสานรวมกับเศษหินพิลึกตรงคอที่ไม่ได้ใช้มานาน

เศษหินหลอกได้ทุกสิ่ง กับอีแค่ผนึกห้าเหลี่ยมเล็กจ้อยย่อมไม่เป็นปัญหา นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุที่ซูหมิงยอมเสี่ยงอันตรายเข้าไปในผนึกห้าเหลี่ยมเพื่อรับโชควาสนา แทบเป็นช่วงที่จิตสัมผัสของซูหมิงถูกตัวเศษหินสีดำ กลิ่นอายพลังในตัวเขาเปลี่ยนไปในทันใด กลิ่นอายพลังของเทพหมานรุ่นสองหายไปอย่างช้าๆ

ซูหมิงเดินออกมาจากม่านแสงราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทันทีที่สัมผัสกับม่านแสงนั้น ตัวเขาไม่มีอะไรขวางกั้นอีก เดินออกมาจนกระทั่งข้ามผ่านอีกหลายชั้นที่เหลือ เขายืนอยู่กลางอากาศ หันหน้าไปมองม่านแสงห้าเหลี่ยม

หลังจากซูหมิงออกมาแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรให้ผนึกอีก ม่านแสงเลยค่อยๆ หดเล็กลง สุดท้ายก็ขยับแสงสีทองวิบวับ กลายเป็นตราห้าเหลี่ยมสีทองขนาดเท่าฝ่ามือ!

ตรานี้ลอยอยู่กลางอากาศแล้วตกลงสู่ผืนทะเล แต่ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อโดยพลัน ทำให้ตราห้าเหลี่ยมลอยมาหาเขา ก่อนคว้ามันมาพิจารณาอย่างละเอียด เมื่อเก็บมันไว้แล้วเขาถึงได้หันหน้าไปมองทุกคนรอบๆ และยอดเขาลำดับเก้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version