Skip to content

สู่วิถีอสุรา 613

SVTASR

ตอนที่ 613 เวลาอันสั้นกับความงดงาม

ซูหมิงเมื่อหนึ่งปีก่อน ก่อนจากที่นี่ไปขั้นพลังฟื้นฟูเพียงส่วนเดียว ยามนี้กลับมาแล้ว ขั้นพลังฟื้นฟูมาเกือบหกส่วน ทว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นเขา

ยังคงเป็นพี่โก่วเซิ่งของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ยังเป็นเด็กหนุ่มร่างซูบผอมในสายตาบิดามารดานาง

ซูหมิงยืนอยู่นอกบ้าน ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ

เสียงเคาะประตูเบายิ่งนักท่ามกลางเสียงสายลมหิมะ ได้ยินด้านนอกไม่ชัด ทว่าในเรือนกลับได้ยินอย่างชัดเจน

“ใครน่ะ….” เสียงเบาดังมาจากในบ้าน เสียงนี้เป็นของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ เพียงแต่เสียงดูไม่ค่อยมีแรง

“ข้าเอง” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา

หลังจากเอ่ยไปในบ้านพลันเงียบสงัด ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก ชั่ววินาทีนั้นสายลมหิมะพัดเข้าไปข้างใน เพียงแต่ร่างผอมบางของซูหมิงขวางสายลมด้านหลังเอาไว้ดุจดั่งภูเขา ทำให้สายลม…ไม่อาจข้ามผ่านตัวเขา ส่งไปไม่ถึงเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ที่กำลังเหม่อมองตนและน้ำตาไหลด้วยความตกใจระคนยินดี

“พี่โก่วเซิ่ง!” เสียวโฉ่วเอ๋อร์ร้องไห้ ตรงเข้ามากอดซูหมิงเอาไว้ ซูหมิงตบหลังนางเบาๆ ใช้ร่างกายตนบังสายลมหิมะให้นางต่อไป

“เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไม่ต้องร้อง ไม่ได้เจอกันเกือบปี ตัวสูงขึ้นมากเชียว” ซูหมิงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกล่าวขึ้น ตอนที่เงยหน้า เขาเห็นสามีภรรยาคู่หนึ่งยืนอยู่ในบ้าน

เส้นผมสีดอกเลา รอยย่นเพิ่มมากขึ้น และยังมีร่องรอยซึ่งกาลเวลาเหมือนเร่งการโคจรให้เร็วขึ้นฝากเอาไว้ รูปร่างโค้งงอเล็กน้อย ใบหน้าซูบผอมและยังมีริมฝีปากเหมือนพึมพำอะไรบางอย่างทั้งน้ำตา

นี่คือ บิดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์

สตรีข้างกายมีเส้นผมขาวเยอะมากขึ้น ใบหน้างดงามมีให้เห็นบางตา นางน้ำตาไหลพราก แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มที่งามที่สุดในโลกความรู้สึกซูหมิง

“กลับบ้านแล้ว กำลังรอเจ้าอยู่เลย…”

เพียงคำพูดง่ายๆ ยังผลให้หัวใจซูหมิงแผ่ซ่านไปด้วยความอบอุ่น

เขาจูงมือเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เดินเข้าไป หลังจากปิดประตูบ้านแล้วก็มองครอบครัวธรรมดาตรงหน้าก่อนคุกเข่าลง

“ท่านพ่อ ท่านแม่ โก่วเซิ่งกลับมาแล้ว…”

ยามนี้ความอบอุ่นขับไล่สายลมหนาวที่พัดเข้ามาในบ้านให้หายไป ขับไล่ความหนาวเหน็บจากข้างนอก ทำให้ในห้องนี้อบอวลไปด้วยความอบอุ่นที่สามารถละลายหิมะได้

คืนนี้เสียงหัวเราะของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เหมือนดังแต่ก่อน ดังก้องในความอบอุ่น บิดาเสียวโฉ่วเอ๋อร์มักจะมองซูหมิงด้วยสายตาเอ็นดู และยังมีมารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ นางถือเสื้อกันหนาวจากในห้องมาตัวหนึ่ง นางถักมันให้เขาด้วยมือตัวเอง

ซูหมิงสวมเสื้อกันหนาวแล้วเหมือนกับเด็กหนุ่มจริงๆ ไม่มีความเศร้า ไม่มีการเข่นฆ่า ไม่มีความซับซ้อน มีเพียงความอบอุ่นของครอบครัว

แสงไฟในยามค่ำคืนยังไม่มอดดับ มันอยู่มานานในความมืดมิดข้างนอกและกลางสายลมหนาว เพราะว่ามันลุกไหม้อยู่ตลอด บางทีอาจไม่ใช่เพราะน้ำมันตะเกียง แต่เป็นเพราะคำว่าครอบครัวที่ซูหมิงเฝ้าใฝ่หาจากครอบครัวธรรมดานี้

เป็นคำว่าครอบครัวที่ไม่ดับแสงไฟ ครอบครัวนี้เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับซูหมิง และวางอยู่ทั้งหมดในก้นบึ้งหัวใจ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมให้สูญเสียไปในความทรงจำ

เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์และบิดามารดาของนางในความทรงจำส่วนนี้เป็นของเขา

“ข้าจะอยู่กับเจ้า จนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของกาลเวลา…” นี่คือคำพูดที่ซูหมิงเคยพูดกับเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ในตอนนั้น และก็เป็นตัวอักษรแถวหนึ่งในความทรงจำและในใจเขาตอนนี้

ความงดงาม บ่อยครั้งจะอยู่ในช่วงสั้นๆ เพราะบางทีโลกนี้อาจมีดวงตาคู่หนึ่งที่เรียกว่าความโดดเดี่ยวอยู่ มันไม่อยากเห็นความงามมากนัก เลยให้ความงามกับเวลาชั่วคราวอยู่ด้วยกัน

ดังนั้นผู้คนจึงมักจะพูดว่าความงดงามในเวลาอันสั้น…

สุดท้ายแล้วคืนนี้ก็ต้องจบลง เหมือนกับคำว่างดงามที่ต้องจบลงในเวลาอันสั้น ซูหมิงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะหากทำอย่างนั้นก่อนขั้นพลังฟื้นกลับมาอาจทำให้ครอบครัวนี้ต้องพบกับหายนะถึงชีวิต

เขาทำได้เพียงจดจำความงดงามในเวลาอันแสนสั้นเอาไว้ หลังจากนั้น…ก็จากไปอย่างเงียบๆ ทว่าเขาฝากเอาไว้คนหนึ่ง บุคคลนี้นอนอยู่บนเตียงและค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาคือเฉินต้าสี่ เป็นพี่ชายของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์และเป็นวิญญาณน่าสงสาร

เดิมทีใบหน้าเขาควรจะเป็นวัยกลางคน แต่ซูหมิงทนเห็นบิดามารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์เสียใจไม่ได้ ทนเห็นน้ำตาเด็กหญิงไม่ได้ เขาเลยยอมเสียเวลาฟื้นขั้นพลังตนมอบพลังชีวิตให้กับเฉินต้าสี่ ใบหน้าเลยดูเหมือนอายุยี่สิบปี

นี่เป็นเพียงภาพมายา เมื่อพลังชีวิตสิบปีหมดลง เขาจะกลายเป็นแบบเดิม

ซูหมิงจากไปแล้ว

เขาจัดระเบียบร่างกายบิดามารดาเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ส่งผลให้โรคภัยไข้เจ็บของพวกเขาหายไป หลังจากทำให้รอยตำหนิบนใบหน้าเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์จางขึ้นอีก เขาก็ไม่ได้ผลักประตูบ้าน แต่ก้าวเดินมาปรากฏตัวอยู่นอกบ้านแทน

‘หากไม่ได้ผลักประตูออก ก็เท่ากับว่าข้าไม่ได้จากไป เช่นนั้นข้าจะไม่มีวันผลักประตูนี้’ ด้านหลังซูหมิงเป็นหิมะไร้ที่สิ้นสุด หิมะปกคลุมเส้นทางไปยังบ้านครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ราวกับตัดขาดเส้นทางกลับ ค่อยๆ กลายเป็นความกว้างใหญ่สีขาว

ซูหมิงเดินอยู่บนพื้นหิมะเพียงลำพัง เดินไกลออกไปเรื่อยๆ หิมะโปรยลงบนเส้นผม บนตัวและยังมีเสื้อกันหนาว…..หนาวเหน็บยิ่งนัก ทว่าเขาฝังความอบอุ่นเอาไว้กลางใจ มันทำให้เขาอบอุ่นท่ามกลางหิมะ ทำให้เขาเดินไปไกลยิ่งกว่าเดิม

ซูหมิงเดินไปไกลแล้ว เขาเดินอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาว เดินอย่างโดดเดี่ยวจนกระทั่งเส้นผมขาวโพลน ร่างเงาก็เริ่มเลือนรางหายไป แล้วค่อยๆ กลายเป็นหิมะท่ามกลางความเงียบเหงา …

เสียงสายลมหิมะครืนๆ ประหนึ่งเสียงเพลงซวินสั่นไหวตามแรงลม หิมะร่วงโรยก็คือเนื้อเพลงซวินซึ่งกำลังถูกขับร้องอยู่ในความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าใครได้ยินบ้าง

ในเสียงเพลงนั้น เนื้อร้องเป็นหิมะกลบฝังเมืองหนึ่ง เป็นความโดดเดี่ยวที่ดับแสงไฟทั้งหมด ท่ามกลางความแปลกตา คนร้องไม่รู้เป็นผู้ใด เป็นตะวันยามอัสดงของใคร ใบหน้าของใคร และช่วงวัยเยาว์สิบกว่าปีของใคร…

หลังจากซูหมิงไป ครอบครัวเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กำลังหลับใหล เฉินต้าสี่ที่นอนอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขาสับสน เขารู้สึกว่าตนหลับไปตื่นหนึ่ง เป็นฝันที่ยาวนานมาก ช่วงท้ายของความฝันมีเสียงหนึ่งดังก้อง นั่นเป็นเสียงนั้นที่นำเขาออกมาจากความฝันและพากลับบ้าน

“เดิมทีเจ้าเป็นคนตาย…ข้าช่วยเจ้าได้เพียงชิงอายุขัยมาสิบปี ใช้เวลาสิบปีนี้…อยู่กับบิดามารดาและน้องสาวของเจ้าเสีย…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version