ตอนที่ 71 ภูมิภาคพันธมิตรตะวันตก
เขายืนอยู่ตรงนั้น ทว่าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือ พวกสือไห่ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงตัวเขา ไม่ทราบถึงการปรากฏตัวของบุคคลลึกลับเลย แม้ว่าจะลืมตา ทว่าก็เหมือนเห็นความว่างเปล่า
“นกใหญ่ถี (เชื่องช้า) หนึ่งในสี่สัตว์ประหลาดแห่งหมานเพลิง…ถูกเทพหมานสังหารไปนานแล้ว…ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ อีกทั้งยังแบ่งจิตเอาไว้…หากไม่ใช่เพราะจ้าวหมานภูผาดำเป็นคนบอก ข้าคงจะพลาดโอกาสนี้ไป…ช่างเถิด เขาบอกเรื่องนี้แก่ข้า แม้จะเพื่อกิเลสส่วนตัวก็ตาม ทว่าในเมื่อได้พบมันแล้ว ข้าก็จะเติมเต็มความปรารถนาของเขา
เพียงแค่ขั้นชำระล้างระดับต้นเล็กจ้อยสองคน ไม่อยู่ในสายตาของข้าหรอก…ทว่าเผ่าร่องลมที่อยู่ห่างไกลผู้คนตรงชายแดนภูมิภาคพันธมิตรตะวันตกนี้ ข้าเคยได้ยินว่าเติบโตขึ้นมาจากเสี้ยวสายเลือดคล้ายเผ่าใหญ่เหมียวหมาน”
บุคคลลึกลับกล่าวพึมพำ พลางเดินไปทางเขาร่องลมที่กำลังถูกปิดผนึก!
ซูหมิงกลับมาถึงเรือนพักของเผ่าเขาทมิฬในเมืองหินโคลน รูปร่างของเขากลับไปเป็นหล่อเหลาและผอมบางดังเดิม สวมเสื้อหนังสัตว์ธรรมดา นั่งอยู่ในเรือนพักของเผ่าเขาทมิฬ
แววตาของเขาดูตื่นเต้นและตึงเครียด ทุกเหตุการณ์ในงานประลองด่านแรกเป็นเหมือนความฝัน คลับคล้ายไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่เป็นผู้อื่น
โดยเฉพาะตอนอยู่บนลานแล้วถูกสายตาจับจ้อง เขาตื่นเต้นจนหัวใจสั่นระรัว นึกถึงใบหน้าของยายเฒ่าและซือคงที่มองมายังตน รวมทั้งคำสนทนากับไป๋หลิง ทำให้ซูหมิงรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจยิ่งนัก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ง่ายเลยที่จะระงับความตื่นเต้นในใจ เขาหลับตาลงสัมผัสถึงพลังโลหิตมหาศาลในร่างกายสักครู่ ความแข็งแกร่งของเส้นเลือดหนึ่งร้อยหกสิบเส้นที่ปะทุขึ้น ยังผลให้ซูหมิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ในช่วงสุดท้าย เส้นเลือดของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสี่เส้น จากหนึ่งร้อยห้าสิบหกเป็นหนึ่งร้อยหกสิบเส้น
“ตอนนี้ข้าอยู่ลำดับหกขั้นรวมโลหิต ยังห่างจากเงื่อนไขลำดับเจ็ดสองร้อยสี่สิบสามเส้นอีกไกล…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ แววตาเป็นประกาย
“ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาธุลีโลหิตดำได้แล้ว…ส่วนสามตัดสังหารยังต้องรอก่อน”
ซูหมิงนั่งสมาธิตั้งมั่น คะนึงคิดถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในด่านแรก มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเผยรอยยิ้ม
“ที่สำคัญที่สุดคือ ข้าได้เข้าใจถึงการควบคุมความละเอียดอ่อน! ความคิดเคลื่อนไหว โลหิตก็เคลื่อนไหว หากความคิดไม่เคลื่อนไหว โลหิตจะถูกปิด…..หากเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่ต้องเปลืองพลังโลหิต นอกจากทำให้พลังการต่อสู้ของข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความเร็วจะเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งระดับ!”
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ดูฮึกเหิมมีชีวิตชีวา
‘ข้าในตอนนี้ รวมกับหอกเกล็ดโลหิตแล้ว น่าจะพอช่วยท่านปู่ ปกป้องชนเผ่า ปกป้องครอบครัวของข้าได้! ข้าจะสู้เพื่อชนเผ่า!’ ซูหมิงกำหมัดแน่น แววตาเด็ดเดี่ยว
‘น่าเสียดาย ขั้นพลังของข้ายังไม่เพียงพอ เส้นเลือดก็มีเพียงแค่หนึ่งร้อยหกสิบเส้น…หากมีเพิ่มอีกก็คงจะดี……’ ซูหมิงขมวดคิ้ว หลังจากขบคิดแล้วแววตาพลันเป็นประกาย
‘ต้องซื้อสมุนไพรเยอะๆ แล้วหลอมโอสถวิญญาณผาให้ได้มากขึ้น…น่าเสียดาย เฮ้อ’ ประกายแววตาอ่อนลง ตอนนี้ในกระเป๋าเขาว่างเปล่า ไม่มีเหรียญหินมากพอจะซื้อสมุนไพรได้
‘ตอนนี้เผ่าจะเกิดภัยพิบัติได้ทุกเวลา จำเป็นต้องใช้เหรียญหินจำนวนมาก ข้าจะไม่ให้เพิ่มภาระให้ท่านปู่……ว่าแต่ทำอย่างไรถึงจะได้เหรียญหินมาจำนวนมาก…’
ซูหมิงเกาศีรษะ ขณะขบคิดหูทั้งสองข้างพลันสั่นไหว ได้ยินเป็นเสียงตื่นเต้นของอูลาด้านนอกเรือน
ซูหมิงยืนขึ้นแล้วผลักประตูออก มองไปด้านนอกประตูใหญ่แวบหนึ่ง ก็พบว่าเป็นเป่ยหลิง อูลา และยังมีเหลยเฉิน ด้านหลังของพวกเขาเป็นท่านปู่ ผู้นำกองรักษาการณ์ พร้อมทั้งซานเหิน
“โม่ซูมีเสน่ห์มากจริงๆ พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ตอนเขากลับมา ดึงดูดสายตาของทุกคนเลย! และยังมีตอนที่เยี่ยวั่งเปิดปากพูดกับเขา ข้าได้ยินคนข้างๆ พูดว่า นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก!”
สีหน้าอูลาดูตื่นเต้น ดวงตาหวั่นไหว เดินไปพลางกล่าวกับเป่ยหลิงและเหลยเฉิน
“แม้ภายนอกโม่ซูจะดูธรรมดา ทว่ากลับมีเสน่ห์ยิ่งนัก ข้าคิดว่าผู้แข็งแกร่งน่าจะเป็นเช่นนี้ จากอันดับสุดท้ายทะยานสู่ยอดสุด โดยเฉพาะตอนที่กลับมา ดูสงบนิ่งมาก มีความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่ง ข้ายังจำตอนที่เขาคุยกับเยี่ยวั่งได้ว่าจะไม่เข้าร่วมงานประลองในด่านที่สอง หลายคนตื่นตะลึงกันเลย!”
อูลาวาดมืออธิบายอย่างตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าในความคิดของนาง ฐานะของโม่ซูอยู่สูงส่งเพียงใด ทำให้นางต้องเลื่อมใส
ซูหมิงยืนอยู่นอกเรือน มองทุกคนที่กำลังเดินเข้ามา
พอเห็นท่าทางตื่นเต้นของอูลา ก็อดถูจมูกตัวเองมิได้ เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาตื่นเต้นมาก สายตาจำนวนมากที่จับจ้องมาทำเอาเขารู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่ได้มีท่าทีสงบนิ่งเหมือนดั่งที่อูลากล่าว……
“ก่อนหน้านี้โม่ซูไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน แต่ตอนนี้เขามีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว นามของเขากระจายไปทั้งเผ่าร่องลม อีกไม่นานทุกเผ่ารอบแดนแปดทิศจะมีแต่คนรู้จักเขา!”
เป่ยหลิงไม่ได้มีสีหน้าเย็นชาอย่างหาได้ยาก แววตาของเขาดูฮึกเหิมและตื่นเต้น
“น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คนเผ่าเขาทมิฬของพวกเรา เฮ้อ…หากเผ่าเขาทมิฬมีผู้มีพรสวรรค์เช่นนั้นก็คงดี…”
เป่ยหลิงถอนหายใจเบา ในใจไร้ซึ่งความริษยา มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ หากเปรียบกับคนรุ่นเดียวกันแล้วตนด้อยกว่ามาก ก็ยากจะเกิดความริษยา เว้นแต่จะเป็น…คนที่เติบโตมาด้วยกัน เพราะว่าไม่มีความลับอำพราง จึงเกิดความริษยาซึ่งกันและกัน
“ใช่แล้ว หากเขาเป็นคนจากเผ่าเขาทมิฬของพวกเราก็คงดี……..โม่ซู โม่ซู พวกเจ้าว่าชื่อนี้ไพเราะขนาดไหน โม่ซู…”
แววตาอูลาเป็นประกายประหลาด ใบหน้าแดงเล็กน้อย ขณะกล่าวพลันเห็นซูหมิงที่ยืนอยู่ จึงขมวดคิ้วขึ้น สีหน้าเผยความเหยียดหยาม
นางนึกถึงคำพูดของเหลยเฉินก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าโม่ซูที่นางเลื่อมใสเป็นคนเดียวกันกับซูหมิง นี่ทำให้นางรู้สึกว่าเป็นการดูถูกโม่ซู
เหลยเฉินเงียบมาตลอดทาง ยามนี้พอได้เห็นซูหมิง ดวงตาพลันเพ่งมอง เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว แววตาดูอ่อนลง เห็นได้ชัดว่าเขาก็ไม่คิดว่าซูหมิงกับโม่ซูจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
ส่วนเป่ยหลิง เขาเห็นซูหมิงก่อนนานแล้ว ทว่าก็เมินเฉยทันที ความเย็นชาในแววตาเข้มข้นราวกับไม่อาจละลายได้
“โม่ซูลึกลับมากจริงๆ จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นคนจากเผ่าไหน บางทีอีกไม่กี่วันคงได้รู้ ถึงตอนนั้นข้าจะเป็นตัวแทนรุ่นเยาว์เผ่าเขาทมิฬไปผูกมิตรกับเขาเอง…” เป่ยหลิงไม่มองซูหมิงอีก ตอนที่กล่าวถึงโม่ซู นัยน์ตาฉายแววเคารพ
“อืม จะต้องไปผูกมิตรกับเขาให้ได้ โม่ซู โม่ซู…ข้าเดาว่าขั้นพลังของเขาจะต้องสูงมากแน่ แต่น่าเสียดาย เหตุใดถึงไม่เข้าร่วมงานประลองในด่านที่สองกับด่านที่สามล่ะ…..” อูลามีท่าทางตื่นเต้น พอซูหมิงเห็นก็อดถูจมูกอีกครั้งไม่ได้
“บางทีขั้นพลังเขาอาจจะไม่ได้สูงขนาดนั้น ก็เลยไม่เข้าร่วม…” ซูหมิงทนไม่ไหว จึงกล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ซูหมิง เจ้าว่าอย่างไรนะ!” อูลาได้ยินดังนั้น ดวงตาเผยความรวดเร็วและดุดัน มองซูหมิงด้วยสีหน้าเดือดดาล
“เจ้าไม่มีค่าพอจะวิจารณ์โม่ซู ขั้นพลังของเขาต้องสูงมากแน่นอน ที่ไม่เข้าร่วมก็เพราะเขายังมีธุระเรื่องอื่น หรือไม่ก็ไม่สนใจการประลอง!”
ซูหมิงหัวเราะแห้งๆ รีบปิดปาก เห็นท่าทางเดือดดาลของอูลาแล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตื่นเต้นหรือว่าจำใจดี
“ซูหมิง คำพูดเหล่านี้เจ้าพูดที่นี่คงไม่เป็นอะไร แต่จากที่เจ้าพูด ดูท่าหลายวันก่อนคงจะไปรู้เรื่องของโม่ซูมาจากที่อื่น ข้าจะบอกเจ้าให้ ห้ามพูดเช่นนี้ข้างนอกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วจะสร้างหายนะให้กับชนเผ่า โม่ซูคนนั้นไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับเจ้า!”
เป่ยหลิงมีสีหน้าจริงจัง จ้องซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ ตัวเขาเป็นหมายเลขหนึ่งในรุ่นเยาว์แห่งเผ่าเขาทมิฬ คำกล่าวเช่นนี้คงจะมากไม่เกินไป
“ซูหมิง ข้าก็คิดเจ้าว่าไม่ควรพูดเช่นนี้ โม่ซูคนนั้น…เจ้าไม่ได้เห็นกับตา เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แม้แต่เยี่ยวั่งยังต้องให้ความสำคัญเขา! เขาไม่ใช่คนที่พวกเราจะวิจารณ์ได้ เขา…แข็งแกร่งจริงๆ!” เหลยเฉินกล่าวเสียงเบา กล่าวจบ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองซูหมิงด้วยความสับสนราวกับอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่กล่าวต่อ
ซูหมิงหัวเราะแห้งๆ อีกครั้ง
“เอาละ พรุ่งนี้พวกเจ้าสามคนยังต้องประลองต่อ ไปฝึกฝนและพักผ่อนเสีย” ผู้นำกองรักษาการณ์ขมวดคิ้ว หลังจากทำเสียงกระแอมแล้ว พวกเป่ยหลิงไม่มีใครกล่าวอะไรอีก ต่างพากันแยกย้ายกลับไปยังเรือนพักของตน
ท่านปู่พยักหน้าให้ซูหมิง ความชื่นชมในแววตาเข้มข้นนัก ไม่กล่าวสิ่งใด ก่อนเดินกลับไปยังเรือนพักของเขา ผู้นำกองรักษาการณ์และซานเหินเดินตามหลังไปติดๆ เห็นได้ว่าพวกเขากำลังสนทนาอะไรบางอย่าง
หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว ซูหมิงกลับมายังเรือนพัก เขาทราบดีว่าอีกประเดี๋ยวท่านปู่ต้องมาหาแน่นอน เขาจึงนั่งรออย่างเงียบๆ ไม่นาน ท่านปู่ก็ยังไม่มา แต่เป็นเหลยเฉินที่มาหาซูหมิงด้วยท่าทีลังเลใจ นั่งอยู่ตรงหน้าเขา มองมาอย่างสับสน
“เจ้าเป็นอะไร?” ซูหมิงเห็นท่าทางซื่อๆ ของเหลยเฉิน จึงส่งเสียงหัวเราะ
“ไม่…ไม่มีอะไร…ซูหมิง เจ้า…เจ้า…”
ขณะลังเล เหลยเฉยพลันกัดฟันกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าชอบไป๋หลิงใช่หรือไม่?”
ซูหมิงตะลึงไปครู่หนึ่ง
“เฮ้อ ซูหมิง ไม่ว่าเจ้าจะชอบนางหรือไม่ ข้าแนะนำว่า…ให้เลิกเสีย ข้าเองก็อึดอัดใจ ไป๋หลิงงดงามขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่เห็นจะสู้ไป๋ฟางได้…” ขณะเหลยเฉินกล่าวเสียงเบา สีหน้าดูสับสน
“ซูหมิง เจ้าไม่ได้ไปที่ลานใต้เขาร่องลม เจ้าไม่เห็นหรอกว่าตอนท้ายโม่ซูเดินไปหาไป๋หลิงต่อหน้าทุกคน แล้วบอกว่าจะพาไปเดินวนเล่น เดินเล่นก็บ้าแล้ว! ข้าล่ะไม่ถูกชะตาเขาจริงๆ!” เหลยเฉินแอบมองสีหน้าซูหมิงแวบหนึ่ง รีบกล่าวต่อ
“ที่น่าเสียใจที่สุดคือไป๋หลิงดันหน้าแดงตอบตกลง เฮ้อ เจ้าไม่เห็นภาพตอนนั้น ดูก็รู้แล้วว่านางมีใจให้โม่ซู ไป๋หลิงทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!” เหลยเฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ซูหมิงมีสีหน้าประหลาดใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวเสียงเบา
“เหลยเฉิน ข้ามีความลับจะบอกเจ้า…จริงๆ แล้วข้าก็คือโม่ซู”
เหลยเฉินตกตะลึง ยกมือขึ้นรีบแตะหน้าผากของซูหมิงทันที หลังจากถูกซูหมิงผลักออกแล้ว เขาก็รีบกล่าวตักเตือนหลายอย่าง ขณะกำลังจะเอ่ยต่อ พลันได้ยินเสียงกระแอมของท่านปู่ดังเข้ามาจากนอกเรือนพัก
เหลยเฉินรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นประตูถูกเปิดออก ท่านปู่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
ไม่ต้องให้ท่านปู่สั่ง เหลยเฉินก็รีบคำนับ มองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วกล่าวลาทันที เพียงแต่สีหน้าของเขาเป็นกังวลเล็กน้อย คำกล่าวของซูหมิงเมื่อครู่นี้ทำให้เขาตกใจจนสะดุ้ง คิดว่าซูหมิงอาจจะเสียสติไปแล้ว