ตอนที่ 769 เส้นเนื้อ
“ทว่าแซ่เถียนมีจิตแรกเป็นร่างกาย ไม่ต้องใช้ปราณปฐพีฝึกฝนก็อยู่ในสภาพแวดล้อมผนึกได้ หากสหายสามท่านสนใจจะลองดูก็ได้” เถียนหลินเห็นเยียเซินถงฝึกฝน จึงเอ่ยกับหลงลี่ ซุนคุน และซูหมิง
“ช่างเถอะ ตัวเล็กอย่างข้าคงรับแรงพ่นของปราณปฐพีไม่ไหว คงต้องปล่อยโอกาสไปแล้ว” ซุนคุนหัวเราะเสียงดังแล้วส่ายศีรษะ
ตอนนี้ชายชราหลงลี่ผู้หลังค่อมเล็กน้อยยืนขึ้น แล้วเดินไปยังจุดที่พ่นปราณปฐพีจุดที่สอง เขาขมวดคิ้วตอนที่เข้าใกล้ระยะห้าจั้งไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่นั่งขัดสมาธิลงปรับสภาพอย่างเงียบๆ
ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มองเยียเซินถงกับชายชราหลงลี่แวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เข้าไป แต่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาเดียวก็ครึ่งเดือน ครึ่งเดือนนี้ทุกคนส่วนใหญ่นั่งฌานสมาธิรอให้ปราณปฐพีอ่อนลงเงียบๆ ห้าวันก่อนปราณปฐพีจากเจ็ดรูไม่รุนแรงอีก จนกระทั่งวันนี้ปราณปฐพีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
กระทั่งเยียเซินถงเข้าไปใกล้รูเล็กปราณปฐพีไม่ถึงหนึ่งจั้ง ส่วนชายชราหลงลี่ยังคงนั่งห่างอยู่เจ็ดแปดจั้ง
เห็นรูเล็กปราณปฐพีเจ็ดจุดส่วนใหญ่อ่อนกำลังลง เถียนหลินดวงตาเป็นประกาย ซุนคุนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย รอคอยเพียงให้ปราณปฐพีไม่พ่นออกมาอีก พวกเขาก็จะทำลายเปลือกนอกของผนึกเข้าไปข้างใน
เมื่อนึกถึงว่าภายในผนึกจะมีผลประโยชน์อะไรบ้าง แม้แต่ชายชราหลงลี่ยังนัยน์ตาแวววาว
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่ไกลๆ ก่อนมองไปด้วยสีหน้าจริงจัง
เวลาผ่านไปอย่างเนิบช้า สามชั่วยามต่อมา รูเล็กเจ็ดจุดก็ไม่พ่นปราณปฐพีอีก เยียเซินถงลืมตาขึ้น เคลื่อนไหวตัวพลางยิ้มมุมปาก วินาทีที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง เขากลับหน้าเปลี่ยนสี
จากนั้นหลงลี่ก็คำรามเสียงแหลมเล็ก เถียนหลินยืนขึ้นโดยพลัน พริบตาที่ปราณปฐพีในเจ็ดรูเล็กหายไป มีเส้นสีแดงเจ็ดเส้นระเบิดออกมาจากในนั้น ทุกเส้นมีขนาดเท่าแขน มีความยาวราวสามจั้ง พอระเบิดออกมาแล้ว เยียเซินถงที่อยู่ใกล้สุดจึงถูกเส้นสีแดงเส้นหนึ่งม้วนแขนขวาเอาไว้ ตรงจุดที่ถูกม้วนมีร่องรอยถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง
ส่วนหลงลี่ หากไม่นับเยียเซินถงด้วย เขาคือคนที่ใกล้ที่สุด เส้นสีแดงพุ่งตรงไปยังระหว่างคิ้วด้วยความเร็วสูงสุด เขาจึงคำรามเสียงแหลมเล็กในเมื่อครู่นี้ ตอนที่เสียงก่อเป็นระลอกคลื่นสั่นสะเทือน เขาถอยหลังไปอย่างร้อนรน ทว่าเส้นนั้นกลับทะลวงผ่านคลื่นเสียงแหลมเล็กเข้ามาใกล้อย่างเร็วไว
“นี่มันอะไร!” หลังจากเถียนหลินสลับจิตแรกก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม จิตสัมผัสปกคลุมได้ไกลที่สุด แต่กลับไม่รู้ตัวล่วงหน้าเลย กระทั่งตอนนี้ในจิตสัมผัสยังไม่มีเส้นสีแดงอยู่ ราวกับว่าพวกมันตัดขาดจากจิตสัมผัสไป
อีกทั้งในเส้นเหล่านั้นมีกลิ่นอายพลังไม่อ่อนไปกว่าเจ้าปกครองโลก ทำให้ทุกคนมีสีหน้าตื่นตระหนก เส้นสีแดงเจ็ดเส้นจากรูเล็กมีสองเส้นตรงไปหาเถียนหลิน และยังมีอีกเส้นหนึ่งร่วมขบวนไล่ตามหลงลี่ไป เห็นได้ชัดว่าในความรู้สึกพวกมัน เถียนหลินกับชายชราหลงลี่มีพลังมากที่สุด
นอกจากหนึ่งเส้นบนตัวเยียเซินถงแล้ว เส้นสีแดงสองเส้นที่เหลือตอนนี้ตรงไปหาซุนคุนกับซูหมิงดุจดั่งสายฟ้า
เวลานี้สี่คนกระจัดกระจายกัน ต่างฝ่ายต่างห้อวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในซอกคล้ายหุบเขา
ส่วนกระเรียนขนร่วงยามนี้ล้มลงกับพื้นกลายเป็นก้อนหินแน่นิ่ง
ซูหมิงถอยหลังอย่างไม่ลังเลทันที กลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป ทว่าเส้นสีแดงด้านหลังยังตามราวีไม่เลิก อีกทั้งยังรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็ห่างจากเขาไปไม่ถึงสามจั้งแล้ว
เวลานี้ทุกคนกระจัดกระจายกัน ภายใต้การไล่ล่าของเส้นสีแดง ส่วนใหญ่พวกเขาพึ่งตัวเองไม่มีเวลาสนใจคนอื่น ซูหมิงเห็นเส้นสีแดงเข้ามาใกล้ อีกทั้งในจิตสัมผัสยังไม่ตรวจพบหรือรู้สึกถึงเส้นสีแดงเลยจึงระบุเป้าหมายไม่ได้ ข้างหูมีเสียงลากยาวแหลมอย่างเร็วรี่แว่วเข้ามา
ช่วงที่อันตรายมาถึง ซูหมิงพลันหมุนตัวกลับ ยกมือขวาขึ้นเรียกกระบี่สังหาร จากนั้นฟันใส่เส้นสีแดงด้านหลัง เส้นสีแดงถูกแบ่งเป็นสองส่วนโดยพลัน ทว่าเขายังไม่ผ่อนคลายลงกลับระวังยิ่งกว่าเดิมและถอยไปอีกครั้ง
เส้นสองส่วนนั้นต่างมีอิสระของตัวเอง กลายเป็นเส้นสีแดงสองเส้นตรงไปหาเขา
พอเห็นมันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นัยน์ตาซูหมิงแวววาว เขายังมีกลอุบายอื่นๆ อีก แต่เวลานี้ในใจกลับสั่นไหว ครั้นยกมือขวาตบถุงเก็บวัตถุ ฉับพลันนั้นก็มีแสงสีแดงลอยมาจากภายใน
ความเร็วของแสงสีแดงนั้นน่าทึ่งอย่างยิ่ง มันลอยออกมาพริบตาเดียวก็หายไป
แต่กลับไปปรากฏอยู่ข้างเส้นสีแดงเส้นหนึ่ง มันคือผึ้งพิษที่เพิ่งตื่นขึ้น มันเพิ่งบินออกมา ตรงส่วนหางก็มีเหล็กในสีม่วงโผล่ให้เห็น ก่อนจะใช้ความเร็วสูงยิ่งแทงเข้าไปในเส้นสีแดง พอแทงเข้าไปเส้นสีแดงสั่นสะท้านไปทุกส่วน พริบตาเดียวก็แห้งเหี่ยวกลายเป็นเถ้าธุลี หลังจากผึ้งพิษหายไปอีกครั้ง เสี้ยววินาทีเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าซูหมิงที่ชะงักฝีเท้า นอกเส้นสีแดงเส้นที่สองเห็นเพียงร่างเงาผึ้งพิษสีแดงขยับวูบวาบ…จากนั้นเส้นสีแดงก็ถูกพิษสลายเป็นเถ้าธุลี
เหตุการณ์นี้กล่าวได้ว่าจบในพริบตาเดียว บนแขนซูหมิงมีผึ้งพิษปรากฏอยู่ สีหน้าเขาดูตื่นตะลึง เอียงศีรษะมองมันแวบหนึ่ง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วค่อยๆ ยกมือขวาเข้าไปใกล้ผึ้งพิษ มันเงยหน้าขึ้นโดยพลัน แล้วร้องอย่างเป็นมิตรพลางบินเข้าไปในแขนเสื้อเขา
เหมือนว่ามันจะชอบตรงแขนเสื้อมาก พอเข้าไปแล้วก็เกาะอยู่ข้างใน ทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาเดินไปยังจุดที่คนอื่นๆ กระจายตัวกันไปก่อนหน้านี้ ตอนที่มาถึงในครู่ต่อมา ทั้งตัวเถียนหลินเป็นแสงสีแดงสว่างจ้า ยามลงมือด้านหลังมีร่างเงาต้นไม้ใหญ่ปรากฏอยู่ กิ่งไม้ตวัดไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง เส้นสีแดงที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขากลายเป็นสิบกว่าเส้น ทว่าสีจางลงมาก
หลงลี่อยู่ไมไกล ตรงระหว่างคิ้วมีเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสามชิ้น มือขวาถือน้ำเต้าอันหนึ่ง ตรงหน้ามีร่างเงาสีดำสองตนกำลังต่อสู้กับเส้นสีแดง
ส่วนเยียเซินถงร้องคำรามไม่หยุด แขนขวาถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีดำแล้ว อีกทั้งเส้นสีแดงยังเข้าไปในแขนที่ถูกกัดกร่อนมากกว่าครึ่ง ทำให้ตัวเขามีรอยนูนยาวขึ้นมาและกำลังขยับยึกยือ
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงกลับมา บนต้นไม้มายาด้านหลังเถียนหลินปรากฏใบหน้าชราคนหนึ่ง เขาอ้าปากร้องคำรามไร้เสียง เส้นสีแดงที่ถูกตัดจนมีสิบกว่าเส้นล้วนสั่นสะท้าน ทันทีที่พวกมันหยุดชะงักกลางอากาศ เถียนหลินก็ขยับวูบไหวตัว ใช้จิตแรกครอบคลุมเอาไว้ เส้นสิบกว่าเส้นล้วนเสียความแวววาวไปโดยพลัน แล้วจึงร่วงลงสู่พื้นทีละเส้น
เถียนหลินหน้าซีดขาวเล็กน้อย ตอนที่เห็นซูหมิงเดินมา แววตามีความประหลาดใจวูบผ่าน ก่อนพยักหน้าให้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง
ทางชายชราหลงลี่ เกล็ดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนสามชิ้นตรงระหว่างคิ้วหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว เขาพลันยกน้ำเต้าในมือขึ้น มีร่างเงาดำอีกสองตนบินออกมาร่วมกับเงาสองตนก่อนหน้านี้ พุ่งเข้าใส่เส้นสีแดงสองเส้นพร้อมกัน เสียงครึกโครมดังกึกก้องเส้นสีแดงสองเส้นหายไป ส่วนร่างเงาดำสี่ตนก็ถอยกลับเข้าไปในน้ำเต้า หลงลี่มีสีหน้ามืดทะมึน ทว่าสายตากลับมองซูหมิงในทันที
ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่ามีเส้นหนึ่งไล่ตามซูหมิงไป แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็กลับมาโดยไม่เป็นอะไรเลย
เรื่องนี้ทำให้เขาให้ความสำคัญกับซูหมิงทันที ทั้งยังยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ซูหมิงอย่างพบเห็นได้ยาก นั่นคือการยอมรับ เป็นการยอมรับว่าซูหมิงอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา
“พวกเราช่วยสหายเยียหน่อยเถอะ” เถียนหลินเห็นบนหน้าเยียเซินถงมีเส้นเลือดดำปูดโปน จึงกล่าวทันที
“ไม่ต้องช่วย ข้าจัดการเองได้!” เยียเซินถงตะโกนเสียงดัง คนอื่นจัดการปัญหาเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาก็ไม่ได้ตึงเครียดอะไร โดยเฉพาะเมื่อซูหมิงคนที่เขาไม่ชอบหน้ายังมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาจึงแค่นเสียงหึเย็นชาในใจ ใช้มือซ้ายตบหน้าอกอย่างรุนแรง
เมื่อตบลง บนตัวเยียเซินถงเปล่งแสงสีเหลืองหนึ่งชั้น พริบตาเดียวก็รวมเป็นดินหนาหนึ่งฉื่อนอกตัวเขา มันขยับแสงวิบวับแล้วเพิ่มขึ้นทีละชั้น ชั่ววินาทีเดียวก็กลายเป็นมนุษย์ดินยักษ์ขนาดสิบจั้งตรงหน้าเขา
มนุษย์ดินใช้มือซ้ายตบหน้าอกตัวเองอย่างรุนแรงติดกันเจ็ดครั้ง ทุกครั้งร่างกายจะเกิดรอยแตก เมื่อตบครบเจ็ดครั้ง ร่างดินสิบจั้งก็พังพินาศลง เส้นสีแดงมัวหมองที่ยังขยับยึกยืออยู่ถูกดินเหนียวทับอยู่ในกองซากดิน
เยียเซินถงหน้าซีดขาวเล็กน้อย จ้องเส้นสีแดงที่ถูกทับอยู่พลางแค่นเสียงหึเย็นชา
“หากไม่ใช่เพราะจะจับเป็น แซ่เยียคงฆ่ามันไปนานแล้ว” ทว่าเพิ่งเอ่ยจบ เส้นสีแดงที่ยังขยับบิดเบี้ยวกลับล้มลงแล้วกลายเป็นฝุ่นละออง ทำให้เยียเซินถงมีสีหน้าย่ำแย่โดยทันที
ตอนนี้เอง ไกลออกไปมีเสียงลากยาวตรงเข้ามาใกล้ เห็นเพียงคนแคระซุนคุนวิ่งมาด้วยใบหน้าซีดขาว ในมือถือขวดเล็กโปร่งใสขวดหนึ่ง ภายในบรรจุเส้นสีแดงเอาไว้ แต่ไม่ใช่สีแดงสด มันบิดตัวพุ่งชนอยู่ในขวดไม่หยุดราวกับจะออกมา
“เหนื่อยจริงๆ กว่าจะจับมันเป็นๆ ได้ เลยต้องให้ทุกคนรอนานเลย”
“สิ่งนี้คืออะไรกันแน่?” เถียนหลินมองเส้นสีแดงในขวดเล็ก แล้วมองรูเจ็ดรูที่ไม่มีปราณปฐพีพ่นออกมาอีก ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“เส้นเนื้อ!” คนที่ตอบเถียนหลินคือคนแคระซุนคุน
“มีพลังชีวิตอยู่ อีกทั้งไม่รู้กี่หมื่นปีมานี้ ยอดผู้ฝึกฌานเผ่าประหลาดถูกผนึกและแผ่ขยายจิตสัมผัสออกมาข้างนอก เลยเกิดเป็นเส้นเนื้อที่มีสติปัญญาของตัวเอง…ดูๆ แล้วมันก็น่าอร่อยทีเดียว” คนแคระซุนคุนหัวเราะแล้วเก็บขวดเล็กไป
