Skip to content

สู่วิถีอสุรา 8

ตอนที่ 8 โคลนสีแดง

ห้ายอดเขามังกรทมิฬ แต่ละยอดแตกต่าง ยอดเขาที่มีน้ำลายมังกรทมิฬมากที่สุดอยู่ไม่ไกลจากเผ่าเขาทมิฬ หากเดินลึกเข้าไปอีกจะพบผู้คนจากเผ่าอื่นได้ค่อนข้างง่าย

ทว่าปกติแล้วซูหมิงจะอยู่แค่ตรงนี้ มีเพียงตอนที่ต้องไปเก็บสมุนไพรบางส่วนเท่านั้น ถึงจะเดินลึกเข้าไปด้วยความระมัดระวังและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

เบื้องหน้าในแววตาปรากฏยอดเขาควันลอยหนาทึบ นามเรียกขานคือยอดเขาเพลิงทมิฬ

ยอดเขานี้ตามตำนานกล่าวว่าด้านในมีเปลวเพลิงมหาศาล เมื่อนานมาแล้วเคยเป็นสถานที่สำคัญของหมานเพลิง แม้ปัจจุบันกาลเวลาจะผ่านไปหลายยุคสมัย ทว่าหากเข้าใกล้ก็ยังคงสัมผัสได้ถึงไอร้อนระอุ

ซูหมิงเคยชินกับยอดเขาเพลิงทมิฬ เขาเคยไปที่นั่นแล้วหลายครั้ง กระทั่งยังเคยพบกับคนจากเผ่าภูผาดำ หากไม่ใช่เพราะมีร่างกายปราดเปรียว เกรงว่าคงได้เป็นซากกระดูกนานแล้ว

ที่นั่นอยู่ใกล้เผ่าภูผาดำมาก อีกทั้งเผ่าภูผาดำและเผ่าเขาทมิฬยังมีความแค้นส่วนตัวกันมาหลายยุคสมัย ขนาดเผ่ายังใกล้เคียงกัน แม้ไม่มีสงครามครั้งใหญ่ ทว่าการปะทะเล็กๆ ระหว่างช่วงการล่าสัตว์ก็ยังคงดุเดือดส่งกลิ่นคาวเลือด

ซูหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นัยน์ตาเป็นประกาย เนิ่นนานกว่าจะละสายตาจากยอดเขาเพลิงทมิฬ แล้วรีบเดินตรงไปไม่ไกลนักจนมาถึงส่วนลึกของแท่นหินเรียบ ตรงตำแหน่งที่เว้าเข้าไปมีหินใหญ่หลายก้อน ซูหมิงยกหินออกก็พบว่าใต้หินมีของบางอย่างถูกทับไว้

มันคือคันศรแบบหยาบ!

แม้ว่าจะหยาบ ทว่าสายธนูหนาราวนิ้วมือกลับถูกดึงเป็นเส้นตรง แฝงไว้ด้วยความรู้สึกอันทรงพลัง

กล่าวถึงคันศร สำหรับเผ่าเขาทมิฬมีเพียงคนในกลุ่มล่าสัตว์เท่านั้นที่ใช้ได้ ส่วนคนอื่นยากจะครอบครอง ธนูของซูหมิงคันนี้เขาใช้สมุนไพรไปแลกชิ้นส่วนมา จากนั้นก็ประกอบมันขึ้นเองกับมือ ปกติจะเก็บมันไว้ที่นี่ ไม่ได้นำกลับชนเผ่า ความลับนี้มีเพียงเหลยเฉินเท่านั้นที่ทราบ

ซูหมิงถือคันศร ดวงตามีประกายวาบผ่าน ก่อนหยิบลูกศรแหลมห้าดอกจากใต้หินใหญ่ ลูกศรเหล่านี้เหลาขึ้นจากหิน ปกติซูหมิงมักจะมานั่งเหลามันอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มันแหลมคมยิ่งนัก

ซูหมิงนำลูกศรทั้งห้าดอกใส่ลงตะกร้าสานด้านหลัง ถือคันศรพร้อมเป่าปากทำเสียงเรียกเสี่ยวหง แล้วจึงชี้ไปยังภาพสมุนไพรที่เขาวาดบนพื้น

เสี่ยวหงเข้าใจความหมาย แยกเขี้ยวใส่แล้วทะยานไปด้านหน้า เปลี่ยนเป็นเงาสีแดง

ซูหมิงมีสีหน้าตื่นตัว ทะยานตามมันไปติดๆ หนึ่งคนหนึ่งวานรกะพริบวูบวาบหลายครั้ง ก่อนหายวับไป

หากเทียบกันเรื่องความชำนาญบนเขามังกรทมิฬ

ซูหมิงยังไม่อาจเทียบกับเสี่ยวหงได้ ด้วยการนำของมัน ยามตะวันอัสดง ในตะกร้าสานหลังซูหมิงก็เต็มไปด้วยสมุนไพรแล้ว

สมุนไพรเหล่านี้มีเจ็ดถึงแปดชนิด แต่ละชนิดได้มาจำนวนไม่น้อย ล้วนมีลักษณะคล้ายกับลวดลายที่ซูหมิงเห็น ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจ ชนิดไหนคล้ายก็เก็บกลับมาทั้งหมด

“เจ้าว่าที่นี่ยังมีสมุนไพรที่คล้ายอีกหรือไม่?” ยามนี้ตะวันลับหุบเขา ซูหมิงและเสี่ยวหงอยู่ในป่าทึบใกล้ยอดเขาเพลิงทมิฬ เขาชี้ไปยังดินเลนสีดำเบื้องหน้าพร้อมมองเสี่ยวหง

เสี่ยวหงพยักหน้า ทำท่าทางให้ซูหมิงดูอยู่นาน แล้วชี้ไปยังตะวันที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้า ซูหมิงตาเป็นประกาย นั่งยองลงจ้องมองบึงน้ำอย่างใจจดจ่อ รอจนกว่าตะวันจะลับฟ้า

เวลาผ่านไปช้าๆ แสงแดดในป่าอ่อนลงมาก กระทั่งนอกระยะสิบจั้งโดยรอบราวกับถูกความมืดกลืนกินก็มิปาน

ช่วงที่โดยรอบมืดมิด พลันปรากฏฟองจำนวนมากผุดขึ้นจากดินเลน ขยับแสงสีแดงวูบวาบราวกับเคลื่อนตัวด้วยความเร็วอยู่ข้างใน เหตุการณ์พิกลนี้ทำเอาซูหมิงขนลุกไปทั้งตัว ทว่าก็ยังคงนิ่ง

เขามองตาไม่กะพริบ ดูแสงสีแดงเคลื่อนตัวในดินเลนอย่างต่อเนื่อง ก่อนค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเป็นดอกตูมสีแดงหลายดอก ส่วนรากยังซ่อนอยู่ในเลน เห็นได้ชัดว่าแสงสีแดงที่เคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้มาจากการขยับส่วนรากของพวกมัน

ซูหมิงมองดอกตูมผุดขึ้นจากดินเลน และเห็นพวกมันผลิบานด้วยตาตัวเอง ส่งกลิ่นหอมที่ไม่อาจบรรยายได้ เพียงซูหมิงสูดดม พลันเกิดความรู้สึกโลหิตเดือดพล่านราวกับถูกแผดเผาไปทั้งตัว แทบจะพ่นไฟออกมา

ในขณะนั้นเอง เสี่ยวหงข้างๆ แผดเสียงร้องอย่างจริงจัง ซูหมิงพลันพุ่งไปเบื้องหน้าโดยไม่ลังเล คว้าเอาดอกสีแดงที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุด อีกมือถือมีดตัดสมุนไพรที่ทำขึ้นจากหินแหลม การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญยิ่งนัก พริบตาเดียวก็ตัดส่วนรากพร้อมกับดอกของมันออกมาได้ ก่อนวางลงในตะกร้าสาน

หลังจากจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว ซูหมิงอาศัยความปราดเปรียวของร่างกายถอยออกมาอย่างฉับพลัน แล้วรีบจากไปพร้อมกับเสี่ยวหง

เมื่อซูหมิงจากไป เสียงคำรามของสัตว์ป่าดังสนั่นจากใต้ดินเลน ดอกไม้แดงทั้งหมดหดเป็นดอกตูมพลันผลุบหายลงไปใต้ดิน ทว่าไม่นานมีโลหิตสีแดงสดซึมมาจากดินเลน ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว

ซูหมิงรีบหนีออกมาพร้อมกับเสี่ยวหง กระทั่งฟ้ามืดสนิท พวกเขาอยู่บนต้นไม้ใหญ่ อาศัยแสงจันทร์พลิกดูของที่ได้มาในวันนี้

สมุนไพรในตะกร้าสานมีเยอะมาก ซูหมิงดูแล้วก็ค่อนข้างใจพอใจ ในหัวเขาปรากฏภาพตอนหลอมสมุนไพรขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคาดหวังรอคอยขึ้นอีก

“น่าเสียดายไม่รู้ว่าสรรพคุณของโอสถชำระล้างเป็นอย่างไร…แต่ก็น่าจะไม่เลว!” ซูหมิงเลียริมฝีปาก สายตาจับจ้องไปยังสมุนไพรสองต้นในตะกร้าสาน

สีของพวกมันมองคราแรกแทบจะเหมือนกัน ล้วนเป็นสีแดง ทว่ามีจุดต่างคือต้นหนึ่งเป็นดอกหกกลีบ ส่วนอีกต้นหนึ่งเป็นดอกห้ากลีบ

ซูหมิงไม่รู้จักสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้ ในส่วนวัตถุดิบการหลอมโอสถชำระล้าง มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน โชคดีที่เสี่ยวหงพอเคยเห็นมาบ้าง จึงพาซูหมิงไปหาจนพบ

“แล้วอันไหนที่เป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมสมุนไพร…” ซูหมิงขมวดคิ้ว โคลงศีรษะกวาดมองสมุนไพรทั้งสองชนิด หนึ่งในนั้นเป็นดอกหกกลีบได้มาจากดินเลน นึกถึงตอนมันผลิบาน ซูหมิงแอบคิดว่าหากกินเข้าไป เกรงว่าท้องคงจะระเบิดทันที

ซูหมิงเก็บสมุนไพรกลับตะกร้าสานดังเดิม แล้วเอนกายนอนบนต้นไม้ หยิบผลไม้ป่ามากัดกิน พลางมองดาวบนท้องฟ้า สูดกลิ่นอายจากป่าทึบ ฟังเสียงนกร้องที่ดังเป็นบางคราว ราวกับตัวเขาเป็นหนึ่งเดียวกับป่า ความรู้สึกนี้ทำให้เขาสบายใจจริงๆ

เสี่ยวหงสางขนอยู่ด้านข้าง สอดส่ายสายตาไปรอบๆ ด้วยความตื่นตัว หนึ่งคนหนึ่งวานรเอนกายอยู่บนกิ่งไม้จนข้ามผ่านคืนนี้ไป

วันที่สองยามตะวันทอแสงแรก ในป่ายังคงมืดอยู่ มิหนำซ้ำยังมีหมอกปกคลุมไปทั่ว ซูหมิงและเสี่ยวหงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเพลิงทมิฬที่อยู่ไกลออกไป

ซูหมิงถือคันศรตลอดเวลา ท่าทางตื่นตัวยิ่งนัก

ส่วนเสี่ยวหงก็เหมือนว่าจะรับเชื้อมาด้วย ดูหวาดระวังเช่นเดียวกัน ยามตะวันขึ้นสุดฟ้า หมอกในป่าทึบหายไปราวกับหิมะ เบื้องหน้าซูหมิงปรากฏยอดเขารางๆ สีน้ำตาลทั้งลูก แผ่ไอร้อนเข้ามากระทบหน้า

ยิ่งตอนอยู่บนยอดเขา ควันดำลอยขึ้นเป็นกลุ่ม มองไกลๆ ดูโออ่ายิ่งใหญ่

“ยอดเขาเพลิงทมิฬ….” ซูหมิงพึมพำ

มองรอบๆ อย่างระมัดระวัง แล้วกระโดดขึ้นเขาไปโดยไม่ลังเล ก่อนหน้านี้เขาได้เตรียมตัวมาอย่างดี ใต้ฝ่าเท้ามีสมุนไพรขับความร้อนรองอยู่ไม่น้อย เขาพาร่างปีนสู่ยอดเขาด้วยความเร็ว แต่ถึงกระนั้นกลับไม่หย่อนความระมัดระวัง มีแต่ทวีเพิ่มมากขึ้น ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในช่วงที่ซูหมิงปีนถึงกลางยอดเขาและกำลังจะปีนต่อ พลันได้ยินเสียงร้องเบาๆ จากเสี่ยวหงที่ตามมาด้านหลัง

พอได้ยินเสียงร้อง ซูหมิงเคลื่อนไหวร่างกายโดยไม่ต้องขบคิด แนบชิดกับหน้าผาซ่อนตัวในซอกหิน ขาทั้งสองข้างค้ำเอาไว้ มือขวายกคันศร มือซ้ายหยิบลูกธนูอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างจบภายในเพียงชั่วอึดใจ ส่วนเสี่ยวหงตามเข้ามาแอบกับซูหมิงก่อนก้าวหนึ่งแล้ว

ซูหมิงหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววเย็นชา ตรงจุดนี้หากเจอคนจากเผ่าภูผาดำและถูกพบตัวเข้า จะต้องเกิดการปะทะรุนแรงถึงชีวิตแน่นอน

ไม่นานเสียงพูดคุยก็ดังเข้ามารางๆ และยังมีเสียงหินหล่นปะปนอยู่ด้วย

“เช้าขนาดนี้ให้ข้ามาขุดหินผุพวกนั้น ไม่รู้จะเอาไปทำบ้าอะไรกัน”

“เจ้านี่มันพูดไม่หยุดเลย ในเมื่อเป็นคำสั่งของจ้าวเผ่า เราก็ต้องทำ จริงสิ เจ้าได้ข่าวหรือไม่ว่าท่านปู่ทะลวงขั้นพลังแล้ว…”

“อืม เมื่อวานข้าก็ได้ยินคนในเผ่าคุยกัน เหมือนว่าท่านปู่ดูแปลกไป ตอนมองรู้สึกดูน่ากลัวขึ้น”

“เจ้าว่าที่ท่านจ้าวเผ่าให้เรามาขุดหินพวกนี้ จะเกี่ยวกับท่านปู่หรือไม่?”

เสียงพูดคุยค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แล้วไกลออกไปทีละน้อย ซูหมิงแนบชิดซอกเขาจนกระทั่งคนทั้งสองเดินไกลพอสมควร จึงถอนหายใจ

“จ้าวหมานแห่งเผ่าภูผาดำทะลวงขั้นพลังแล้ว…ข้าจำได้ ท่านปู่เคยกล่าวว่าจ้าวหมานแห่งเผ่าภูผาดำอยู่ลำดับแปดขั้นรวมโลหิต แต่ทว่ากลับมีเคล็ดวิชาหมานชั่วร้าย จึงสามารถเทียบเคียงกับท่านปู่ได้” ซูหมิงดวงตาพร่างพราว เตรียมกลับไปบอกท่านปู่ถึงเรื่องดังกล่าว

รออยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่าคนทั้งสองเดินห่างไปไกล ซูหมิงจึงคิดปีนขึ้นสู่ยอดเขาต่อ ทว่าในขณะนั้นเองเสี่ยวหงที่อยู่ข้างๆ กลับดึงชายเสื้อของเขา

ซูหมิงหันไปมองก็พบว่าเสี่ยวหงมีสีหน้าดูตื่นเต้น และกำลังชี้เข้าไปในรอยแยกที่พวกเขาอยู่ ด้านในมีถ้ำเล็กสร้างโดยฝีมือธรรมชาติ แผ่ไออุ่นกระจายเบาบาง

ซูหมิงเพ่งสายตามอง ล้มเลิกเรื่องปีนเขาต่อในทันที เขาเดินเข้าใกล้ถ้ำเล็กแล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนวางตะกร้าสานลงแล้วถือมันมุดเข้าไป ส่วนเสี่ยวหงก็มุดตามหลังเข้ามาเช่นเดียวกัน

ถ้ำเล็กนี้หากไม่ใช่ซูหมิงผู้มีร่างกายผอมบาง แต่เป็นคนหมาน คงไม่มีทางผ่านเข้าไปได้อย่างแน่นอน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version