Skip to content

สู่วิถีอสุรา 865

ตอนที่ 865 เผ่าเชมันปรากฏตัวอีกครั้ง

“ฟ้ากระจ่างดาวที่กว้างใหญ่เอ๋ย ข้าต้องสรรเสริญเจ้าซูชั่วร้ายผู้ยิ่งใหญ่ ความชั่วร้ายของเขาคือแสงสว่างที่ผืนฟ้านี้ไม่อาจปกปิด คือความฝันที่ทุกสิ่งมีชีวิตไม่อาจเสาะหา”

“จักรวาลไร้พรมแดนเอ๋ย ข้าต้องสรรเสริญเจ้าซูชั่วร้ายผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าย่ากระเรียน ความชั่วร้ายของเขาปกคลุมจักรวาล ทำให้ฟ้ากระจ่างดาวเป็นสีดำ ความชั่วร้ายของเขาปกคลุมทุกสิ่งมีชีวิต ทำให้เส้นผมของผู้คนเป็นสีดำเช่นกัน

ความชั่วร้ายของเขายังเป็นตัวแทนความยึดมั่นของข้า เจ้าซูผู้ชั่วร้าย…จงส่งความชั่วร้ายต่อไปเถอะ จงส่งความมืดดำสู่ทุกสิ่งมีชีวิต ข้าจะติดตามเจ้า เดินบนเส้นทางสีดำเส้นนี้ไปกับเจ้า…”

กระเรียนขนร่วงมองแผ่นหลังซูหมิงด้วยความศรัทธา คอยตามอยู่ด้านหลังเขา ตอนนี้มันเลื่อมใสซูหมิงอย่างยิ่ง กระทั่งในสายตามัน เขาเป็นดวงไฟส่องสว่าง คอยชี้นำให้กระเรียนขนร่วงผู้ยิ่งใหญ่เดินไปสู่จุดสูงสุดของหินผลึก

มันแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา นั่นคือน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ คือความตื่นเต้นที่พบคนบนวิถีทางเดียวกัน หาคนที่ชั่วร้ายกว่ามันพบ และตื่นเต้นที่มีคนร่วมอุดมการณ์

เสียงตื่นเต้นและปลงอนิจจังของกระเรียนขนร่วงดังก้องอยู่ในความคิดซูหมิง คนอื่นไม่ได้ยิน ทว่าก็ยังทำให้เขารู้สึกแปลกยิ่งนัก จึงกระแอมเสียงทีหนึ่ง แล้วก้าวเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้ายพร้อมกันภายใต้การเชิญของอวี้เฉินไห่

ส่วนอวี้หลัวกับชายชราก็ถูกอีกสองคนพาตัวไป ช่วงที่แสงจากอาคมเคลื่อนย้ายขยับวิบวับเด่นชัด ทุกคนก็หายวับไปพร้อมเสียงครึกโครมดังสนั่น

ซูหมิงดูเหมือนสบายๆ แต่ความจริงในใจกลับตื่นตัวไม่น้อยลงเลย พริบตาที่วงแหวนอาคมเปิด เขาเตรียมลงมือแล้วหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล

ถึงอย่างไรในมุมมองของคนอื่น ขั้นพลังซูหมิงก็คลุมเครือเล็กน้อย ทั้งเหมือนเจ้าปกครองโลกตอนต้น และเหมือนเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ทำให้แยกความจริงไม่ออก เว้นแต่จะเป็นคนที่เห็นเขาสู้กับคนอื่นด้วยตาตัวเอง หรือเผชิญหน้ากับแรงกดดันทั้งหมดของเขาด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วก็ทำได้เพียงอาศัยความรู้สึกคาดเดาเอา ต่อให้เป็นชายชราที่ถูกผนึกและรีดไถก็ยังมองความจริงของซูหมิงไม่ออก ทำได้เพียงคาดเดาว่าน่าจะอยู่ระดับเจ้าปกครองโลกตอนปลาย ทว่าก็ไม่ได้มั่นใจนัก

ส่วนอวี้เฉินไห่ยิ่งมองไม่ออกเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจุดนี้จึงกลายเป็นกลยุทธ์ลับของซูหมิง หากผสานรวมกับต้นกำเนิดจิต เขาจะใช้พลังอันน่ากลัวของเจ้าปกครองโลกตอนปลายได้ และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขากล้ามายังดาวทมิฬ

แสงจากอาคมเคลื่อนย้ายบดบังสายตา ครั้นแสงค่อยๆ หายไป ซูหมิงรู้สึกถึงพลังของการเคลื่อนย้ายวนเวียนรอบๆ ช่วงที่เสียงระเบิดข้างหูเบาลงทีละน้อย เขาพลันกระจายจิตสัมผัสออกไป

ฉับพลันนั้น ภาพรอบๆ ลอยขึ้นมาในความคิด

ภาพนั้นคือในวิหารใหญ่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง โดยรอบมีเสามังกรวนรอบอยู่เก้าต้น ทุกต้นมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน เก้าคนนี้ไม่แผ่กลิ่นอายพลังใดๆ ออกมา ราวกับคนตาย แม้ไม่มีอันตรายใดๆ ซูหมิงก็ยังไม่ดึงจิตสัมผัสกลับ จนกระทั่งเมื่อแสงอาคมเคลื่อนย้ายตรงหน้าหายไปจนหมดร่างของทุกคนมายืนอยู่ในวิหารใหญ่นั้น เขาถึงก้มหน้ามองใต้เท้าแวบหนึ่ง

พื้นทั้งหมดเป็นอาคมเคลื่อนย้ายซับซ้อน เห็นรางๆ ว่าบนวงแหวนอาคมมีคำว่าอวี้ (玉) อ่อนจางอยู่ ส่วนจุดอื่นเขามองไม่เห็นเงื่อนงำอะไร ถึงอย่างไรเขาก็เข้าใจเรื่องวงแหวนอาคมไม่มากนัก หากหู่จื่ออยู่ที่นี่คงจะมองเห็นหัวใจสำคัญของวงแหวนอาคมนี้ได้ในแวบเดียว

“ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลอวี้” อวี้เฉินไห่ยังคงเป็นมิตร เขากล่าวยิ้มๆ กับซูหมิงพลางผายมือขวาไปข้างหน้า

“สหายซู แซ่อวี้จะพาเจ้าไปยังที่พักก่อน หลังจากนั้นเราค่อยคุยกัน เชิญ!” อวี้เฉินไห่ว่าพลางเดินออกจากวงแหวนอาคมก่อน ซูหมิงพยักหน้าแล้วเดินตามไป ระหว่างนั้นก็กวาดสายตามองเก้าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่รอบๆ วงแหวนอาคม

“เก้าคนนี้คือองครักษ์วงแหวนอาคม พวกเขาฝึกฝนวิชาพิเศษบางชนิด ไม่มีพลังชีวิต เหลือแต่กลิ่นอายมรณะ แต่ทุกคนใช้พลังของเจ้าปกครองโลกตอนกลางได้” อวี้เฉินไห่ยิ้มน้อยๆ อธิบายอย่างโอ้อวด

“ที่นี่คือสถานที่สำคัญ แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนี้” ซูหมิงมีสีหน้าเหมือนปกติ อวี้เฉินไห่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าตอนที่ซูหมิงมองเก้าคนเมื่อครู่นี้ นัยน์ตาเขาแอบเป็นประกายเล็กน้อยจนไม่อาจตรวจพบ

บางทีคนอื่นอาจไม่เห็นเงื่อนงำจากเก้าคนนี้ ทว่าซูหมิงรู้สึกถึง…เสี้ยวกลิ่นอายพลังเผ่าเชมัน!

เก้าคนนี้ไม่ได้ฝึกฝนวิชาพิเศษอะไร พวกเขาคือหุ่นเชิดเชมันที่มีเพียงเชมันผู้ดูดวิญญาณเท่านั้นถึงจะหลอมขึ้นมาได้!

‘เป็นเชมันระดับใดกันแน่ ถึงหลอมหุ่นเชิดเชมันที่มีพลังเจ้าปกครองโลกตอนกลางออกมาได้…’ ยามซูหมิงละสายตากลับ เขาก็ไม่รู้สึกแปลกตากับดาวทมิฬอีก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย

ไม่ใช่ว่าเขาเคยมาที่นี่ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกถึงกลิ่นอายพลังเผ่าเชมัน

‘ไม่นึกเลยว่าที่นี่จะมีเผ่าเชมันอยู่ ทว่าเหตุใดเผ่าเชมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เผ่านี้เปลี่ยนมาจากเผ่าหมาน…ใช่แล้ว เผ่าหมานก็เคยเป็นหนึ่งในเผ่าประหลาดของโลกแท้จริงที่ห้า

ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตกว้างใหญ่นอกดาวทมิฬมีเผ่าประหลาดอยู่จำนวนมาก…บางทีที่นั่นอาจมีเผ่าเชมันอยู่!

มองจากจุดนี้ เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวเป็นคนแรกที่ออกมาตามหาทางเข้าสู่โลกแท้จริงที่ห้า ถ้าอย่างนั้นเขา…จะอยู่ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตหรือไม่ หากอยู่ เช่นนั้นเขา….ตอนนี้เป็นหรือตาย จะอยู่บนดาวทมิฬหรือไม่ หรือจะอยู่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิต?’ ซูหมิงคิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นานา จากหุ่นเชิดวิญญาณเชมันเก้าคนนี้

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเกิดความสนใจต่อดาวทมิฬอย่างยิ่ง อีกทั้งเหมือนจะเกี่ยวกับแดนหมานในความทรงจำด้วย

ซูหมิงเก็บความคิดไป ขณะที่เดินออกมาจากวิหารใหญ่ เขาเห็นเมฆขาวและฟ้าคราม นี่เป็นครั้งแรกในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตที่ได้เห็นฟ้าครามเช่นนี้

ดาวแท้จริงอื่นๆ ส่วนใหญ่ฟ้าจะอึมครึม ต่อให้ไม่อึมครึม สีสันของฟ้าก็จะขุ่นมัวไม่ชัดเจน มีเพียงฟ้าของที่นี่ที่เป็นสีครามเข้มเหมือนผ้าไหม ทำให้อดเพ่งมองขึ้นไปมิได้

สายลมแผ่วพัดเส้นผมซูหมิงอย่างเนิบช้า ในสายลมมีความเย็นสบายและพลังวิญญาณแฝงอยู่ เมื่อสูดเข้าไป รูขุมขนทั่วร่างจะเหมือนถูกเปิด เขาไม่ได้สัมผัสสภาพอากาศเช่นนี้มานานมากแล้ว

ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งต่างกับดาวทั้งหมดในสี่เขตดาราใหญ่ของแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตอย่างสิ้นเชิง ที่นี่…เหมือนกับแดนในอุดมคติ

เวลานี้อวี้เฉินไห่เผยรอยยิ้มบาง ดูไปเหมือนปกติ ทว่าความจริงแล้วช่วงที่ซูหมิงเดินออกจากวงแหวนอาคม เขาก็สังเกตอีกฝ่ายตลอด ถึงไม่เห็นนัยน์ตาขยับประกายของอีกฝ่ายยามมองหุ่นเชิดเชมันเก้าคน แต่ก็เห็นอีกฝ่ายเพ่งมองฟ้ารวมถึงสูดลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดยิบย่อย ทว่าอวี้เฉินไห่คิดอยู่เสมอว่ารายละเอียดจะตัดสินทุกอย่าง จากรายละเอียดเล็กๆ นี้ เขามีความมั่นใจอยู่เจ็ดส่วนว่าซูหมิงเพิ่งเคยมาดาวทมิฬเป็นครั้งแรก

“ที่นี่ต่างกับดาวอื่นที่แซ่ซูเคยไปมาอย่างสิ้นเชิง” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวเนิบๆ ว่ากันจริงๆ คือเขาไม่เคยไปดาวปกติ ก่อนหน้านี้ก็อยู่แดนมรณะหยิน พอออกมาก็ถูกส่งไปยังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ดาวที่เคยไปมาล้วนถูกทิ้งร้าง กล่าวได้ว่าดาวทมิฬเป็นดาวแท้จริงดวงแรกที่ซูหมิงขึ้นมาเหยียบ

“ในเมื่อสหายซูคิดจะอาศัยอยู่ที่ดาวทมิฬ จากนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกฌานแห่งดาวทมิฬ ใช้ทุกอย่างของที่นี่ได้ในระยะยาวเลย” อวี้เฉินไห่ยิ้ม ในใจมั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าซูหมิงเพิ่งมาเป็นครั้งแรก

“สหายซู พวกเราไปที่พักกันก่อนดีกว่า ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าอีกเล็กน้อย”

ซูหมิงพยักหน้า ละสายตาจากฟ้าแล้วตามอวี้เฉินไห่ไปยังที่ไกลๆ ตลอดทางรอบๆ เป็นหออาคารทั้งหมด ภายใต้การแผ่จิตสัมผัสของเขา มีอยู่หลายที่ที่มีการต่อต้าน ขั้นพลังจริงๆ ของเขายังสู้กายเนื้อไม่ได้ ดังนั้นจิตสัมผัสจึงด้อยกว่าเจ้าปกครองโลกตอนปลายมาก เพียงกวาดไปครั้งเดียวก็ดึงกลับมาและไม่มองอีก

ทว่าจากการกวาดไปแบบง่ายๆ นี้ เขาก็มองออกว่าที่นี่เป็นดินแดนกว้างใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างอยู่บนที่ราบ ไกลออกไปยังมีภูเขาสีเขียวขมุกขมัว

ไม่นานอวี้เฉินไห่ก็หยุดฝีเท้าอยู่นอกลานเล็กของหอสองชั้นแห่งหนึ่ง

“สหายซูใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราวไปก่อน ข้าต้องไปรายงานผู้อาวุโสว่าสหายซูจะเป็นแขกชั่วคราวของข้า หากราบรื่นก็จะได้ตรามาเลย แต่หากไม่ราบรื่น…ก็ต้องให้เจ้าช่วยไปทดสอบด้วย

เรื่องนี้ต้องรบกวนสหายซู หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา” อวี้เฉินไห่ประสานมือคารวะ สีหน้ายังคงจริงใจ

“เรื่องนี้ช้ามากไม่ได้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจะมีการตัดสิน ระหว่างนั้นอยากให้สหายซูพยายามอย่าออกไปข้างนอกด้วย ต้องขออภัยที่เสียมารยาทเช่นนี้ เจ้าโปรดอย่าถือสา ส่วนเรื่องพัน…พันล้านหินผลึก ข้าจะให้คนไปจัดการ ไม่นานก็น่าจะมีคนส่งหินผลึกมาให้” อวี้เฉินไห่กังวลว่าซูหมิงจะไม่พอใจ จึงอธิบายอย่างละเอียดนัก

“ข้าจะอยู่แต่ในห้อง” ซูหมิงมองอวี้เฉินไห่แวบหนึ่ง เขาไม่ได้รังเกียจอะไรคนคนนี้ อีกฝ่ายเกรงใจตนอย่างยิ่งมาตลอด เขาจึงพยักหน้าให้

เห็นซูหมิงตกลง อวี้เฉินไห่ก็ยิ้มพลางคารวะ ก่อนจะหมุนตัวจากไป

ซูหมิงเข้าไปในลานที่พัก แต่ไม่ได้เข้าไปในหอ เขาเพียงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางลาน รอบๆ เงียบสงบ มีสายลมเบาพัดมาบ้าง เขามองฟ้า เหมือนนั่งฌาน เหมือนใคร่ครวญ แล้วค่อยๆ ลืมเวลาไป

ร่างเงาชื่อหั่วโหวรวมขึ้นมาข้างๆ เขาโค้งตัวลงครึ่งหนึ่ง คอยสอดส่ายรอบๆ อย่างตื่นตัว

กระเรียนขนร่วงก็นอนหมอบอยู่ใต้เท้าซูหมิง กลอกตาไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทว่ามันจะมีน้ำลายไหลเป็นบางครั้ง จากตรงนี้จะรู้ว่ามันกำลังคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับหินผลึก

มังกรยมโลกเสี่ยวหวงยังคงนอนหลับอยู่ในถุงเก็บวัตถุ แต่อาการบาดเจ็บบนตัวมันหายดีหมดแล้ว น่าจะใกล้ฟื้นเต็มที

หนึ่งชั่วยามต่อมา นัยน์ตาชื่อหั่วโหวขยับประกาย ร่างเขาค่อยๆ เลือนราง ทว่าสายตายังคงจ้องประตูลาน ครู่ต่อมามีเสียงเคาะประตูแว่วมา ซูหมิงสะบัดมือขวาเปิดประตูลานออก

มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายหนุ่มคนนี้คือหนึ่งในสองคนที่ติดตามอวี้เฉินไห่ก่อนหน้านี้ เขามีสีหน้าเคารพอย่างยิ่ง หลังจากวางกล่องไม้กับถุงเก็บวัตถุใบหนึ่งตรงหน้าเขาด้วยความนอบน้อมแล้วก็คารวะแล้วจากไป

กระเรียนขนร่วงเบิกตากว้าง พุ่งตรงไปยังถุงเก็บวัตถุอย่างตื่นเต้น แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ ถุงเก็บวัตถุกลับลอยขึ้นเองและมาตกอยู่ในมือซูหมิง

ครั้นเห็นถุงเก็บวัตถุถูกเอาไป กระเรียนขนร่วงเบนสายตาอีกครั้ง มันพุ่งไปยังกล่องไม้แล้วรีบเปิดออก ทันทีที่เปิด มีกลิ่นคาวเลือดกระจายไปรอบๆ ในนั้นบรรจุศีรษะคนเอาไว้คนหนึ่ง

เป็นศีรษะชายชราคนที่รับปากว่าจะให้หินผลึกแก่เขา

ซูหมิงมองศีรษะนั้นแวบหนึ่ง แล้วใช้จิตสัมผัสกวาดไปยังถุงเก็บวัตถุ

“หินผลึกสิบเจ็ดล้านก้อน นี่คือทั้งหมดของเขารึ” ซูหมิงเก็บถุงเก็บวัตถุกลับไปโดยไม่สนใจกระเรียนขนร่วงที่มองตนอย่างคับแค้นใจ จากนั้นหลับตานั่งฌาน

‘ย่ากระเรียนมันเถอะ หินผลึกเยอะขนาดนี้ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี…’ เห็นซูหมิงไม่สนใจตน มันจึงกัดฟันด้วยความโมโห

ฟ้าค่อยๆ มืดครึ้ม ลมหายใจก่อนหน้านี้ยังเป็นฟ้าสีครามหมื่นลี้อยู่ แต่ไม่นานก็เริ่มปรากฏเมฆดำ ตอนที่ตะวันลาลับภูเขา ฟ้าก็ถูกคลุมด้วยเมฆดำแล้ว

เสียงฟ้าผ่าดังแว่วมา เหมือนจะมีสายฝนกระหน่ำ

ซูหมิงลืมตาขึ้น ตอนที่มองฟ้า ประตูลานบ้านถูกเปิดออก อวี้เฉินไห่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง

“สหายซู พวกนี้คือหินผลึกที่แซ่อวี้รับปากเอาไว้ พวกเขาทำเกินไปแล้ว ครั้งนี้ข้าไม่ได้เป็นเจ้าภาพงานประมูลแล้ว!” อวี้เฉินไห่หยิบถุงเก็บวัตถุออกมาหนึ่งใบ ในใจอึดอัดยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะระงับเอาไว้ไม่หยุด ป่านนี้คงระเบิดไปนานแล้ว

“ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน”

ซูหมิงกล่าวราบเรียบ พลางละสายตาจากฟ้ามามองตาอวี้เฉินไห่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version