ตอนที่ 867 เสียงแห่งวิถีเต๋า
“ต่อให้แซ่ซูยังไม่บรรลุเต๋า ข้าก็ไม่มีนิสัยก้มคารวะคนอื่นง่ายๆ” นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกายเย็นชา เขาแค่นเสียงหึทีหนึ่งแล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว
ในเมื่อตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของตระกูลอวี้ อีกทั้งเขายังอยากปักหลักบนดาวทมิฬให้เร็วที่สุดด้วย เขาต้องการที่มั่น ที่มั่นนี้คือตระกูลอวี้ คืออวี้เฉินไห่
ด้วยที่มั่นนี้ เขาจะขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้ฝึกฌานของดาวทมิฬได้โดยตรง หนำซ้ำฐานะจากคนนอกจะเปลี่ยนเป็นคนของดาวนี้ เช่นนี้จึงสะดวกแก่เขาในการตามหาเบาะแสเกี่ยวกับกระเรียนขนร่วง และยังได้รับคำตอบที่มากขึ้นเกี่ยวกับการปรากฏตัวของเผ่าเชมันด้วย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงช่วยอวี้เฉินไห่ ยามนี้เผชิญหน้ากับการยั่วยุ เขาไม่เลือกจัดการแบบเงียบๆ อีก แต่จะสร้างเรื่องให้ใหญ่ขึ้นอย่างมีขอบเขตจำกัด
ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชาพร้อมเดินหน้าหนึ่งก้าว ดวงจิตแก่กล้าพลันระเบิดมาจากตัวเขา ดวงจิตนี้เกิดจากวิญญาณเขา ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง นี่คือดวงจิตที่ใช้ต่อต้านกับดวงจิตเอ้อชางและยึดร่างมันมาได้
ดวงจิตเกิดจากวิญญาณ กระแสจิตเกิดจากขั้นพลัง สองสิ่งนี้ต่างกัน ในด้านแก่นสารเหมือนไร้รูปร่าง แต่ความจริงกลับทำให้เกิดดวงวิญญาณที่น่าเกรงขามได้
ด้านกระแสจิต ซูหมิงไม่อาจเทียบกับกระแสจิตเหล่านี้ที่กำลังกดทับลงมายังตน แต่ในด้านดวงจิต คนที่ส่งกระแสจิตมาเหล่านี้เป็นเหมือนหิ่งห้อยที่กล้าประชันแสงสว่างกับดวงจันทร์ ช่างไม่รู้จักประมาณตน
ครั้นซูหมิงระเบิดดวงจิตออกไป ก็เกิดการต่อต้านไร้รูปขึ้นในพริบตา มันขยายออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นใจกลาง มวลอากาศรอบกายบิดเบี้ยว ระลอกคลื่นกระจายรอบทิศอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนึ่งก้าวเดินหน้าของเขา ชั่วขณะที่เหยียบลง ฟ้าดินถอดสี ท้องนภามัวหมอง
ช่วงที่เกิดเสียงระเบิดดังไปรอบๆ กระแสจิตหลายสายที่กดทับลงมาถูกปะทะจนม้วนถอยไปในทันที
อวี้เฉินไห่ตามอยู่ด้านหลังซูหมิง พอเห็นทุกอย่างกับตาแล้ว เขาลมหายใจกระชั้น สายตาที่มองซูหมิงแฝงด้วยความตื่นตะลึงและดีใจ
ตั้งแต่เริ่มแรกเขาก็สนใจซูหมิงอย่างมากอยู่แล้ว หลังผ่านเรื่องนกนางแอ่นมาก็ยิ่งเกิดความเคารพยำเกรง ทว่าทุกอย่างไม่อาจเทียบกับความตื่นตกใจในเวลานี้ได้
ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเห็นซูหมิงลงมือเป็นครั้งแรกจริงๆ!
เขารู้ขั้นพลังของเหล่าผู้อาวุโสที่ส่งกระแสจิตมาเมื่อครู่นี้ดี และก็เป็นเพราะรู้ เขาจึงเกิดความตะลึงกับความแกร่งของซูหมิง
แทบเป็นช่วงที่กระแสจิตเหล่านั้นม้วนถอยไป ก็มีเสียงคำรามต่ำแว่วมาจากภูเขาวิถีเต๋า ก่อนมีร่างเงาห้าคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินมาหาซูหมิง
เมื่อพวกเขามาถึง ต่างก็ใช้วิชาอภินิหารทันที ทำให้ร่างกายพวกเขาเหมือนกลายเป็นกระบี่คมกริบ จิตสังหารกระจายไปรอบๆ
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากแซ่ซูบรรลุเต๋า พวกเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติ ต่อให้นี่คือภูเขาวิถีเต๋า ก็ไม่มีคุณสมบัติให้แซ่ซูกราบไหว้” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ก่อนเดินก้าวที่สอง ทันทีที่ก้าวลง ฝ่ามือในดวงตาขวาซูหมิงขยับวิบวับ
โครม!
ท้องฟ้าเปลี่ยนไป พลันปรากฏมือยักษ์ขึ้นและกดลงมายังพื้นดิน กล่าวเหมือนช้า และในพริบตาเดียวนั้น ฝ่ามือก็เข้าปะทะกับอภินิหารของห้าคนพร้อมกัน
โครม โครม โครม!
พายุคลั่งกวาดไปรอบๆ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ฝ่ามือยักษ์สลายไปกลางฟ้ากระจ่างดาว ห้าคนที่บินมาล้วนตัวสั่นสะท้าน ร่างกายหยุดชะงักกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนเผยใบหน้าของห้าคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นชายชราที่ตอนนี้มีสีหน้าทะมึนทึบ สายตาที่มองซูหมิงมีความตกใจระคนลังเลใจ
ทางซูหมิง ระหว่างเกิดเสียงโครมคราม ขณะเดียวกับที่ฝ่ามือยักษ์หายไป เขาก็เดินก้าวที่สาม ทุกก้าวจะทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน จนกระทั่งเดินก้าวสามไปแล้ว บนใบหน้าเขามีเลือดฝาด
ห้าคนนี้มีสามคนอยู่จุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง และมีอีกคนอยู่เจ้าปกครองโลกตอนกลางสมบูรณ์ ส่วนอีกคนก้าวสู่ตอนปลายไปครึ่งก้าวแล้ว
ห้าคนนี้ร่วมมือกันเทียบเท่ากับการลงมือของเจ้าปกครองโลกตอนปลายหนึ่งคน
ซูหมิงเหมือนจะเสียเปรียบ ทว่าอวี้เฉินไห่กลับตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขารู้จักอภินิหารที่ผู้อาวุโสห้าคนนี้ในตระกูลใช้ร่วมมือกันสู้กับซูหมิงดี ทว่าการต่อสู้แบบนี้ พวกเขาดูอยู่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ทว่าความจริงถึงซูหมิงจะถอยไป แต่กลับไม่บาดเจ็บเลย นี่ยืนยันได้ถึงความแกร่งของเขา
สายตามองผู้อาวุโสห้าคนในตระกูลอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าทะมึนทึบและเกิดความกลัวต่อซูหมิง อวี้เฉินไห่จึงใคร่ครวญในใจอยู่หลายครั้ง ก่อนเดินออกไปหลายก้าวแล้วกล่าวขึ้นทันที
“ท่านบรรพบุรุษทั้งห้าท่าน นี่มันหมายความว่าอย่างไร!”
“เป็นพวกท่านที่เสนอให้ทดสอบ ตอนนี้ผู้เยาว์พาผู้อาวุโสซูผู้มาเยือนของข้ามาแล้ว พวกท่านยังจะขวางไม่ให้ทดสอบอีกรึ! ถึงแซ่อวี้จะเป็นผู้เยาว์ในตระกูล แต่ก็รู้กฎตระกูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแจ่มชัด!” อวี้เฉินไห่เรียกซูหมิงว่าผู้อาวุโส พร้อมทั้งวางตัวให้ด้อยลงและมีเจตนายกฐานะซูหมิงให้สูงขึ้น
ตอนนี้เสียงเย็นชาดังกึกก้อง ห้าคนบนฟ้าแค่นเสียงหึเย็นชาพร้อมกัน เพราะความลังเลในใจเกี่ยวกับความแกร่งของซูหมิง ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครลงมืออีก ชายชราผมขาวหนึ่งในนั้นมองซูหมิงอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วชี้ไปยังภูเขาวิถีเต๋า
“ในเมื่อเจ้าอยากจะบุกสามวิถีสวรรค์ เช่นนั้นก็เชิญ ที่นี่คือด่านแรก!” ซูหมิงใช้ศักยภาพแสดงพลังแล้ว นั่นคือความแกร่งที่ห้าคนนี้ตื่นตกใจ ทำให้เวลานี้พวกเขาไม่สร้างความยุ่งยากให้อีก และยังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ให้คุกเข่ากราบไหว้เมื่อครู่ด้วย
ในมุมมองพวกเขา อีกฝ่ายช่างอวดดียิ่งนักที่จะบุกสามวิถีสวรรค์ ไม่รู้กี่ปีมานี้ คนในตระกูลอวี้ที่ทำสำเร็จมีน้อยอย่างยิ่ง ต่อให้อีกฝ่ายมีขั้นพลังไม่ธรรมดา ทว่าคนที่มีขั้นพลังสูงกว่าอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะไม่มีใครผ่านสามวิถีสวรรค์ แต่สุดท้ายคนที่ทำสำเร็จมีไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าความแข็งอ่อนของขั้นพลังไม่ใช่จุดสำคัญในการบุกสามวิถีสวรรค์
กระทั่งพวกเขายังจินตนาการไว้ว่าเมื่ออีกฝ่ายเข้าไปในภูเขาวิถีเต๋า อีกไม่นานก็จะสะบักสะบอมออกมา ถึงตอนนั้นก็จะรู้เองว่าตนไม่รู้จักประมาณตนและรู้สึกอับอายในตัวเอง
ซูหมิงมองภูเขาวิถีเต๋าแวบหนึ่ง
“ภูเขาวิถีเต๋านี้เดิมทีไม่ใช่ของตระกูลอวี้ แต่มาจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ตอนนั้นบรรพบุรุษในตระกูลนำกลับมา มีอีกชื่อหนึ่งว่าวิถีเต๋ากักค้างคาว
นี่คือด่านแรกของสามวิถีสวรรค์ จากนี้ยังมีด่านที่สอง มีชื่อว่าตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียง ทุกอย่างต้องไหว้วานผู้อาวุโสแล้ว” อวี้เฉินไห่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคารวะซูหมิงลึกๆ
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ละสายตาจากภูเขาวิถีเต๋ามามองอวี้เฉินไห่แวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบๆ
“ไม่ว่าในใจเจ้าจะคิดอะไรอยู่ อย่าลืมขนนกนางแอ่น” ซูหมิงกล่าวพลางสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินไปยังภูเขาวิถีเต๋า ร่างกายเหมือนกับสายรุ้งเข้าไปใกล้ภูเขาในพริบตา ก่อนบินขึ้นไปยังปากใหญ่ที่อ้าอยู่ของใบหน้าดุร้ายคล้ายกับผีร้ายบนยอดเขา
เสียงซูหมิงยังคงก้องกังวานอยู่ข้างหูอวี้เฉินไห่ เขากุมมันเอาไว้ในใจ เสียงนี้ราวกับประทับตราลงในสมอง คงอยู่นานไม่เลือนหาย สุดท้ายก็กลายเป็นอักขระสีม่วงอมทองตัวหนึ่ง ขณะอวี้เฉินไห่กำลังหวาดกลัว มันก็ฝังลึกในความคิด ราวกับภาพมายา ราวกับความจริง เขาแยกไม่ออกเลย
เมื่อร่างเงาซูหมิงหายไปบนภูเขาวิถีเต๋า ชายชราห้าคนแห่งตระกูลอวี้บนฟ้าต่างนั่งขัดสมาธิลง ไม่ได้สนใจอวี้เฉินไห่แม้แต่น้อย นอกจากพวกเขาแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครอื่นอีก
เดิมทีเรื่องการบุกสามวิถีสวรรค์ถือเป็นเรื่องใหญ่ในตระกูลอวี้ ทว่าพอเวลาผ่านไปและเริ่มมีคนล้มเหลวอยู่เรื่อยๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสิ่งของที่จัดแสดงไว้ หากไม่ใช่เพราะมีกฎตระกูลกำหนดไว้ว่าคนในตระกูลทุกคนต้องพิชิตมันในชีวิตนี้ อีกทั้งหากผู้มาเยือนอยากจะเป็นผู้มาเยือนอาวุโส นี่ก็เป็นหนทางเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าคงไม่มีใครคิดถึงสามวิถีสวรรค์
ดังนั้นแล้ว นี่จึงทำให้เรื่องการบุกสามวิถีสวรรค์ที่ควรจะสร้างความสนใจให้กับตระกูลอวี้กลายเป็นอย่างตอนนี้ไป
“ในสามวันเขาจะต้องพ่ายแพ้ออกมาอย่างแน่นอน พวกเรารอที่นี่แค่สามวันก็พอ”
“สามวัน? ถึงเขาจะมีขั้นพลังไม่ธรรมดา ทว่าในด่านแรก ไม่ว่าจะเป็นผู้มาเยือนหรือคนในตระกูล คนที่ยืนหยัดได้มากกว่าสิบวันมีไม่กี่คนเท่านั้น คนที่เหลือมากสุดก็เจ็ดวัน ในนั้นมีส่วนใหญ่ครึ่งวันหรือวันเดียวก็ล้มเหลวแล้ว
ดูจากท่าทางแล้ว เขาคงอยู่นานสุดแค่วันเดียว”
“ก็ใช่ จากประสบการณ์ก่อนหน้านี้ อยู่เกินสิบวันก็ถือว่าผ่านด่านแรกและจะปรากฏเสียงแห่งวิถีเต๋า ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้มีคนทำสำเร็จไม่เท่าไรเอง เมื่อครู่เขาอวดดีนัก ไม่รู้ว่าออกมาแล้วจะยังเป็นแบบเดิมหรือไม่”
ขณะที่ห้าคนนี้กำลังสนทนากัน อวี้เฉินไห่นั่งฌานเงียบๆ อยู่ไกลๆ เขามองภูเขาวิถีเต๋าด้วยความตึงเครียดในใจยิ่ง เขาหวังว่าซูหมิงจะทำสำเร็จ กระทั่งความหวังในใจยังกลายเป็นความเฝ้าปรารถนาอย่างแรงกล้า
ขณะอวี้เฉินไห่รออยู่ เวลาก็ผ่านไปอย่างช้าๆ หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม สามชั่วยาม…..พริบตาเดียวก็ครึ่งวันแล้ว ความปรารถนาในแววตาเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นระรัว สายตายังคงมองภูเขาวิถีเต๋า
ไม่นานเมื่อทั้งวันผ่านไป ชายชราห้าคนนั้นต่างหน้าเปลี่ยนสี ทว่าในใจยังคงมั่นใจว่าในด่านแรกนี้ซูหมิงอยู่ไม่เกินสามวันแน่
ทว่าหลังผ่านวันที่สองไป ความมั่นใจก็เกิดการสั่นคลอน
“คนนี้ไม่ธรรมดาแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะอยู่ได้ถึงสองวัน ทว่าตอนนี้น่าจะกำลังดิ้นรนอยู่ ไม่มีทางเกินสามวันแน่!”
“หึ นี่คือความมหัศจรรย์ในด่านแรก เวลาจะยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นพวกเราก็รออยู่เกือบสามวันไม่ใช่รึ คอยดูเถอะ เมื่อตะวันของวันพรุ่งนี้ลาลับ เขาต้องทนไม่ไหวแน่”
จนกระทั่งผ่านวันที่สามไป อวี้เฉินไห่ตื่นเต้นจนถึงขีดสุด ดวงตาเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาตัวสั่นเบาๆ ในใจเหมือนมีเสียงกำลังคำรามด้วยความฮึกเหิม
‘จะต้องสำเร็จแน่!’ อวี้เฉินไห่หายใจกระชั้น เทียบกับความตื่นเต้นของเขาแล้ว ชายชราห้าคนที่อยู่ไกลออกไปต่างมีสีหน้ามืดทะมึน
เพียงทว่าความมืดทะมึนนี้ เมื่อเวลามาถึงวันที่สี่ก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวและเหลือเชื่อ พวกเขาห้าคนพลันลุกขึ้นยืน
เพราะว่า มีเสียงลากยาวและเล็กแหลมเหมือนกับเสียงคำรามของผีร้ายดังกังวานมาจากในภูเขาวิถีเต๋า
เสียงนี้แว่วมาจากปากของใบหน้าผีบนภูเขา เสียงนี้ไม่ได้ดังในตระกูลอวี้มาหลายพันปีแล้ว ซึ่งก็คือเสียงแห่งวิถีเต๋า บ่งบอกว่ามีคนฝ่าผ่านด่านแรกแล้ว!
“เสียงแห่งวิถีเต๋า….นะ นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
ห้าคนนี้รู้สึกเหลือเชื่อ ส่วนอวี้เฉินไห่ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตื่นตกใจและดีใจสุดจะบรรยาย ยามนี้เอง เมื่อเสียงดังก้องก็สนั่นขึ้นเรื่อยๆ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ยามนี้เสียงคำรามดังสนั่น ตอนนี้ทุกคนในตระกูลอวี้ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดอยู่ต่างได้ยินเสียงนี้ในทันที กระทั่งตาแก่ในตระกูลที่ปิดด่านฝึกฝนตลอดปีก็ยังพากันลืมตาขึ้น
พริบตาเดียว มีร่างเงาคนจำนวนมากพุ่งไปยังภูเขาวิถีเต๋าอย่างรวดเร็วจากรอบทิศทาง