ตอนที่ 920 จะคารวะหรือตาย
เมื่อเม็ดยาเข้าปากไป ซูหมิงก็กดมือขวาบนตัวสัตว์คลื่นเสียงติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้เม็ดยาคลื่นเสียงครวญในร่างกายมันพลันละลาย จากนั้นก็บีบคอมันเอาไว้ แล้วขยับกายวูบไหว โยนสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งไปทางกลุ่มสัตว์ร้ายข้างๆ
สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวนี้ตัวแดงในพริบตา เส้นเลือดดำปูดนูน และยังมีโลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด ลักษณะดูน่ากลัวอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าโครงกระดูกทุกส่วนในร่างกาย เลือดเนื้อ รวมถึงเส้นชีพจรล้วนกำลังหลอมละลาย
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา เขายิ้มเมื่อเผชิญสัตว์คลื่นเสียงนับไม่ถ้วนที่กำลังพุ่งเข้ามา สัตว์คลื่นเสียงยักษ์ขนาดพันกว่าจั้งสี่ตัว และราชาสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งที่อยู่รอบนอก
ขณะเดียวกับที่เขาแย้มยิ้มก็ยกมือขวาขึ้น ห้านิ้วมือชิดกัน กางออกไปข้างนอกพร้อมกับเอ่ยเสียงเบา
“ระเบิด!”
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงเอ่ยคำนี้ พลันเกิดเสียงโครมดังขึ้นจากร่างสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวนั้น เสียงนั้นซ้อนทับกับเสียงเขา ราวกับซูหมิงเป็นคนจุดชนวนระเบิด
ภายใต้เสียงโครมคราม สัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งที่กินเม็ดยาคลื่นเสียงครวญร่างระเบิดเป็นเสี่ยงๆ และกระจายไปโดยรอบ ไม่มีกระดูก ไม่มีเศษเนื้อ และไม่มีเศษซากร่างกาย การระเบิดของมันคือฝนโลหิต
ประหนึ่งว่าช่วงที่มันระเบิดตัวเอง ทุกอย่างในร่างกายหลอมละลายหมดแล้ว มีเพียงผิวหนังห่อหุ้มอยู่หนึ่งชั้น เหมือนกับหนังที่บรรจุน้ำจนเต็ม ตอนนี้หลังจากที่หนังแตกออก โลหิตข้างในจึงกระเด็นไปรอบๆ
มีสัตว์คลื่นเสียงจำนวนมากรอบสัตว์คลื่นเสียงร้อยจั้งตัวนี้ ในพริบตาที่ร่างกายมันระเบิด โลหิตในตัวมันพลันสาดใส่ตัวสัตว์คลื่นเสียงหลายสิบตัว
ฝนโลหิตดูเหมือนปกติ แต่ยามตกลงบนตัวสัตว์คลื่นเสียงสิบกว่าตัวนั้น พวกมันต่างพากันร้องโหยหวน เห็นด้วยตาเนื้อเลยว่าโลหิตที่ตกลงบนตัวสัตว์คลื่นเสียงสิบกว่าตัวเหมือนมีสติปัญญาบางอย่าง ขณะเดียวกับที่สัมผัสพวกมัน โลหิตก็เหมือนเน่าเปื่อย แล้วซึมผ่านผิวหนังสัตว์คลื่นเสียงเหล่านี้ เข้าสู่ส่วนลึกของร่างกาย จากนั้นก็หลอมรวมกับโลหิตของพวกมัน
ช่วงที่โลหิตไหลเวียนในเส้นชีพจร โครม โครม โครม….
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นติดกันสิบกว่าครั้ง สั่นสะเทือนผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมด ทำให้เก้าผู้เฒ่ายมโลกเบิกตากว้างฉายแววตื่นตกใจ ทำให้หญิงแมวหยุดนิ่งทันใด ใบหน้าขาวซีดและดูเหลือเชื่อ
ทั้งยังทำให้สวี่ฮุ่ยลมหายใจกระชั้น นางยากจะเชื่อทุกสิ่งที่เห็นในตอนนี้
พวกเขาเห็นว่าเมื่อสัตว์คลื่นเสียงสิบกว่าตัวนั้นระเบิดออก โลหิตของพวกมันก็กระเด็นไปรอบทิศ ราวกับตรงนั้นเกิดลูกคลื่นทะเลโลหิตขึ้น
ท่ามกลางการระเบิดของทะเลโลหิตนี้ มีสัตว์คลื่นเสียงหลายร้อยตัวถูกโลหิตสาดกระเซ็นใส่ มีตัวหนึ่งในนั้นคือสัตว์คลื่นเสียงขนาดแปดพันจั้ง
รอยยิ้มเยาะที่มุมปากซูหมิงกว้างมากขึ้น เขาเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่กลางระเบิดทะเลโลหิต ทะเลโลหิตนั้นสังหารสัตว์คลื่นเสียงได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่มีผลใดๆ สำหรับเขา ความเฉยชาของเขากับกลิ่นคาวเลือดรอบๆ รอยยิ้มเย็นชาของเขากับเสียงร้องแหลมรอบด้าน ความสงบนิ่งของเขากับความบ้าคลั่งที่เกิดขึ้นเพราะความกลัวโดยรอบ ทำให้เกิดการขัดแย้งกันอย่างชัดเจน
“คิดอยากได้ของที่ไม่ควรได้ ก็ต้องเตรียมตัวถูกล้างเผ่าพันธุ์ให้ดี” ตอนที่ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เสียงร้องโหยหวนของสัตว์คลื่นเสียงหลายร้อยตัวดังสนั่นฟ้า ร่างกายพลันระเบิดกระจายออก ส่วนสัตว์คลื่นเสียงขนาดแปดพันกว่าจั้งร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดสุดจะบรรยาย ก่อนขยับวูบไหวพุ่งไปหาซูหมิง
มันอดกลั้นความเจ็บปวดจากการระเบิดเอาไว้ เพื่อจะไปสังหารซูหมิง
ซูหมิงไม่เคลื่อนไหว เขาเชื่อมั่นในยาวิญญาณสูญสลายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ตนหลอมขึ้น จึงมองสัตว์คลื่นเสียงแปดพันจั้งที่ตรงเข้ามาอย่างเย็นชา ทว่ามันเดินเพียงก้าวเดียว แค่เพิ่งเข้าใกล้เขา ร่างมันก็ระเบิดกระจายออก
การตายของมันเหมือนกับระฆังมรณะ ดังก้องไปทั้งฟ้ากระจ่างดาว ความใหญ่ของตัวมันทำให้น้ำโลหิตมีมากกว่าสัตว์คลื่นเสียงทั่วไปมาก ครั้นร่างกายมันระเบิด ทะเลโลหิตมหาศาลก็กลบร่างซูหมิงแล้วกวาดออกไปรอบๆ
เสียงคำรามแหลมที่แฝงความบ้าคลั่งเพราะความกลัวพลันดังสนั่นมาจากกลุ่มสัตว์คลื่นเสียง ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ที่ราชาสัตว์คลื่นเสียงปลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ตอนนี้มลายหายไปจนสิ้น อำนาจคุกคามแห่งความตายทำให้กลุ่มสัตว์คลื่นเสียงแตกรังกันไปรอบๆ โดยไม่สนสิ่งใดอีก อยากจะออกจากที่นี่ พวกมัน…หวาดกลัวแล้ว
ทว่า เม็ดยาคลื่นเสียงวิญญาณสูญสลายของซูหมิงคือสิ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยิ่งลุกลามไปเท่าไรก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น การระเบิดของสัตว์คลื่นเสียงหลายร้อยตัว ท่ามกลางโลหิตที่สาดกระจายของสัตว์คลื่นเสียงแปดพันจั้ง มีสัตว์คลื่นเสียงหลายพันจนเกือบถึงหมื่นตัวสัมผัสกับโลหิต
เสียงระเบิดดังขึ้น หลังจากที่ซูหมิงป้อนยาใส่สัตว์คลื่นเสียงตัวแรก เสียงครึกโครมนั้นก็ยังไม่เคยหยุดลง ดังสนั่นกึกก้องไปฟ้ากระจ่างดาวไม่หยุด ทุกครั้งที่ดังก้องจะมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนไม่มีสิ้นสุด และจะมีสัตว์คลื่นเสียงกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังเม็ดยาวิญญาณสูญสลาย
เม็ดยาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ วิญญาณสูญสลายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พลังที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเน่าเปื่อย นี่ก็คือเม็ดยาวิญญาณสูญสลาย
ทะเลโลหิตกลายเป็นน้ำวนยักษ์กลางฟ้ากระจ่างดาว ก่อนจะลุกลามไปรอบๆ ไม่หยุดหย่อน หากเปรียบผืนฟ้าเป็นภาพวาด เช่นนั้นจะเห็นชัดเลยว่าตรงขอบทะเลโลหิตกลางภาพวาดมีดอกไม้โลหิตหลายดอกกำลังเบ่งบานออกอย่างต่อเนื่องตามเสียงระเบิด
ดอกไม้โลหิตทุกดอกล้วนเป็นภาพการระเบิดของสัตว์คลื่นเสียง ภาพนี้งดงามมาก และมาพร้อมกับบทเพลงมรณะของชีวิต…
โฮก!
ราชาสัตว์คลื่นเสียงตัวหมื่นจั้งส่งเสียงคำรามมา ยามนี้มันถอยร่นไปอย่างเร่งรีบ มีสีหน้าคลุ้มคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ มันเห็นชาวเผ่าตายอนาถไปทีละตัวกับตาตน เห็นผู้อาวุโสในเผ่าหรือสัตว์คลื่นเสียงแก่ชราขนาดแปดพันจั้งสี่ตัวตายไปแล้วสาม
การตายของพวกมันไม่เกี่ยวกับขั้นพลังเลย แต่เป็นทะเลโลหิตนั้น เป็นเม็ดยาเม็ดหนึ่งที่ผู้ฝึกฌานสมควรตายตรงหน้าป้อนให้ มันไม่รู้ว่าคือยาอะไร แต่ความน่ากลัวของยาเม็ดนี้ทำให้มันที่เป็นราชาสัตว์คลื่นเสียงยังต้องตัวสั่น
มันไม่กล้าเข้าใกล้ กระทั่งไม่กล้าสัมผัสโลหิตนั้นแม้แต่น้อย มัน…มีความรู้สึกเด่นชัดว่าต่อให้เป็นตน หากสัมผัสโลหิตนั้นเพียงหยดเดียว ร่างกายก็จะทนรับไม่ไหวทันที
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง นี่คือสิ่งที่ไม่อาจมีอยู่ร่วมกันในร่างกายสัตว์คลื่นเสียง นี่คือ…ข้อบกพร่องของชีวิตพวกมัน!
เสียงโครมครามยังคงดังก้องและขยายออกไป สัตว์คลื่นเสียงตายจากหลายร้อยไปถึงหลายพัน และไปถึงหลายหมื่น จนถึงตอนนี้ แทบทั้งฟ้ากระจ่างดาวถูกทะเลโลหิตปกคลุม สัตว์คลื่นเสียงตายไปมากกว่าแสนตัวแล้ว
ส่วนที่เหลืออยู่คือพวกที่อยู่รอบนอกสุดก่อนหน้านี้ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมีขนาดราวสิบจั้ง มีน้อยมากที่เป็นร้อยจั้ง ส่วนสัตว์คลื่นเสียงพันจั้งก่อนหน้านี้ที่รวดเร็วที่สุดและอยู่ใกล้ซูหมิงที่สุด ตอนนี้ตายไปหมดแล้ว ต่อให้เป็นสัตว์คลื่นเสียงแก่ชราขนาดแปดพันกว่าจั้งสี่ตัว หนึ่งตัวที่เหลืออยู่ในยามนี้ก็ตัวสั่นงันงก นึกโชคดีที่หนีออกมาได้
เมื่อมองไป สัตว์คลื่นเสียงแสนกว่าตัวกลางฟ้ากระจ่างดาวก่อนหน้านี้หายไปมากกว่าครึ่ง ยามนี้เหลืออยู่ไม่ถึงสองหมื่นตัวเท่านั้น
รอบๆ เงียบสงัด…
ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมดตื่นตะลึงกับทุกอย่างที่เห็นโดยสิ้นเชิงแล้ว พวกเขาเบิกตากว้างอ้าปากค้าง มองซูหมิงในทะเลโลหิตยักษ์ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ
ทางด้านสัตว์คลื่นเสียง พวกมันแต่ละตัวต่างตัวสั่น มีสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างซูหมิงกลางทะเลโลหิตกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ฝังลึกลงที่สุดในความทรงจำของพวกมัน กระทั่งภาพความทรงจำส่วนนี้จะประทับอยู่ในชีวิตพวกมันไปทุกยุคทุกสมัย
“จะคุกเข่าคารวะแล้วไสหัวไป หรือว่าจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ซูหมิงยืนอยู่ในทะเลโลหิต กวาดสายตามองสัตว์คลื่นเสียงที่เหลืออยู่รอบๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบ
เสียงเขาทะลวงผ่านทะเลโลหิต ดังกังวานฟ้ากระจ่างดาว
สัตว์คลื่นเสียงโดยรอบล้วนตัวสั่นสะท้าน และส่งเสียงร้องคำรามอ้อนวอน หนำซ้ำยังคุกเข่าคารวะซูหมิงที่อยู่ตรงใจกลางทะเลโลหิตอย่างไม่ลังเล
สัตว์คลื่นเสียงเกือบสองหมื่นตัวที่เหลือล้วนเลือกคุกเข่าทั้งหมด ตอนที่ซูหมิงมองราชาสัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้ง มันมีสีหน้าเจ็บปวดและดิ้นรน มันตัวสั่น ผ่านไปพักหนึ่งก็ก้มหัวลง ร่างใหญ่ยักษ์คุกเข่าคารวะซูหมิงอย่างเงียบๆ
การคุกเข่าคารวะดูเหมือนง่าย ทว่าสำหรับมันแล้ว การคุกเข่ายากจะยอมรับเสียยิ่งกว่าความตาย แต่ว่า…ถ้ามันไม่ทำแบบนี้แล้วจะให้ทำอย่างไร เพื่อกลุ่ม เพื่อชาวเผ่า มันจึงไม่มีทางเลือกอีก
ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะ…เผ่าพันธุ์ของมันไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน นำพาภัยพิบัติที่ไม่อาจคลี่คลายมาให้ โดยเฉพาะยามนึกถึงเม็ดยานั้น มันก็ใจสั่นยิ่งกว่าเดิม เกิดความกลัวอย่างลึกซึ้ง
“พวกเจ้า ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ สัตว์คลื่นเสียงหมื่นจั้งยืนขึ้นอย่างเงียบงัน แล้ววูบไหวตัวทะยานไกลออกไป สัตว์คลื่นเสียงสองหมื่นตัวที่เหลืออยู่รอบๆ ต่างพากันแย่งติดตามไปอย่างเร่งรีบ เกิดเสียงลากยาวไกลออกไป ราวกับว่าหากหยุดอยู่ที่นี่แม้เพียงลมหายใจเดียว จะทำให้จิตใจพวกมันจวนจะพังทลายลง
ซูหมิงมองกลุ่มสัตว์คลื่นเสียงจากไป ก่อนละสายตากลับ เขาไม่ได้เลือกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จริงๆ
เขาหมุนตัวกลับมา มองทุกคนแห่งสำนักดาราสัจธรรมด้านหลัง แล้วเผยรอยยิ้มบางทีละน้อย
ซูหมิงกลางทะเลโลหิต สวมเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา เส้นผมยาวพลิ้วสะบัด สีหน้าสงบนิ่ง แต่จากการเสริมของทะเลโลหิต จึงมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น รุนแรง และชัดเจนในตัวเขา ทั้งยังเผยผ่านใบหน้าหล่อเหลาของเขาโดยไม่ปิดบังไว้แม้แต่น้อย
ทะเลโลหิต กลิ่นอายชั่วร้าย ตอนนี้เหมือนจะหลอมรวมกันแล้ว ทำให้รูปลักษณ์และร่างกายเขาประทับลึกลงในจิตใจของคนสำนักดาราสัจธรรมทุกคน ไม่อาจลบเลือนหายไป
ส่วนสายตาของซูหมิงก็ทำให้ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหมดเกิดความฮึกเหิม และยังเกิดความเคารพยำเกรงจากใจจริง ความเคารพยำเกรงนี้ต่างกับตอนปฏิบัติกับเต้าคง
ก่อนหน้านี้พวกเขายำเกรงเพราะสำนักดาราสัจธรรม
แต่ตอนนี้…เป็นเพราะตัวซูหมิงเอง
สวี่ฮุ่ยมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย กระทั่งตอนที่ซูหมิงมองมา ก็เป็นครั้งแรกที่นางต้องการจะหลบสายตาอีกฝ่ายโดยจิตใต้สำนึก….
“ไปกันเถอะ พวกเราเดินทางต่อไปยังทะเลดาราต้นกำเนิดจิต” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบ
“รับทราบ!” เสียงดังพร้อมเพรียงมาจากนักรบมรณะทั้งหมด มาจากผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมทั้งหลาย มาจากเก้าผู้เฒ่ายมโลก มาจากหญิงแมว กระทั่งในใจ สวี่ฮุ่ยยังอดมีคำนี้ดังก้องมิได้