Skip to content

สู่วิถีอสุรา 979

ตอนที่ 979 จื่อหลงเจินเหริน

ทะเลเพลิงลุกลาม เปลวเพลิงสีแดงฉานขยายออกจากใจกลางทะเลดาราต้นกำเนิดจิตอย่างต่อเนื่อง ไม่นานก็อาบไปในพื้นที่ระหว่างวงแหวนชั้นในและชั้นนอก อุณหภูมิร้อนระอุอบอวลไปทั้งฟ้ากระจ่างดาว ไม่ว่าทะเลเพลิงผ่านไปที่ใดจะเกิดเสียงโครมครามดังสนั่น

ขั้นตอนนี้กินเวลาเกือบหนึ่งเดือน ถึงตอนนั้น ทะเลเพลิงจะลุกลามไปถึงพื้นที่นอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ปกคลุมทั้งทะเลดารา ทำให้ผู้ฝึกฌานบนดาวทมิฬเห็นภาพเผาไหม้บนฟ้ากระจ่างดาวอย่างชัดเจน

ตอนนี้ซูหมิงไม่ได้อยู่ในฟ้ากระจ่างดาวทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เขาผ่านจุดเคลื่อนย้ายน้ำวนมาถึงหนึ่งในแดนลึกลับของทะเลดารา…โลกน้ำวน!

ไม่มีใครรู้ว่าโลกน้ำวนไปสู่ที่ใด ความมืดมิดข้างล่างเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด หากคนลืมตามองจะอดเกิดความรู้สึกมิได้ว่าหากตกลงไปก็คงต้องอยู่ในความมืดไปชั่วนิรันดร์

ต่อให้เป็นซูหมิง ต่อให้มองความมืดใต้โลกน้ำวนนั้นหลายครั้งก็ยังคงเกิดความรู้สึกนี้

ไม่รู้ว่าจุดความมืดนั้นฝังอยู่มานานเท่าไร ปกคลุมความลับไว้เท่าไร และยัง ปกคลุมความงามที่คนอยากจะเปิดม่านความมืดนี้ออกไว้อีกเท่าไร

ด้านล่างมืดมิดไม่มีสิ้นสุด เทียบกับสีสันหลากสีในลักษณะแมงกะพรุนจำนวน มากรอบๆ กับซูหมิงแล้ว จึงเกิดเป็นการเปรียบเทียบอย่างเด่นชัด ซูหมิงเงียบ เขาลอยไปข้างหน้าอย่างไร้การควบคุมอยู่ในเส้นทางกึ่งโปร่งใสที่เชื่อมน้ำวนสองจุด

เขารู้ว่าข้างนอกเกิดทะเลเพลิงอยู่ เตาหลอมลำดับห้าเปิดแล้ว ตนจะได้รับ หินลำดับห้าหรือไม่ จะไปโลกแท้จริงที่ห้าได้หรือไม่ จุดสำคัญคือเขาจะเข้าเตาหลอมลำดับห้าได้หรือไม่

แม้จากคำพูดของบรรพบุรุษธุลีแผดเผาว่าเตาหลอมลำดับห้านี้มีโอกาสสูงมากที่ ซูหมิงคือเจ้านายคนใหม่ แต่…..เงื่อนไขคือเขาต้องเป็นบุตรของซูเซวียนอีกับภรรยา

จุดนี้ เขาไม่อยากคิดถึงมัน

เขามองเส้นทางกึ่งโปร่งใสข้างกาย ภายในจิตใจเขาตอนนี้พวกเสวียนซางสี่คน ใจสั่นสะท้านอย่างยิ่ง กระทั่งเสวียนซางกำลังลังเลใจว่าจะฝืนปลดการรวมของสมบัติล้ำค่าดีหรือไม่

ทว่าวินาทีที่เขาเกิดความคิดนี้ ซูหมิงพลันหยุดชะงัก ไม่ไปตามเส้นทางอีก แต่…..เดินลง ตัวเขาชนกับปราการของเส้นทางนี้ทันที ก่อนยกสองมือขึ้นเหมือนฉีกปราการออกเป็นสองข้าง

เสียงโครมดังขึ้น ปราการถูกฉีกออกในทันใด หลังถูกเปิดแล้วเขาก็เดินออกจากเส้นทางกึ่งโปร่งใส

“หากเจ้าคิดจะปลดการหลอมรวมของวิเศษก็เชิญได้ตลอดเวลา” ด้วยประสบการณ์ของซูหมิงจะมองไม่เห็นถึงอันตรายแฝงเร้นยิ่งใหญ่จากในสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ได้อย่างไร อันตรายนี้อยู่ในมือเสวียนซาง ถึงอีกฝ่ายจะควบคุมร่างกายสมบัติล้ำค่าไม่ได้ แต่ก็ให้มันแยกร่างออกและทำให้ทุกคนออกมาได้

เดิมทีเสวียนซางคิดเช่นนี้ ที่เขาลังเลก็เพราะกลัวจะล่วงเกินซูหมิง ทว่าหากเผชิญหน้ากับอันตรายเป็นตาย เขาย่อมสู้อย่างสุดกำลังอยู่แล้ว แต่ตอนนี้….. การกระทำของซูหมิงเร็วเกินไป หลังจากเดินออกจากปราการกึ่งโปร่งใสแล้ว ปราการก็กลับมาสมานรวมกันใหม่ นี่เท่ากับว่าซูหมิงพาพวกเขาออกจากการนำทางและการปกป้องจากเส้นทาง เข้ามาอยู่ในโลกน้ำวนอย่างสมบูรณ์

หากเขาปลดสมบัติล้ำค่า สิ่งที่รออยู่คืออันตรายที่ยิ่งกว่า เสวียนซางจึงขมขื่นพลางลอบถอนหายใจ เขาไม่พูดอีก เขารู้ว่าซูหมิงไม่ใช่คนเขลา และก็ไม่ยอมรนหาที่ตายโดยเปล่าประโยชน์ด้วย หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่น่าจะทำแบบนี้

สวี่ฮุ่ยเงียบสงบมาตลอด นางสนับสนุนการกระทำของซูหมิงทุกอย่าง ส่วนกระเรียนขนร่วง หลังจากเข้ามาในโลกน้ำวนอีกครั้ง มันก็เกิดอาการใจลอยอีกรอบ

ซูหมิงเดินออกจากเส้นทางน้ำวนแล้วเงยหน้าขึ้นทันที จากนั้นเปล่งเสียงคำรามลากยาวดังสะเทือนไปทั้งโลกน้ำวน ระหว่างนั้นร่างแสงสว่างในลักษณะแมงกะพรุนหลากสีสันต่างถอยออกไปรอบๆ ในเวลาเดียวกันมีเสียงคำรามดังแว่วมาจากจุดที่ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นพลางเหนี่ยวนำพลังของเอ้อชางเข้าสู่ร่างกายสมบัติล้ำค่า ทำให้กำลังรบของร่างกายนี้ทะยานขึ้นอีกครั้ง พร้อมกันนั้น เขายังเรียกเงาสะท้อน ร่างแยกเอ้อชางมาด้วย

ระหว่างที่เงาสะท้อนลงมา ต้นไม้ยักษ์ใหญ่ไร้ที่เปรียบก็ขยับแสงวิบวับและผ่านไป ทว่าร่างกายที่ซูหมิงควบคุมอยู่กลับปลดปล่อยกำลังรบที่ใกล้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดกับจุดสูงสุดของภัยพิบัติตะวัน

ในเวลาเดียวกันเงาสะท้อนสร้างเป็นเส้นทาง เส้นทางที่เปิดโดยการใช้วิญญาณเหนี่ยวนำกำลังรวมขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรวมขึ้นมาแล้ว ร่างแยกเอ้อชางก็จะมาเยือนอีกครั้ง

ถึงตอนนั้น เขา….จะสู้กับยอดฝีมือขั้นกุมได้!

เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ กลางเงามืดไกลออกไป เสียงคำรามดังแว่วมาไม่หยุด วิเคราะห์จากเสียงคำรามได้ว่านั่นคือม้าดำย่วนเว่ยกำลังใช้ความเร็วยากจะบรรยายเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

ซูหมิงเหมือนเห็นรางๆ ว่ากลางเงามืดตรงหน้ามีไฟหกดวงขยับวิบวับ นั่นคือดวงตาหกดวงของย่วนเว่ย

“มาเถอะ เจ้า….เป็นของข้า!”

เวลาผ่านไปทีละวัน เมื่อเปลวเพลิงสีแดงฉากจากเตาหลอมลำดับห้าพ่นออกมาสี่วัน พื้นที่ระหว่างวงแหวนชั้นในและชั้นนอกทะเลดาราก็ถูกจมไปอย่างสมบูรณ์

สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนร้องโหยหวนกลางทะเลเพลิง ร่างกายกลายเป็นเถ้าธุลี ดาวแท้จริงทุกดวงกำลังดิ้นรนอยู่ในทะเลเพลิง พืชทั้งหมดบนดาวตายจนหมด

และยังมีแผ่นดินใหญ่เหล่านั้น พวกมันค่อยๆ หดเล็กลงกลางทะเลเพลิง ตรงขอบเกาะตัวเป็นผลึก ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบไฟโดยธรรมชาติ ส่วนใหญ่ยังตัวสั่นงันงกอยู่ในทะเลเพลิงลุกลาม ไม่กล้าไม่สัมผัสมากนัก ทำได้เพียงหลบหลีก

ทะเลเพลิงยังคงลุกลามต่อไป เมื่อวันที่เจ็ดมาถึง ในที่สุดก็ลามไปถึงเขตรอบนอกของทะเลดาราต้นกำเนิดจิต จึงโอบล้อมทั้งทะเลดาราเอาไว้ภายในอย่างสมบูรณ์

ทำให้การเผาไหม้ของทะเลดาราต้นกำเนิดจิตกลายเป็นภัยพิบัติของที่นี่

ณ แผ่นดินเผ่าลำดับห้า ตอนนี้กว้างโล่ง ทะเลเพลิงลากผ่านผืนฟ้า เผาไหม้ บนแผ่นดิน บดขยี้ยอดเขา หลอมละลายสิ่งมีชีวิต ตรงใจกลางของแผ่นดินมีถ้ำ แห่งหนึ่ง ตอนนี้ชาวเผ่าลำดับเก้าทุกคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ กำลังรอให้ทะเลเพลิงหายไปด้วยความกลัวอย่างเงียบๆ

ตี้จิ่วโม่ซานั่งอยู่ตรงปากทางเข้าที่ใกล้กับพื้นดินมากที่สุด ตรงนั้นเขารู้สึกถึง ความร้อนและเสียงอึกทึกรุนแรงจากข้างนอก เขามีสีหน้าตึงเครียด และก็กำลังตรึกตรองว่าการเปิดของเตาหลอมลำดับห้าจะเกี่ยวกับ….ซูหมิงหรือไม่

รอบนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต เก้าผู้เฒ่ายมโลกขึ้นเรือรบตามคำเตือนของหญิงแมวและใช้ความเร็วสูงสุดออกจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแล้ว ตอนนี้เรือรบของพวกเขาลอยอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวระหว่างทะเลดารากับดาวทมิฬ มองทะเลดาราไกลๆ จะเห็นสิ่งน่าตะลึงที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

ในสีหน้าพวกเขาล้วนมีความกังวล เพราะ…นายน้อยของพวกเขายังอยู่ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

แต่ถึงเก้าผู้เฒ่ายมโลกจะต้านอุณหภูมิสูงของเปลวเพลิงได้ ทว่าการจะหาคนคนหนึ่ง ที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดในทะเลดารากว้างใหญ่ย่อมยากเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร

ดังนั้นพวกเขาจึงได้แค่รอ

ระหว่างที่พวกเขากำลังรอ เก้าผู้เฒ่ายมโลกรวมถึงผู้ฝึกฌานบนเรือรบก็เห็น คนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาหรี่ตาลงและใจสั่นสะท้าน

นั่นคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงยาวสวมอาภรณ์ยาวสีม่วง เขายืนอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวเงียบๆ สายตามองทะเลดาราต้นกำเนิดจิตไกลๆ ทั้งตัวเขาดูเหมือนธรรมดามาก ไม่มีความพิเศษเลย ทว่า…..ด้านหลังเขากลับมีสัตว์ร้ายขนาดหลายพันจั้งนอนหมอบอยู่ตัวหนึ่ง

มัน….คือมังกร!

มังกรตัวนี้มีทุกส่วนเป็นสีแดงฉานและแผ่กระจายเปลวเพลิงเข้มข้น ความร้อนของเปลวเพลิงทำให้ฟ้ากระจ่างดาวรอบตัวบิดเบี้ยวประหนึ่งว่ารับไม่ไหว ดูแล้วเหมือนว่าจะร้อนแรงกว่าเปลวเพลิงแดงฉานที่ปกคลุมทั้งทะเลดาราเสียอีก

แรงกดดันจากมังกรตัวนี้น่าทึ่งยิ่งกว่า เก้าผู้เฒ่ายมโลกเพียงมองไกลๆ แวบหนึ่งก็เกิดความรู้สึกอึดอัด นี่จะเห็นได้ว่าขั้นพลังของมังกรตัวนี้เกินกว่าเจ้าปกครองโลกสมบูรณ์ ไม่ใช่ภัยพิบัติจันทรา แต่เป็นภัยพิบัติตะวัน!

ต่อให้มองไกลๆ เก้าผู้เฒ่ายมโลกก็ยังรู้สึกว่าผิวหนังกำลังแห้งกร้านอย่างเร็วไว รู้สึกว่าขั้นพลังในร่างกายกำลังปั่นป่วน เส้นผมเหลืองกรอบ จำต้องให้เรือรบถอยไปไกลมาก

ทว่าชายผมม่วงคนนั้น เขาอยู่ใกล้มังกรเพลิงสีแดงฉานขนาดนั้นแต่กลับมี สีหน้าปกติ อีกทั้งดูจากท่าทางมังกรแดงฉานแล้วดูเคารพชายคนนี้อย่างยิ่ง กระทั่งยังมีความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ

“จื่อหลงเจินเหริน[1]!” เก้าผู้เฒ่ายมโลกหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรง หลังจากมองกันและกันแล้ว ก็ต่างเห็นถึงความตกตะลึงในแววตา

“น่าจะเป็นจื่อหลงเจินเหรินของโลกแท้จริงที่สี่ โลกนี้ลึกลับยิ่ง ต่อให้เป็นพวกเราก็ยังเข้าใจไม่มาก รู้เพียงว่าสามโลกแท้จริงอื่นๆ จะต้องส่งคนเดินทางไปโลกแท้จริงที่ในสี่ทุกช่วงเวลาเพื่อมอบทรัพยากรจำนวนมาก…

ถึงข้าจะไม่เคยเห็นจื่อหลงเจินเหรินมาก่อน แต่คนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ข้างกายมีมังกรแดงฉานอยู่ ขั้นพลังยังบรรลุถึงขั้นกุมชะตาเกิดดับ… นอกจากจื่อหลงเจินเหรินในขุมอำนาจรักษาการณ์โลกแท้จริงที่สี่แล้วก็ไม่มีใครอีก”

“เตาหลอมลำดับห้าหรือ…ไม่นึกเลยว่าการเปิดของเตาหลอมลำดับห้าจะทำให้ จื่อหลงเจินเหรินมา!” ตอนที่เก้าผู้เฒ่ายมโลกสื่อสารผ่านกันและกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง สายตามองฟ้ากระจ่างดาวข้างหลังพร้อมกัน

กลางฟ้ากระจ่างดาวข้างหลัง ตอนนี้มีเสียงโครมดังสนั่นแว่วมา เสียงดังสะเทือนไปรอบๆ และยังทำให้คนฟังจิตใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

สะเทือนจนถึงขั้นทำให้ขั้นพลังเปลี่ยนแปลง ทำให้เก้าผู้เฒ่ายมโลกควบคุมตัวเองไม่ได้ ทุกคนล้วนระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรงที่สุด เหมือนว่ามีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้พลังของตัวเองไม่ไหลออกจากร่างกาย

ส่วนนักรบมรณะเหล่านั้นกับหญิงแมวหน้าขาวซีด พวกเขาต่างนั่งฌานลงกับพื้นเพื่อต่อต้าน

เสียงโครมครามดังใกล้เข้ามา เห็นรางๆ ว่ากลางฟ้ากระจ่างดาวมีตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งเป็นสายรุ้งยาวเข้ามาด้วยความเร็วสูงยิ่ง ทุกส่วนของมันเป็นสีม่วงอมดำ ดูดุร้ายยิ่งนัก บนตัว…ไม่มีร่างเงาคน มันคือสัตว์ที่เป็นอิสระตัวหนึ่ง

สัตว์ตัวนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ที่นี่ แรงกดดันแผ่กระจายออกโดยรอบ ทำให้มังกรแดงฉานข้างกายชายเสื้อคลุมม่วงร้องคำรามไม่หยุด

“ไม่เจอกันนาน จื่อหลง ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าคงไม่ได้ปิดด่านเข้าฌานแล้ว” เสียงแหบแห้งดังก้องรอบๆ เหมือนกับทองคำเสียดสีกัน

……………….

[1] เจินเหริน ลัทธิเต๋าใช้เรียกผู้ฝึกฝนเต๋าที่ตื่นรู้อย่างแท้จริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version