Skip to content

สู่วิถีอสุรา 982

ตอนที่ 982 เข้าเตาหลอม

แม้การมาของซูหมิงจะดึงดูดความสนใจของสามคน แต่ความสนใจนี้ก็ไม่ได้คงอยู่นานมากนัก สำหรับตัวประหลาดที่มีประวัติยากจะคาดเดาสามคนนี้แล้ว ซูหมิงไม่ได้สร้างอำนาจคุกคามต่อพวกเขามากมาย

ทว่ามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นคนเจ้าแผนการ ถึงภายนอกจะดูเป็นแบบเดียวกัน ทว่าความจริงในใจพวกเขากลับต่างกัน

แต่กระนั้น คนที่ต้านเปลวเพลิงมาถึงที่นี่ได้ หากไม่มีกลอุบายลับเลยคงไม่มีทางส่งตัวเองมาตายอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วสามคนนี้จึงไม่ล่วงเกินซูหมิงมากเกินไป ถึงอย่างไรทุกคนก็ยังไม่เข้าเตาหลอมลำดับห้า เป็นที่รู้กันว่าในชั่วเวลาที่เพลิงม่วงหายไปและเพลิงดำจะปะทุ โอกาสมีเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จะเข้าเตาหลอมได้หรือไม่ก็ ยังไม่แน่ จึงไม่จำเป็นต้องลงมือหนักในตอนนี้เพื่อสร้างโอกาสให้คนอื่น

ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับคนอ้วนนามจูโหย่วไฉ การประมือของพวกเขาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการอุ่นเครื่องเท่านั้น นั่นคือวิธีการทักทายแบบหนึ่งระหว่างพวกเขา

ตามหลักเหตุผลแล้ว สองคนนี้น่าจะมีความสัมพันธ์ธรรมดา แต่ความจริง…ตอนนี้พวกเขาสองคนกลับนั่งด้วยกัน ถึงกระทั่ง….คนอ้วนจูโหย่วไฉนั่งอยู่กลางทะเลเพลิง ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงนั่งยองอยู่บนบ่าจูโหย่วไฉ และยังคงฮัมเพลงประหลาดเช่นเดิม

จูโหย่วไฉหลับตาเหมือนกำลังฟัง สีหน้าเฉยชา ไม่รู้ว่าซ่อนคลื่นอารมณ์แบบใดเอาไว้

กลับกัน ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกลับนอนคนเดียวอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ซ้ำยัง…กรนเสียงดัง

พวกเขาคือตัวประหลาดที่มีความพิเศษอย่างยิ่งสามคน ซูหมิงลืมตามองแล้วก็แอบกล่าวในใจ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง แต่เขาไม่รู้ว่าเมื่ออยู่กับตัวประหลาดสามคนนี้แล้ว หากมีคนที่ห้ามาอีกยามนี้ เช่นนั้นตอนที่มองพวกเขาสี่คนก็จะเกิดความรู้สึกนี้เช่นกัน

ถึงอย่างไรซูหมิงก็นั่งอยู่บนตัวม้าดำที่มีหัวมังกรสองหัว รอบกายโอบด้วยทะเลเพลิง ลักษณะแบบนี้ก็ทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นกัน

เวลาผ่านไป วันที่เจ็ดหลังจากทะเลเพลิงสีม่วงปะทุ และก็เป็นวันสุดท้ายที่เพลิงม่วงจะหายไป เปลวเพลิงนอกเตาหลอมลำดับห้ามาถึงระดับความร้อนที่มั่นคงแล้ว เสียงสนั่นจากเปลวเพลิงคือเสียงเพียงหนึ่งเดียวในที่นี่

ทันใดนั้น ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองก็หาววอดแล้วขยี้ตา ดูดนิ้วโป้งมือขวาโดย จิตใต้สำนึก อีกทั้งยังชำเลืองตามองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ

ขณะเดียวกัน บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่กำลังฮัมเพลงอยู่ก็เงียบไป ดวงตาพลันเป็นประกายคมกริบ ตอนที่เพ่งมองฟ้ากระจ่างดาวไกลๆ ยังยกยิ้มมุมปากน่าสยดสยอง

และยังมีคนอ้วนจูโหย่วไฉ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องฟ้ากระจ่างดาวไกลออกไปด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสีแดงดุร้าย

ผ่านไปชั่วครู่ก็มีเสียงลากยาวแหลมดังกังวานไปรอบๆ กลบเสียงครึกโครมของทะเลเพลิงจนมิด ช่วงที่ซูหมิงมองไป เขาเห็นตะขาบขนาดหลายพันจั้งตัวหนึ่งกำลังทะลวงผ่านทะเลเพลิงมา

ขานับพันของมันขยับไหวพร้อมกัน ทำให้ความเร็วของมันเหนือกว่าสายฟ้า มองแวบแรกยังอยู่ไกลๆ ทว่าพริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ตรงหน้าทั้งสี่คน ตะขาบพันขาพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็หดตัวอย่างรวดเร็วกลายเป็นเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว ข้างกายเด็กหนุ่มยังมีสตรีคนหนึ่ง นางก็คือหญิงแมว

ตอนนี้หญิงแมวหน้าซีดขาว ดวงตาไร้ประกาย ตรงคอมีรูเล็กสีดำอยู่สองรู เหมือนถูกเขี้ยวพิษกัด

“โอ้โห คึกคักกันเชียว” เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวยิ้มน้อยๆ มีสีหน้าลำพองใจ พอกวาดสายตามองสามตัวประหลาดแล้ว ก็มาหยุดที่ซูหมิงครู่หนึ่ง

ซูหมิงก็มองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวเช่นกัน เขามีสีหน้าเหมือนปกติ มองไม่ออกว่าโกรธหรือดีใจ แต่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวย่อมไม่รู้ว่าพอซูหมิงเห็นหญิงแมวแล้ว ในใจก็เกิดจิตสังหารขึ้นทันที

จิตสังหารไม่ได้มีต่อหญิงแมว แต่มีต่อเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว

หญิงแมวอยู่กับเก้าผู้เฒ่ายมโลก ตอนนี้กลับมาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นทางเก้าผู้เฒ่ายมโลกก็มีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดี และตัวก่อเรื่องทุกอย่างย่อมเป็นเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่แปลงกายจากตะขาบพันขาเบื้องหน้านี้

แทบทันทีที่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวมาถึงและกล่าวขึ้น ก็เกิดเสียงดังสนั่นกลางฟ้ากระจ่างดาวอีกครั้ง นั่นคือเสียงคำรามของสัตว์ร้าย เป็นมังกรสีแดงฉานตัวหนึ่งที่บินวนอยู่กลางทะเลเพลิง บนหัวตรงกลางระหว่างสองเขามีชายชุดคลุมม่วงนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง

เขามีหน้าตาหล่อเหลายิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความเฉยชา เห็นได้ชัดว่าเป็นคน ไม่ค่อยพูด ครั้นมังกรแดงฉานเข้ามาใกล้ เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็มาถึงตรงที่ทุกคนอยู่

การมาของเขาทำให้บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเผยแววตาชั่วช้าอย่างชัดเจน ทั้งยังทำให้จูโหย่วไฉข้างล่างตัวเขามีสีหน้าทะมึน

มีเพียงชายร่างกำยำคิ้วเหลืองที่ชำเลืองมองแล้วก็ยังดูดนิ้วโป้งต่อไป แต่คนอื่นมองไม่ออกว่าในใจเขาตอนนี้กำลังตื่นตัวอย่างยิ่ง

เขารู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงจากตัวชายชุดคลุมม่วง อีกฝ่ายเป็นคนที่เขารู้สึกถึงความอันตรายชัดเจนที่สุดในบรรดาทุกคนที่นี่ รองลงมา….กลับไม่ใช่จูโหย่วไฉหรือบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง และไม่ใช่เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวร่างแปลงตะขาบพันขา แต่เป็น….ซูหมิง

ขณะที่ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองแอบตื่นตัวในใจ ชายชุดคลุมม่วงเข้ามาใกล้ มังกรแดงฉานใต้ร่างเขาพลันเงยหน้าขึ้น สีหน้าตึงเครียดอย่างยิ่งในฉับพลัน สายตามองย่วนเว่ยใต้ร่างซูหมิงด้วยเจตนาร้ายเด่นชัด

ย่วนเว่ยเงยหน้าขึ้นอย่างเฉยชา สายตามองมังกรแดงฉานด้วยสีหน้าโอหังและเหยียดหยาม

มังกรแดงฉานเหมือนถูกกระตุ้นด้วยการเหยียดหยามที่ว่า มันจึงอ้าปากกว้างคำรามใส่ย่วนเว่ยทันที แต่ว่ายามที่เสียงคำรามดังก้อง ดวงตาสี่ดวงจากหัวมังกร สองหัวของย่วนเว่ยก็ฉายประกายเย็นเยียบ ตามมาด้วยเสียงคำรามต่ำ

แน่นอนว่าชายชุดคลุมม่วงก็คือจื่อหลงเจินเหริน เขามองย่วนเว่ย จากนั้นมอง ซูหมิง ก่อนจะตบเขามังกรแดงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ มังกรก้มหน้าลงโดยพลัน มันขยับพาจื่อหลงเจินเหรินบินไปอยู่ด้านข้าง จื่อหลงถึงค่อยหลับตาลง มีท่าทีไม่สนใจคนอื่นรอบๆ

ยามนี้เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวร่างแปลงตะขาบหัวเราะ เขาเดินไปทางจื่อหรงแล้วนั่งขัดสมาธิลงห่างไปไม่ไกล ส่วนหญิงแมวด้านหลังตามอยู่ข้างๆ ด้วยดวงตาไร้ซึ่งประกาย

ซูหมิงกวาดสายตามอง และก็อ่านเรื่องราวออกอยู่ไม่น้อย

นี่คือสองหรือไม่ก็สามฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือชายชุดคลุมม่วงกับเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว สองคนนี้มาหลังสุด เห็นได้ชัดว่าเดินทางค่อนข้างไกล บวกกับมีหญิงแมวมาด้วย ซูหมิงจึงคาดเดาคร่าวๆ ได้ว่าสองคนนี้…..น่าจะมาจากนอกทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

“ชายชุดคลุมม่วงคือจื่อหลงเจินเหริน เป็นยอดฝีมือขั้นกุมชะตาเกิดดับของ ขุมอำนาจโลกแท้จริงที่สี่! ส่วนเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่จับตัวหญิงแมวไป ข้าเคยได้ยินมาบ้างว่าเป็นผู้ฝึกฌานอิสระ พึ่งพาสี่มหาโลกแท้จริง เขาแซ่อู๋ ประวัติลึกลับมาก” สวี่ฮุ่ยกล่าวในใจซูหมิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง

นี่ทำให้การคาดเดาของซูหมิงได้รับการยืนยันแล้ว

ฝ่ายที่สองคือบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับจูโหย่วไฉที่เคยลงมือกันเมื่อหลายวันก่อน ส่วนชายร่างกำยำคิ้วเหลือง ถึงอีกฝ่ายจะดูปกติ แต่จากตำแหน่งที่เขาอยู่จะเห็นได้ว่าไม่เข้าใกล้กับอีกสองฝ่ายมากนัก เห็นได้รางๆ ว่าเหมือนสองฝ่ายก็ไม่อยากเข้าใกล้เขามากนักเหมือนกัน

ความสัมพันธ์แบบนี้ลุ่มลึกมาก หากไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ คงยากจะมองเห็นเงื่อนงำเหล่านี้ผ่านจุดเล็กๆ

เห็นถึงตรงนี้ซูหมิงก็ลอบยิ้มบางอย่างที่ตรวจไม่พบ ขุมอำนาจของสามฝ่ายต่างกันอย่างชัดเจน คนที่แกร่งที่สุดในนั้นน่าจะเป็นจื่อหลงเจินเหรินกับเด็กหนุ่มชุดคลุมขาว

รองลงมาก็คือชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกับหุ่นเชิดเพลิงรวมถึงจูโหย่วไฉที่น่าจะมีฝีมือพอๆ กัน

ดังนั้นแล้ว ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองจึงกลายเป็นตัวสำคัญ หากเขาช่วยฝ่ายหุ่นเชิดเพลิงก็จะกดพวกจื่อหรงได้ ต่อให้อยู่คนเดียวต่อไปยังได้ผลประโยชน์ ถึงอย่างไรสองฝ่ายก็ไม่น่าจะบีบเขามากเกินไป

ขณะเดียวกัน เขาซูหมิงก็จะได้ผลประโยชน์เล็กน้อยจากความสัมพันธ์ลุ่มลึก แบบนี้ด้วย เพราะในสายตาคนอื่นเขาก็เป็นตัวสำคัญเช่นกัน เพียงแต่ระดับความสำคัญต้องดูที่ว่าเขามีกำลังรบอย่างไร

ชั่วขณะที่เปลวเพลิงสีม่วงกระจายออกและกำลังจะสิ้นสุดวันที่เจ็ด ก็ยังไม่มีใครมาเสริมอีก ซูหมิงรู้ว่าคนที่เข้าเตาหลอมครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่จะมีแค่คนเหล่านี้กับตน

ครั้นทะเลเพลิงสีม่วงใกล้จะหายไป

นอกจากชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกับจื่อหลงเจินเหรินที่ยังมีสีหน้าปกติแล้ว คนอื่นๆ ต่างเกิดการเปลี่ยนแปลง บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงจ้องไปทางเตาหลอมลำดับห้า จูโหย่วไฉใต้ร่างก็จิตใจจดจ่อตั้งมั่น และยังมีเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวอีกคน ตอนนี้ดวงตาเป็นประกายเฉียบคม กำลังเฝ้ารอชั่วเวลาระหว่างที่เพลิงม่วงหายไปแล้วเพลิงดำปะทุเช่นกัน

โดยรอบนอกจากเสียงอึกทึกจากเปลวเพลิงแล้วก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างอยู่ในความเงียบ ซูหมิงก็มองเตาหลอมลำดับห้าที่ห่างไปแสนจั้งอย่างเดียว ถึงตอนนี้มองไปจะเห็นว่าทั้งหมดเป็นเปลวเพลิงสีม่วงก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป เปลวเพลิงสีม่วงจะค่อยๆ ลดน้อยลง

ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ซูหมิงเห็นทันทีว่าเพลิงสีม่วงนอกเตาหลอมพลันหายไป!

ทันทีที่หายไป เขาเห็นเตาหลอมใหญ่ยักษ์ไร้ที่เปรียบอย่างชัดเจน มันเป็นสีดำ ไม่รู้ว่าสร้างจากโลหะอะไร และยังแผ่กระจายแรงกดดันที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคน

แทบเป็นช่วงที่เปลวเพลิงสีม่วงหายไป ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองก้าวเดินเป็นคนแรก เขาพุ่งตรงไปยังเตาหลอมลำดับห้าด้วยความเร็วในพริบตา ขณะเดินหน้าคิ้วสองข้างยังปลิวไสว ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของความเร็ว คิ้วสองข้างก่อขึ้นเป็นมังกรสีเหลืองสองตัววนเวียนรอบตัวเขา ส่งผลให้มีพลังเหลือล้นจนน่าทึ่งในยามนี้

รองลงมาคือจื่อหลง เขาตบมือขวาบนตัวมังกรแดงฉาน มังกรพลันหายวับไป ส่วนตัวเขาขยับวูบไหวไปข้างหน้า หลังจากมีเสียงคำรามพิลึกดังมาจากในตัวเขาแล้ว สายรุ้งยาวจากร่างเขาก็เหมือนกับมังกรยาวสีม่วงตัวหนึ่ง ใช้พลังที่ทำให้ฟ้ากระจ่างดาวรอบๆ สั่นไหวพุ่งไปข้างหน้า

ต่อมาถึงจะเป็นสามคนที่เหลือ ซูหมิงอยู่ท้ายสุด ย่วนเว่ยใต้ร่างเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ทะเลเพลิงรอบตัวหมุนตลบและกลายเป็นสีดำของย่วนเว่ยในเวลาเดียวกัน กระทั่งในเปลวเพลิงสีดำยังแฝงไว้ด้วยความแค้นรุนแรงที่ไม่เลือนหาย เปลวเพลิงสีดำนี้ไม่ใช่เพลิงทำลายล้าง แต่คือเพลิงแห่งความแค้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version