บทที่ 217 เลือดต้องล้างด้วยเลือด! (ต้น)
บูรณะสถานศึกษาฉางหลาน!
เยี่ยฉวนเลือกทำเลที่ตั้งแห่งใหม่ไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เป็นภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ถัดไปทางทางด้านหลัง ความสูงไม่มากนักเพียงร้อยจั้งเท่านั้น ที่ด้านหน้ามีน้ำตกขนาดใหญ่ มวลน้ำมหาศาลไหลแรงจากข้างบนสู่ข้างล่าง ดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
ด้วยความช่วยเหลือจากสำนักอัปสรเมรัยและราชสำนักเจียง การก่อสร้างสถานศึกษาแห่งใหม่จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น บัดนี้บนภูเขาสูงมีคนงานกว่าหนึ่งพันเข้ามาก่อสร้างด้วยความขยันขันแข็งเป็นประจำทุกวัน!
สำนักอัปสรเมรัยคอยจัดหาอุปกรณ์ทุกสิ่งสรรพที่ใช้ในการก่อสร้างตามที่ต้องการ! ตอนนี้ทั้งสำนักอัปสรเมรัยและราชสำนักแคว้นเจียงเกือบเรียกได้ว่า ต้องทุ่มเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อสานสัมพันธ์กับเยี่ยฉวนและพวกของเขา
เยี่ยฉวนมีหรือจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากทั้งฝ่าย ได้มิตรเพิ่มหนึ่งคน ย่อมดีกว่าได้ศัตรูเพิ่มหนึ่งคน! อีกอย่าง ต่อไปสถานศึกษาฉางหลานต้องอยู่ในแคว้นเจียง การที่มีกองกำลังอำนาจทั้งสองหนุนหลังจึงย่อมเป็นสิ่งที่เยี่ยฉวนไม่บ่ายเบี่ยง!
ณ บนเขาสูง เยี่ยฉวนเดินเข้ามาที่ก้อนหินใหญ่ มีคนสามคนตามเข้ามาสมทบ คนทั้งสี่ยืนอยู่เบื้องหน้ากองของล้ำค่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยอดศาสตราวุธจิตวิญญาณและสรรพวุธขั้นประกายแสง ล้วนเป็นของที่เก็บมาจากร่างของยอดยุทธ์ขั้นผนึกยุทธ์ที่ไร้วิญญาณ อีกประการหนึ่งหลายสิ่งในจำนวนของที่มีมากมายเหล่านั้นได้จากสถานที่แห่งความลับทั้งสิ้น!
กองพะเนิน!
จะว่าไปคนทั้งสี่อาจเข้าขั้นเศรษฐีของแคว้นก็ว่าได้! เยี่ยฉวนยืนอยู่เบื้องหน้าเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าเลือกเอาว่าใครจะใช้อะไรได้ และเก็บสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนเหลือข้าจะนำออกประมูลขาย”
สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการฟื้นฟูสถานศึกษาจะเป็นอะไรไปได้เล่า? ถ้าไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานที่เรียกว่าเงิน! เมื่อนึกถึงว่าจะมีค่าใช้จ่ายสาระพัดตามมา เยี่ยฉวนถึงกับกุมขมับ!
โม่อวิ๋นฉีและคนอื่นหันมองหน้ากัน และต่างคนต่างส่ายหน้า เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าเอาของพวกนี้ไปขาย นำเงินมาสร้างสถานศึกษาดีกว่า!”
เยี่ยฉวนสั่นศีรษะ “ตอนนี้เหลือแต่พวกเราสี่คน ฉะนั้นพวกเราจำเป็นต้องมีของไว้ใช้เพิ่มความแข็งแกร่ง พวกเราจะอ่อนแอไม่ได้ พวกเจ้าทั้งสามควรหาของล้ำค่าไว้ใช้ป้องกันตัวเอง!”
ทั้งสามคนเหลือบมองตากัน ในที่สุดโม่อวิ๋นฉีจึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั่น ข้าเลือกก่อนก็แล้วกัน!” แล้วคนพูดได้สะบัดมือข้างขวาครั้งหนึ่ง พลันรองเท้าหนังหุ้มขาสีดำปรากฏออกบนฝ่ามือ ของล้ำค่าขั้นประกายแสงระดับต้น!
โม่หนุนฉีสวมรองเท้าหนังหุ้มขาทันที ฉับพลันร่างของเขาลอยวืดขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว!
เขาเหลือบมองที่เท้าพลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ของล้ำค่านี่ทำให้ข้ามีความเร็วเพิ่มขึ้นอีกสามถึงสี่ในสิบส่วนทีเดียว! ต่อให้ศัตรูขั้นผสานเทพก็ไม่มีทางไล่ตามข้าทันแน่!”
เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตอนนี้พวกเจ้าเป็นขั้นทะยานสวรรค์ ดังนั้นจงเร่งฝึกปรือให้ถึงขั้นสันโดษในเร็ววันเถิด!” จากนั้น เขาเบนหน้าไปที่จี้อันซื่อและไป๋เจ๋อ “พวกเจ้าสองคนก็เหมือนกัน รีบฝึกฝนให้ได้ขั้นสันโดษโดยเร็วด้วยเล่า!” คนที่ได้ฟังต่างพยักหน้าพร้อมกัน
เยี่ยฉวนเห็นดังนั้นจึงร้องเร่งดังมา “เอาเลย!”
ไป๋เจ๋อยืนมองของล้ำค่ากองมหึมาเบื้องหน้าครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาเลือกได้เกราะแขนคู่หนึ่ง!
เป็นเกราะแขนคู่สีดำ ซึ่งแม้แต่ไป๋เจ๋อเองยังไม่สามารถบอกได้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใด แต่ที่แน่ๆ มีส่วนทำจากหนังของสัตว์ป่า!!
เกราะแขนคู่นี้เป็นของล้ำค่าขั้นประกายแสงระดับต้นเช่นเดียวกัน คนตัวใหญ่ทดลองสวมขณะที่เกราะปรับย่อส่วนลงให้พอดีกับผู้ที่สวมใส่ ต่อจากนั้นหนังสัตว์ร้ายพลันเริ่มขยับเคลื่อนไหว ราวกับมันได้กลับมีชีวิตอีกครั้ง!
ไป๋เจ๋อเงยหน้ามองคนอื่นซึ่งกำลังจับตามองตนอยู่พอดี สีหน้าของคนร่างใหญ่บ่งบอกว่าตื่นเต้นยิ่งนัก “ของชิ้นนี้เป็นเกราะแขนหนังสัตว์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์จริงๆ เวลาที่สวมใส่อยู่เช่นนี้ พลังของข้าเพิ่มขึ้นเกือบสี่ในสิบส่วนเลยนะ!”
สายตาของผู้พูดปรากฏแววตาบางอย่าง ขณะที่คนหันไปที่เยี่ยฉวนและกล่าวว่า “พี่หัวขโมยเยี่ย เจ้าฝึกฝนพลังกายา เกราะแขนนี้น่าจะมีประโยชน์กับเจ้า…”
หลังเยี่ยฉวนได้ยิน เขาพลันส่ายหน้าทันที “เจ้าใช้หรือข้าใช้ มันก็ไม่ต่างกันหรอก!” ไป๋เจ๋อได้ฟังเช่นนั้น เขามองหน้าเยี่ยฉวนเงียบเฉย ไม่โต้แย้งอะไร แต่เจ้าตัวรู้สึกความอบอุ่นวาบในใจอย่างช่วยไม่ได้
ความจริงคนทั้งสี่มีความรู้สึกร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวมานานแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนใช้ของล้ำค่า มันก็ไม่ต่างอะไร!
ชายหนุ่มเบนหน้าไปทางจี้อันซื่อ ผู้กำลังมองไปทางกองสิ่งล้ำค่าเบื้องหน้า หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก อีกฝ่ายจึงส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่อยากได้อะไร”
เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เอาไว้ข้าหาดาบดีๆ ได้แล้ว ค่อยนำมาให้เจ้าก็แล้วกัน!” หลังจากนั้นเขาจึงรวบรวมของล้ำค่าที่มีทุกสิ่งอันก่อนหันมาพูดกับพรรคพวกทั้งสี่ “ต่อไปนี้ข้าจะให้แม่นางจี้รับหน้าที่ดูแลการก่อสร้าง ส่วนเจ้าไป๋เจ๋อ เจ้าเข้าไปในป่าขึ้นไปบนเขาสูงสำรวจหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับไว้ฝึกพลัง และจะได้ก่อสร้างสถานที่หอฝึกพลัง”
“เจ้าจะรับคนเป็นศิษย์อย่างนั้นหรือ?” โม่อวิ๋นฉีถามโพล่งขึ้น
เยี่ยฉวนพยักหน้าตอบว่า “ใช่แล้ว สถานศึกษาต้องมีศิษย์ อย่างไรก็ตามข้าจะไม่เลือกเพราะความต้องการส่วนตัว คนที่จะมาเป็นศิษย์ต้องผ่านตามกฎเกณฑ์การคัดเลือกศิษย์ เอาไว้เราค่อยคุยกันวันหลัง ตอนนี้รีบสร้างสถานศึกษาให้เสร็จก่อน!”
เขาหันมาทางโม่อวิ๋นฉี “พี่ใหญ่โม่ เจ้าค่อนข้างหน้าหนาหน้าทน เพราะฉะนั้นเจ้าต้องเป็นคนลงจากภูเขาและประกาศให้เป็นที่รู้ทั่วไปว่าสถานศึกษาฉางหลานจะทำการคัดเลือกศิษย์ เมื่อข่าวเริ่มแพร่ออกไป มันอาจจะมีพวกบัณฑิตจากเมืองหลวงสนใจ คนพวกนี้มีความสนใจใฝ่รู้ ต่อไปภายหน้าฉางหลานจะไม่เป็นเพียงสถานศึกษาที่เน้นแต่ฝึกพลัง แต่พวกเราจะเน้นการศึกษาจากตำราด้วย!”
โม่อวิ๋นฉีซึ่งจับตามอง แววตาฉงนฉงาย พลันเอ่ยถามรวดเร็ว “ศึกษาจากตำรา?” เยี่ยฉวนพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “พวกเราไม่เพียงฝึกปรือให้ศิษย์มีความแข็งแกร่ง ทว่าพวกเขาต้องฝึกทั้งพลังทางกายและสติปัญญา ข้าไม่อยากให้ศิษย์ของเรามีแต่พวกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว!”
โม่อวิ๋นฉีรีบพยักหน้า “ใช่ ศิษย์ของที่นี่จะต้องไม่เหมือนพวกฉางมู่ ไม่เอาไหนพวกนั้นแม้แต่คนเดียว” เยี่ยฉวนพนักหน้า จากนั้นเขาหันไปทางจี้อันซื่อ “ปล่อยให้พวกผู้ชายจัดการเรื่องห้องโถงไว้ทุกข์และสถานที่ก่อสร้างก็แล้วกัน อันดับแรกจะต้องสร้างห้องโถงไว้ทุกข์ หลังจากนั้นพวกเราจะไปสถานศึกษาฉางมู่เพื่อนำร่างศิษย์ของเราที่แขวนอยู่ริมทางเดินขึ้นภูเขาฉางมู่กลับมาให้หมด!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยฉวน จี้อันซื่อถึงกับตัวสั่นน้อยๆ นางหันไปมองหน้าคนพูดแต่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว เยี่ยฉวนผุดลุกขึ้นยืนและหันหน้าไปยังทิศทางของท้องฟ้า “พวกเขาจะได้กลับบ้านสักที!”
— จบตอน —
