Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 289


บทที่ 289 ร่วมเป็นร่วมตายไปด้วยกัน!

ทุกสายตาของคนที่อยู่ในบริเวณมองมาที่เยี่ยฉวนเป็นจุดเดียว

พลังขั้นผสานเทพ! เวลานี้คนในกลุ่มทุกคนล้วนมีพลังขั้นสันโดษ ที่จริงเพียงเท่านี้พวกเขาก็นับว่ากล้าแกร่งมิใช่น้อย จัดว่าเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินชิงก็คงไม่ผิดเพี้ยน!

แต่นั่นยังไม่เพียงพอหรือ? ไม่พอแน่นอน! ห่างไกลคำว่าพอเสียด้วยซ้ำ! เพราะศัตรูของพวกเขาคือสถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการ

ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานศึกษาฉางมู่จะถูกทำลายเสียเป็นส่วนใหญ่แล้วก็ตาม แต่ดินแดนอันธการแทบไม่ได้รับความเสียหายเลย และที่ยิ่งกว่านั้นคือฉางมู่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่งส่งขุนศึกแห่งเต๋าออกมาเพียงยี่สิบ สำหรับคนพวกนั้นแล้วการสูญเสียขุนศึกเต๋าทั้งยี่สิบยังถือว่าเล็กน้อย!

อีกทั้งสถานศึกษาฉางมู่แห่งแผ่นดินชิงก็ยังดำรงอยู่! ทั้งอาณาจักรต้าอวิ๋นนั่นก็ด้วย! อาณาจักรแห่งนี้ที่ส่งพลธนูซึ่งเคยปะทะกันมาก่อนหน้า……ทุกคนต่างรู้ถึงสถานการณ์ที่ยังตึงเครียด!

ตราบใดที่สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการยังมีอยู่ ความขัดแย้งย่อมไม่มีสิ้นสุด! โม่อวิ๋นฉีรับคำเรื่องที่เยี่ยฉวนขอให้จัดการแล้ว จึงหันกลับออกไปทันที ขณะที่สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่เยี่ยฉวน

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งขณะกล่าวมาอีกว่า “นับตั้งแต่ข้าบอกว่าจะรวมกลุ่มกองกำลังจอมโจร ข้าได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด จึงอยากแจ้งให้พวกเจ้าทุกคนรู้ถึงกฎกติกาข้อหนึ่ง เมื่อเราเป็นกองกำลังจอมโจรดังนั้นทุกคนมีส่วนร่วมกันทั้งคำสรรเสริญและความเสื่อมเสีย! ทุกคนจะต้องร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน!”

มีส่วนร่วมกันทั้งคำสรรเสริญและความเสื่อมเสีย! ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน! ลู่ป้านจวงนิ่งมองเยี่ยฉวน พลันหญิงสาวพยักหน้าทันทีที่เขาพูดจบ “ตกลง!” จากนั้นทุกคนพยักหน้าตาม

หลังจากเหตุการณ์ต่อสู้แทบเป็นแทบตายที่แคว้นถังมาด้วยกัน ทุกคนมีความรู้สึกเสมือนพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายอย่างแท้จริง

เยี่ยฉวนลุกขึ้นจากโต๊ะ “เอาล่ะพวกเจ้าไปพักผ่อนกันได้แล้ว พยายามรักษาบาดแผลให้หายเร็วๆ ข้ามีเรื่องต้องทำสักหน่อย” ตอนนั้นลู่ป้านจวงพูดขึ้นทันที “ถ้าเจ้าจะซื้อหาสิ่งใดต้องบอกให้พวกเรารู้ด้วย เพราะทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในการซื้อหา ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องจัดการชัดเจนจะได้ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายในภายหลัง!”

พลันหลิงฮั่นส่งเสียงมาสนับสนุนอีกคน “พี่ใหญ่พูดถูก ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นพี่เป็นน้องก็ต้องจัดการให้ชัดเจน ดังนั้นทุกคนต้องมีส่วนออกเงินช่วยเหลือกัน หวังว่าพี่เยี่ยจะเข้าใจ” ครั้งนี้เหยี่ยลี่และคนอื่นต่างพากันพยักหน้าเห็นคล้อยตาม!

พวกเขารู้ดีถึงความเป็นคนใจร้อนของเยี่ยฉวน ด้วยความที่มิใช่คนตระหนี่ถี่เหนียวโดยนิสัย ทว่าบางครั้งบางคราจะเป็นการดีที่ควรกระจ่างชัดเจน ต่อให้เป็นพี่น้องที่รักกันมากแค่ไหน เมื่อถึงเวลาจ่ายก็ต้องจ่าย!

เยี่ยฉวนอมยิ้ม “วางใจเถอะข้าไม่เสียเงินเสียงทองให้พวกเจ้าเปล่าๆ แน่ อย่าฝัน!” หลังจากนั้นก็หันหลังเดินกลับออกไป ทิ้งให้คนที่เหลือนิ่งงัน ได้แต่มองหน้ากันไปมา

เมื่อออกมาข้างนอก เยี่ยฉวนจึงได้พบกับเจียงจิ่ว สตรีนางยังสวมเกราะเงินซึ่งทำให้รูปร่างสมส่วนดูทะมัดทะแมง! ฝ่ายหญิงเอ่ยทัก “เดินเล่นกับข้าหน่อย!” เยี่ยฉวนผงกศีรษะ

ขณะที่เดินเอื่อยๆ ตลอดเส้นทางอันเงียบเชียบ ตั้งแต่เริ่มออกเดินมาต่างคนต่างเงียบมิมีฝ่ายใดเริ่มก่อน จนไม่แน่ว่าผ่านไปนานเท่าใดเสียงหญิงสาวเอ่ยมาจากทางด้านข้าง “คราวหลังอย่าทำอะไรที่เสี่ยงตายอีก!”

เสี่ยงตาย! คราวที่พวกเยี่ยฉวนบุกเข้าสู่ใจกลางแคว้นถัง ทันทีที่ได้รับแจ้งข่าวเจียงจิ่วเองถึงกับตกใจ! ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในคราวแรกคือโมโห ด้วยการกระทำเช่นนี้ของเยี่ยฉวนเป็นความเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง! ปฏิกิริยาที่สองคือวิตกกังวล!

หลังจากนั้นนางจึงส่งหน่วยสืบเข้าไปแคว้นถังเพื่อสืบข่าวพวกเยี่ยฉวน เคราะห์ดีที่ได้ความช่วยเหลือจากสำนักอัปสรเมรัย นางจึงตัดสินใจนำกองกำลังบุกเข้าไปในจังหวะที่สำคัญ!

เยี่ยฉวนกล่าวตอบเสียงเบา “ตอนนั้นข้าไม่ทันได้คิดน่ะขอรับ” จากนั้นจึงหันมาทางหญิงสาว “ท่านมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแคว้นชูกับแคว้นเย่วบ้างไหม ขอรับ?”

เจียงจิ่วสั่นศีรษะ “ยังไม่มีความเคลื่อนไหว!” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว “พวกนั้นกำลังคิดทำอะไร?” ฝ่ายหญิงเอ่ยวาจาออกเยาะหยัน “สถานการณ์ของแคว้นถังเป็นเช่นนี้ ใครจะกล้าเคลื่อนไหว?” เยี่ยฉวนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ท่านวางแผนอย่างไรบ้างขอรับ?”

เจียงจิ่วหันมามอง “แล้วเจ้าล่ะ คิดว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มนิ่งคิดนิดหนึ่ง “หากเป็นข้า คงจะไม่ปล่อยให้ยืดเยื้อไปนานหรอก” เจียงจิ่วคลี่ยิ้ม “แน่นอนแคว้นสองแคว้นนั่น มิใช่คนที่จะบอกได้ว่าการต่อสู้จะดำเนินไปอย่างไร!” ฝ่ายหญิงหยุดนิ่งก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เวลานี้เจ้าทำคุณใหญ่หลวงให้แคว้นเจียง คิดหรือยังว่าอยากได้รางวัลอะไร?”

เยี่ยฉวนได้ยินเช่นนั้นถึงกับนิ่งงัน จากนั้นจึงสั่นหน้าดิก “ไม่ต้องการขอรับ!” ฝ่ายหญิงหันมามองหน้าเยี่ยฉวนเต็มตา “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะพูดอย่างนี้ ข้าเลยจัดการเตรียมของขวัญไว้ให้ เอาไว้เจ้ากลับไปฉางหลานเมื่อไรก็จะรู้เอง”

ชายหนุ่มทำท่าจะเอ่ยปากพูด พลันร่างของคนผู้หนึ่งทะยานเข้ามาที่เบื้องหน้าเยี่ยฉวนและเจียงจิ่ว คนผู้นี้คือจ้าวหอชั้นเก้าแห่งแคว้นเจียง! ไม่สิ บัดนี้เขาเป็นจ้าวหอชั้นห้าต่างหาก!

เมื่อเห็นผู้ที่เพิ่งเข้ามาถนัดตา เจียงจิ่วจึงหันไปพูดกับเยี่ยฉวน “พวกเจ้าคุยกันเถอะ!” ว่าแล้วนางจึงปลีกตัวออกไปทันที!

จ้าวหอชั้นห้าเมื่อเห็นเยี่ยฉวน เขารีบตรงรี่เข้ามาหยุดเบื้องหน้า ขณะสายตาเพ่งมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา “เจ้าสำเร็จสันโดษแล้วสินะ! ยินดีด้วยสหายข้า!” เยี่ยฉวนห่อกำปั้นคารวะ “ท่านผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องขอร้องสักหน่อยขอรับ”

จ้าวหอชั้นห้าเมื่อได้ยิน สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยพลางว่า “บอกมาได้เลย” ฝ่ายอาวุโสน้อยกว่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกข้าต้องการใช้วิธีเร่งรัดให้สำเร็จขั้นผสานเทพน่ะขอรับ!”

“ขั้นพลังผสานเทพ!” คนที่เป็นจ้าวหอชั้นห้านิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดหนักอึดใจใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกสะดุดใจต่อท่าทีของคนตรงหน้า “มีอะไรหรือขอรับ?”

ภายหลังจากนิ่งงันไป พักหนึ่งต่อมาจ้าวหอจึงกล่าวว่า “โอสถพลังผสานเทพเป็นสมุนไพรเลอค่ายิ่งนักด้วยบรรจุพลังชี่แห่งธาตุทั้งห้า ถ้าคนขั้นยอดยุทธ์สันโดษกินยาโอสถพลังผสานเทพเสริมพลังชี่ธาตุทั้งห้านี้ คนผู้นั้นจะสามารถบรรลุขั้นผสานเทพในทันที แต่ว่า……” คนพูดเหยียดมุมปากออกนิดหนึ่ง “แต่ว่าราคาสูงมาก โอสถเพียงเม็ดหนึ่งมีราคาขั้นต่ำร้อยล้านเหรียญทอง”

“ร้อยล้าน!” เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มถึงกับย่นหัวคิ้วขมวดแน่น ร้อยล้านเหรียญทองแพงอะไรเช่นนี้! แม้แต่ตระกูลอันดับต้นๆ แห่งแคว้นเจียงยังยากจะมีปัญญาจ่ายเงินมากมายขนาดนั้น!

เสียงของคนเป็นจ้าวหอชั้นห้ากล่าวสืบไป “แม้ยาโอสถพลังผสานเทพจะมีราคาแพง ก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่ายด้วยไม่มีใครยอมขาย เพราะเป็นของที่ได้มายาก ถึงมีก็มักถูกโก่งราคาถึงเกือบ 130 ล้านเหรียญทองทีเดียว”

ขณะนั้นเขาหันมาทางเยี่ยฉวน “แต่ถ้าเจ้าต้องการ ข้าอาจหาให้ได้สักหนึ่งหรือสองเม็ด” ชายหนุ่มตอบเสียงแห้ง “ท่านผู้อาวุโส ข้าต้องการ 13 เม็ด ขอรับ!”

“13 เม็ด!” จ้าวหอได้ยินถึงกับเบิกตาโพลง พลันยิ้มเฝื่อนพลางว่า “สหายข้า……นั่นเป็นจำนวนมากเอาการ!” เยี่ยฉวนห่อกำปั้นพร้อมค้อมกาย “กรุณาด้วยขอรับท่านผู้อาวุโส! เห็นทีครั้งนี้ต้องรวบกวนทางสำนักท่านแล้ว!”

ฝ่ายผู้อาวุโสนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดจึงพยักหน้า “ข้าจะขอให้ทางสำนักใหญ่ช่วยจัดซื้อยาโอสถพลังผสานเทพก็แล้วกัน แต่ไม่รับปากว่าจะสามารถหาได้ครบทั้ง 13 เม็ด แต่สำนักอัปสรเมรัยจะพยายามอย่างเต็มที่!”

อีกฝ่ายรีบกระแทกกำปั้นคารวะของคุณ “ขอบพระคุณขอรับ!” จ้าวหอชั้นห้ายิ้มน้อยๆ “พวกเราเสมือนคนในครอบครัว เจ้าไม่ต้องขอบอกขอบใจมากนักหรอก”

เยี่ยฉวนพูดว่า “ท่านผู้อาวุโสยังมีอีกเรื่อง ข้าอยากได้ศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสงสัก 13 ชิ้น ด้วยขอรับ และถ้ามีชนิดที่ใช้ต้านการปะทะก็จะยิ่งดีขอรับ”

“ศาสตราวุธจิตวิญญาณขั้นประกายแสง!” จ้าวหอนิ่งคิดครู่หนึ่งพลันพยักหน้ารับคำ “หาไม่ยาก หากเจ้ามีเงินมากพอแต่ข้าจะขอซื้อมาจากสำนักใหญ่ คาดว่าใช้เวลาไม่เกินสิบวันก็น่าจะส่งมาถึง”

สิบวัน! คนหนึ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ได้สิขอรับ! อีกเรื่องหนึ่งที่จะรบกวนท่านผู้อาวุโส สถานศึกษาฉางมู่และดินแดนอันธการคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ หากพวกมันมีความเคลื่อนไหว ขอให้ท่านช่วยส่งข่าวแก่ข้าด้วย!” ในด้านการข่าวนั้น สำนักอัปสรเมรัยดูจะได้แข็งแกร่งกว่าสถานศึกษาฉางหลาน แม้แต่แคว้นเจียงก็ไม่อาจเทียบได้

จ้าวหอยิ้มรับพลางว่า “ไม่มีปัญหา ด้วยมีเรื่องโกรธแค้นต่อกันทำให้ทางสำนักอัปสรเมรัยจะต้องคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของฉางมู่และดินแดนอันธการอยู่แล้ว ถ้าทางโน้นมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ข้าจะรีบแจ้งให้ทราบ!”

เยี่ยฉวนผงกศีรษะ “ขอบคุณ!” ฝ่ายอาวุโสส่ายหน้าพลางอมยิ้ม “เจ้ายังเกรงใจอยู่อีก เอาล่ะข้าจะรีบติดต่อทางสำนักใหญ่ เผื่อว่าจะหาสิ่งที่เจ้าต้องการเท่าที่จะเป็นไปได้ ลาก่อน!” จากนั้นคนพูดก็หายวาบไปจากสถานที่

หลังจากคนจ้าวหอชั้นห้ากลับไปแล้ว เยี่ยฉวนกลับเข้ายังที่พักของตนและเข้าสู่หอคอยแห่งเรือนจำทันที! ภายในหอคอย เยี่ยฉวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ในขณะนั้นพลันกระบี่หลิงซิ่วทะยานวาบและลดลงสงบนิ่งตรงเบื้องหน้าคน

กระบี่แท้จริง! ตอนนี้กระบี่หลิงซิ่วกลายเป็นกระบี่แท้จริงแล้ว การให้ชื่อว่า ‘แท้จริง’ เหตุเพราะเป็นแก่นแท้ ทว่าแก่นแท้ของอะไรนั้นหรือ? แก่นแท้ที่ว่าคือแก่นแท้แห่งกระบี่!

มิใช่ว่าจะมีแต่กระบี่ แต่ทุกสิ่งย่อมมีแก่นแท้ของตัวเอง กระบี่แท้จริงจึงหมายความว่ากระบี่รับรู้ถึงแก่นแท้ของตนเอง ในความเป็นจริงคนเราจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นทีละน้อยไปเรื่อยๆ กระบี่ก็เช่นกัน นี่คือวงจรชีวิตของกระบี่! เมื่อพัฒนาขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง กระบี่จะมีจิตวิญญาณความเฉลียวฉลาดของกระบี่เอง และสามารถพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม

เมื่อกระบี่หลิงซิ่วพัฒนาเป็นกระบี่แท้จริง ทำให้ความกล้าแกร่งในการต่อสู้ของเยี่ยฉวนเพิ่มพูนขึ้นด้วย เพียงมีกระบี่เล่มนี้เยี่ยฉวนสามารถสังหารยอดยุทธ์ขั้นผสานเทพได้อย่างง่ายดาย แน่ล่ะ ความแข็งแกร่งมิได้เกิดจากกระบี่ทั้งหมด ต่อให้ไม่มีกระบี่เยี่ยฉวนก็สามารถสังหารยอดยุทธ์ผสานเทพได้อยู่ดี เพียงแต่ถ้ามีกระบี่ก็จะช่วยให้การต่อสู้ง่ายขึ้นเท่านั้น

กระบี่จึงนับเป็นอาวุธที่สำคัญ

สิ่งที่เยี่ยฉวนต้องเร่งทำในเวลานี้คือการฝึกพลังปราณให้มั่นคง เพราะเมื่อคราวที่เขาบรรลุขั้นสันโดษเป็นจังหวะที่รีบเร่งเกินไป พลังที่ได้มาจึงยังไม่ค่อยมั่นคงเท่าที่ควร เขาต้องฝึกความมั่นคงให้แก่พลังปราณก่อนอื่น เพื่อเขาเองจะได้มั่นใจในการบรรลุขั้นผสานเทพต่อไป! มิเช่นนั้น ยามใดที่เขาสำเร็จขั้นผสานเทพ อาจเกิดผลเสียตามมาก็เป็นได้

สองวันถัดมาเยี่ยฉวนจึงออกจากหอคอยแห่งเรือนจำ เมื่อความรู้สึกบอกว่าตนเริ่มปรับตัวเข้ากับพลังสันโดษได้แล้ว

มุ่งสู่ภูเขาหมาง! หลังจากขั้นตอนอำลาลู่ป้านจวงและคนอื่นเสร็จสิ้น เยี่ยฉวนและไป่เจ่อพาฝูงสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปยังภูเขาหมางทันที

สัตว์อสูร! บนแผ่นดินชิงสัตว์อสูรอาจพบเห็นได้น้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มี โดยส่วนใหญ่สัตว์เหล่านี้จะอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงและไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับมนุษย์ ถึงกระนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และสัตว์อสูรก็เป็นไปด้วยความสงบด้วยทั้งสองฝ่ายไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกล้าเข้าร่วมสงคราม ด้วยเหตุนี้ผู้คุ้มครองฟ้าดิน สัตว์อสูรและมนุษย์จึงอาศัยอยู่ร่วมกันด้วยความสงบเรียบร้อย

บัดนี้ด้วยการนำของไป่เจ่อพาฝูงสัตว์อสูรเข้าเขตแคว้นถัง ชาวเมืองต่างออกมามองดูด้วยความตื่นตะลึง อีกทั้งนี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นเหล่าสัตว์อสูรถูกนำมาร่วมสงครามการต่อสู้ของมนุษย์

ในขณะเดียวกัน แคว้นเพื่อนบ้านทั้งหลายของแคว้นเจียงก็พากันตื่นตัว ถ้าแคว้นเจียงมีสัตว์อสูรจากภูเขาหมางร่วมสู้รบด้วยเช่นนี้แล้ว ความแกร่งกล้าของแคว้นอาจเทียบเท่ากับแคว้นหนิงทีเดียว

หนึ่งชั่วยามครึ่งต่อมา เยี่ยฉวนและไป่เจ๋อมาถึงภูเขาหมางพร้อมสัตว์อสูรฝูงใหญ่ ทันทีที่เข้ามาในเขตเขาหมางท้องฟ้าดูราวกับจะมืดครึ้มลงทันที ด้วยความสูงใหญ่ของต้นไม้ในละแวกถ้าคนธรรมดาเข้าไปยืนที่โคนต้นไม้เหล่านั้นคงไม่อาจมองเห็นจนสุดยอดไม้ ใบไม้ที่ปกคลุมบดบังท้องฟ้าหรือแม้แต่แสงแห่งดวงอาทิตย์จนหมดสิ้น

พลันคนที่เดินข้างเยี่ยฉวน ไป่เจ๋อหันมาพูด “นี่หัวขโมยพี่เยี่ย บอกเสียก่อนนะว่าบิดาบุญธรรมของข้าไม่ค่อยเป็นมิตรกับใครง่ายๆ” เยี่ยฉวนหันมาทางคนพูด “พ่อของเจ้าเป็นขั้นผนึกยุทธ์ด้วยใช่ไหม?” อีกฝ่ายหันกลับพลางพยักหน้า “คิดว่ากล่าวเท็จหรือไง?”

เยี่ยฉวนหยุดคิดจิตประหวัดถึงพลังของตนเอง จากนั้นจึงพูดด้วยสุ้มเสียงเคร่งครัด “มนุษย์ควรพูดกันด้วยเหตุด้วยผล เจ้าวางใจเถอะข้าเป็นคนอ่อนน้อมต่อผู้อาวุโส พ่อของเจ้ามีอาวุโสกว่าฉะนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องประลองกัน ข้าจะคุยกับเขาอย่างเป็นมิตรที่สุด!”

หากอีกฝ่ายเหลือบมองขณะเสียงพูดพึมพำ “พูดอย่างกับจะสู้เขาได้อย่างนั้นแหละ……”

— จบตอน —

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version