บทที่ 397 ไข่ของข้าอยู่ไหน? (ต้น)
……
ความรู้สึกปวดแปลบบริเวณท่อนล่าง บอกกับตนเองว่าอะไรสักอย่างกำลังระเบิดออกไปจากร่างกาย ถึงกระนั้น เยี่ยฉวนไม่ได้สนใจแต่อย่างใดด้วยเขายังไม่ได้สตินัก……
……
ต่างคนต่างคว้าข้อเท้าของเยี่ยฉวนไว้คนละข้าง จากนั้นทั่วปาเซียนเหยาและเหลียนว่านลี่จึงพากันเดินหน้าต่อไป……
..
ในระหว่างทาง
เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยจะไม่ยอมหยุดพูดแม้สักวินาที เมื่อนางชำเลืองตาไปยังบริเวณท่อนล่างของเยี่ยฉวน “แม่นางเหลียน ถ้าเราช่วยเขากำจัดต้นตอความเลวร้ายไปแล้วอย่างนี้ เจ้าว่าเขาจะขอบใจพวกเราไหม?”
แววตาของอีกฝ่ายเป็นประกายวิบวับอย่างนึกสนุก “อาจจะไม่!”
“อ้าวทำไมล่ะ?”
ทั่วปาเซียนเหยาหน้ายุ่ง แววตาแสดงความขัดข้องใจอย่างยิ่ง “ข้ากำลังช่วยเขานี่นา!”
เหลียนว่านลี่เม้มริมฝีปาก ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “เซียวเหยา ถึงแม้จะเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้าย แต่ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ชายสิ่งนั้นยังเป็นต้นตอแห่งความสุขด้วย ในเมื่อเจ้าตัดต้นตอแห่งความสุขทางกามารมณ์ของเขาเสียแล้วอย่างนี้ ข้าจึงคิดว่าเขาคงจะไม่ขอบใจเจ้าแน่!”
อีกฝ่ายบิดริมฝีปากทำหน้ายุ่ง “อะไรคือต้นตอความสุข? ทำไมข้าจึงคิดว่าดีเสียอีก ที่ไม่มีเจ้าสิ่งที่น่าขยะแขยงนั่น?”
คนตรงข้ามพยายามหาคำตอบขณะมองตรงด้วยสายตาครุ่นคิด “จะว่าไป ที่เจ้าพูดของฟังดูมีเหตุผล!”
ด้วยเป็นเพราะได้ฟังคำตอบซึ่งแสดงความยอมรับของอีกฝ่าย ทำให้ทั่วปาเซียวเหยากลับฉีกยิ้มอย่างตื่นเต้น “แม่นางเหลียน ถ้าพวกผู้ชายในโลกนี้โดนตัดต้นตอแห่งความชั่วร้ายออกไปทุกคน เจ้าว่าดีไหม?”
เหลียนว่านลี่นิ่งไปนิดหนึ่งจึงตอบด้วยสุ้นเสียงเป็นงานเป็นการ “ความคิดนี้ดีแต่ทำยาก อือ์ม……เรื่องนี้คงต้องดูไปนานๆ”
เด็กสาวพยักเพยิดเป็นเชิงสนับสนุน พลันนางทำท่าฉุกคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนวูบเป็นหม่นเศร้าลงทันที “แม่นางเหลียน เจ้าเห็นสตรีสวมชุดยาวเรียบคนนั้นไหม?”
เหลียนว่านลี่ผงกศีรษะ อีกทั้งสีหน้าหมองหม่นลงเช่นกัน
สาวน้อยตรงหน้ากล่าวขึ้นทั้งแววตาเต็มเปี่ยมด้วยแรงศรัทธาและให้ความเคารพ “ความกล้าแกร่งของนางไม่ว่าจะเป็นบิดาข้าหรือท่านลุงคงไม่สามารถประมือกับนางได้! บางทีข้า……ข้าจะลองดูสักตั้ง!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เหลียนว่านลี่ถึงกับหยุดชะงัก
พลันทั่วปาเซียวเหยารีบชี้แจง “บิดาเคยสอนว่า แพ้ชนะไม่สำคัญแต่จะไม่ยอมเสียหน้า ดังนั้นถึงข้าจะสู้นางไม่ได้แต่ก็ต้องบอกว่าข้าจะพยายาม ต่อให้ข้าไม่มีโอกาสได้สู้กับนางก็เถอะ ใครจะรู้ว่าข้าสู้นางได้หรือไม่ จริงไหม?”
เหลียนว่านลี่นิ่งคิดชั่วขณะก่อนพูดว่า “ฟังดูมีเหตุผล!”
จากนั้นทั้งคู่ค่อยๆ ช่วยกันลากเยี่ยฉวนไกลออกไปกระทั่งลับหายไปจากสายตา
บัดนี้สถานศึกษาฉางมู่กลายเป็นซากปรักหักพังเสียแล้ว
สถานศึกษาฉางมู่พังพินาศไปพร้อมกับการตายของเหล่ายอดฝีมือนับสิบและอีกสองผู้ตรวจการเขตแดน กระนั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้
แผ่นดินชิงเวลานี้พลังชี่จิตวิญญาณกำลังถูกพล่าผลาญไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่เพียงนั้น ผลกระทบยังส่งต่อโลกชิงฉางในระดับหนึ่งด้วย ทว่าในแผ่นดินชิงสถานการณ์จัดว่าเข้าขั้นวิกฤตยิ่ง ด้วยแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศที่มีในแผ่นดินชิงถูกทำลายจนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด!
แม้ว่ากระบี่ของสตรีสวมชุดยาวเรียบจะไม่ตกต้องพื้นดินเสียทีเดียว แผ่นดินชิงยังย่ำแย่ปานนี้ด้วยไม่อาจต้านทานต่อพลังปะทะรุนแรงได้เลย!
ในโลกนี้มีพลังชี่จิตวิญญาณเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศ ซึ่งทุกโลกต่างมีแหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศของตนเอง ผู้ตรวจการเขตแดนจึงทำหน้าที่พิทักษ์แหล่งวัตถุดิบจากการถูกทำลายโดยคนที่มีพลังกล้าแกร่งในโลกของตน ทว่าเวลานี้พลังชี่จิตวิญญาณของโลกถูกทำลายอย่างหนักแล้ว แผ่นดินชิงจะกลายเป็นดินแดนรกร้างไปในที่สุด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสำหรับแผ่นดินชิงเสมือนวันโลกาวินาศทีเดียว และกล่าวได้ว่านี่คือหายนะของโลกชิงฉาง!
ท้องฟ้าเวิ้งว้างเหนือกองซากหักพังที่เคยเป็นสถานศึกษาฉางมู่ ชายวัยกลางคนโผล่ออกมาขณะกำลังลอยตัวอยู่บนอากาศ ใบหน้าก้มต่ำมองลงบนพื้นดินขณะต่อมาเขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน สีหน้าหดหู่เศร้าหมอง!
ที่เบื้องหน้าของชายวัยกลางคนพลันปรากฏชายชราอีกคนหนึ่ง สายตาเขม้นมองคนตรงหน้า “ข้าไม่คาดคิดว่าผู้ทรงเกียรติลู่จะมาถึงแผ่นดินชิง”
ผู้ทรงเกียรติลู่คือผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักผู้ตรวจการเขตแดนในโลกชิงฉาง และเขาผู้นี้นับว่าเป็นหนึ่งในห้าในแง่ของคนที่มีพลังกล้าแกร่งที่สุดในแผ่นดินชิง หากนั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่าสถานะทางสังคมของคนผู้นี้ ผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักผู้ตรวจการเขตแดน เป็นคนที่มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ตรวจการเขตแดนทั้งหมดในโลกชิงฉาง!
ในโลกชิงฉางผู้ตรวจการเขตแดนเป็นตำแหน่งที่มีสถานะสูงที่สุด ในขณะที่ผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักผู้ตรวจการเขตแดนคือคนผู้มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มคนที่ดำรงตำแหน่งที่มีสถานะสูงที่สุดนั่นเอง
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ยกเว้นคนที่มีพลังพิเศษหรือคนพิเศษ ไม่มีใครกล้าลบหลู่คนของผู้ตรวจการเขตแดน
อธิบายให้ง่ายขึ้นผู้ตรวจการเขตแดนมีสถานะเทียบเท่าผู้แทนมวลชน!
ผู้ทรงเกียรติลู่หันมามองคนพูด “อาจารย์ใหญ่ลี่ชิง สถานศึกษาฉางมู่สู้อุตส่าห์เสียเงินจำนวนมหาศาลในการจ้างยอดคนสิบสองคนมาจากโลกแห่งเวทมนตร์ เห็นผลลัพธ์หรือยัง?”
ใบหน้าของอีกฝ่ายนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ “ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คงได้แต่ยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น!”
“ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ?”
ผู้ทรงเกียรติพูดเสียงเรียบ “พลังปะทะกระบี่ของนางหนักหน่วงยิ่งนัก ทำให้แหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศบนโลกชิงฉางถูกเผาผลาญได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในแผ่นดินชิงซึ่งพลังชี่จิตวิญญาณลดลงฮวบฮาบ อีกไม่นานคงไม่มีหลงเหลืออีกแล้ว ไม่แปลกที่ผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ก็เพราะสถานศึกษาฉางมู่ เจ้ายังบอกว่าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”
ลี่ชิงฝืนยิ้ม “ผู้ทรงเกียรติลู่ พูดอย่างนี้จะผลักภาระมาให้สถานศึกษาฉางมู่เป็นคนรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ?
คนที่ถูกเรียกขานใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงออกทางความรู้สึก “อาจารย์ใหญ่ลี่เจ้าก็รู้กฎของโลกชิงฉางแล้ว แผ่นดินชิงเล็กๆ แห่งนี้ คนของเจ้าคนที่มีพลังผนึกยุทธ์สามารถลงสนามประลองฝีมือกันได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ทำลายพลังชี่จิตวิญญาณของแหล่งวัตถดิบชั้นเลิศที่มีอยู่ในเขตแดน ขณะเดียวกันสถานศึกษาฉางมู่จ้างจอมยุทธ์ขั้นพลังควบยุทธ์สะท้านภพถึงสิบสองคนเข้ามาในแผ่นดินชิง ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าพวกเจ้ากระทำการฝ่าฝืน!”
อาจารย์ใหญ่ลี่ชำเลืองมอง “ผู้ทรงเกียรติลู่ แม้จอมยุทธ์สิบสองคนจะเข้ามาในแผ่นดินชิง แต่ผู้ตรวจการเขตแดนก็ไม่ได้ยับยั้งสักนิด!”
คนตรงข้างตอบเสียงเยาะหยัน “ผู้ตรวจการเขตแดนของข้าไม่ได้ยับยั้ง แต่นั่นเป็นเพราะสถานศึกษาฉางมู่ฝ่าฝืนข้อบังคับก่อนมิใช่หรือ?”
ครานี้อีกฝ่ายหน้าเผือดกระทั่งเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ “ผู้ทรงเกียรติลู่ท่านลืมไปข้อหนึ่ง จอมยุทธ์สิบสองคนและอุปทูตฝ่ายซ้ายล้วนถูกฆ่าตายจนหมด ฉะนั้นคนที่ทำลายพลังชี่จิตวิญญาณก็คือเซียนกระบี่สตรีคนนั้น นางต่างหากเป็นตัวต้นเหตุ!”
