บทที่ 403 มังกรกลืนจันทร์ (ปลาย)
……
ใบหน้าของทั่วปาเซียวเหยาเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ “ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักนิด แค่ข้าทำสมบัติล้ำค่าขั้นสวรรค์หายไปเท่านั้นเอง” ……
……
ฝ่ายชายนิ่งงัน นางทำสมบัติล้ำค่าขั้นสวรรค์หายงั้นหรือ?……
..
เด็กสาวทำเสียงฟึ่ดฟั่ด “ข้าก็ไม่ได้อยากทำมันหายนะ! เผอิญข้าเป็นคนหยิบออกมาและจังหวะนั้นมันบินหนีไป! มันสิที่หนีไป ข้าไม่ได้ทำสักหน่อย แทนที่บิดาจะโทษมันกลับมาโทษข้า อย่างนี้ยุติธรรมหรือ? ถ้าเขาไม่ใช่บิดาของข้า ข้าคงฆ่าเขาไปแล้ว!”
ฆ่าบิดาของตนเอง……
คนฟังนิ่งอึ้ง
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับทั่วปาเซียวเหยา นางกระแทกตัวลงข้างเยี่ยฉวนอย่างโกรธๆ “ผู้ฝึกกระบี่ คำพูดของเจ้าน่าเชื่อถือที่สุด ลองคิดดูสิว่าข้าสมควรถูกกล่าวโทษไหม? ข้าไม่ได้ปล่อยให้สมบัติล้ำค่าขั้นสวรรค์หนีไป มันหนีไปเองต่างหาก ข้าก็ช่วยไม่ได้!”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าเข้าใจนะ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ต้องโทษสมบัติขั้นสวรรค์ต่างหาก มันหนีไปทำไม? ถ้ามันไม่หนีก็คงไม่เกิดเรื่อง จริงไหม?”
เด็กสาวจับตามองเยี่ยฉวน สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง “ถ้าบิดาของข้าคิดได้อย่างเจ้า ข้าคงไม่หนีออกมาจากบ้าน”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างระอาใจ เขาคิดที่จะชักจูงให้นางคล้อยตามจึงว่า “ในเมื่อเจ้าหนีออกจากบ้านมานานแล้ว บิดาของเจ้าคงจะเป็นห่วงมาก เจ้าเห็นด้วยไหม?”
อีกฝ่ายทำเสียงฮึดฮัด “ถ้าบิดาไม่ตามข้ากลับ ข้าจะไม่มีวันกลับเด็ดขาด!”
“อ้าวทำไมเล่า?” เยี่ยฉวนถามอย่างงุนงง
ทั่วปาเซียวเหยาพูดเสียงเบา “ถ้าข้ากลับไปเอง จะมีหน้าไปมองใครได้อย่างไร ฉะนั้นถ้าบิดาไม่มาตามข้าก็จะไม่กลับ!”
ฝ่ายคนฟังสิ้นคำพูดตอบโต้
หากอีกฝ่ายกลับโบกมือไปมา “ไม่พูดเรื่องบิดาของข้าแล้ว น่าหดหู่จะตาย”
ว่าแล้วคนพูดเบนหน้าหันมองมาทางเยี่ยฉวน “จอมยุทธ์เยี่ย บาดแผลของเจ้าเกือบหายดีแล้วหรือ?”
เยี่ยฉวนก้มลงทำการสำรวจตรวจตราตามเนื้อตัว จึงพบว่าหายแล้วกว่าแปดถึงเก้าส่วนในสิบส่วน
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงเริ่มเอ่ยขึ้นก่อนว่า “เซียวเหยา เจ้าอยากกลับไปแคว้นเจียงด้วยกันไหม? ข้ากำลังฟื้นฟูสถานศึกษาฉางหลาน และข้าก็เป็นอาจารย์ใหญ่ด้วย!”
“อาจารย์ใหญ่งั้นหรือ?”
เด็กสาวนัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ “เจ้าเป็นอาจารย์ใหญ่ หรือนี่?”
เยี่ยฉวนพยักหน้า “เจ้าเป็นคนฉลาดเฉลียวถ้ากลับไปสถานศึกษาฉางหลานด้วยกัน อย่างน้อยต้องได้เป็นรองอาจารย์ใหญ่ จะว่าอย่างไร?”
ทั่วปาเซียวเหยากระพริบตาถี่ “ทำไมจึงให้ข้าเป็นแค่รองอาจารย์ใหญ่?”
ชายหนุ่มวางสีหน้าขึงขังขณะพูดอธิบายเป็นงานเป็นการ “คนที่เป็นอาจารย์ใหญ่ในทุกๆ วันจะต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ มากมายจนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ในขณะที่คนที่เป็นรองอาจารย์ใหญ่ไม่ต้องพบเจอเรื่องราวน่าปวดหัวจึงมีเวลาผ่อนคลายมากกว่า”
สาวน้อยนิ่งเงียบ ท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “ตกลง รองอาจารย์ใหญ่ก็ได้ ถึงยังไงก็อาจารย์ใหญ่เหมือนกัน!”
ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องห่วง……แล้วเจ้าจะชอบฉางหลาน ไปกันเถอะ!”
จากนั้นเยี่ยฉวนและทั่วปาเซียวเหยาก็พากันออกจากกระต๊อบหลังเก่าและมุ่งหน้าไปที่สำนักอัปสรเมรัย
หลังเหตุการณ์ปะทะกันที่สถานศึกษาฉางมู่ทำให้ผู้คนพากันโจษขานเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินชิง หากทว่าเป็นเพราะได้ส่งผลกระทบต่อพลังชี่จิตวิญญาณจนอ่อนล้าทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีใครใส่ใจเรื่องระหว่างสถานศึกษาฉางมู่และเยี่ยฉวนอีกต่อไป พวกเขาหลายคนต่างกังวลใจเกี่ยวกับแผ่นดินชิงทั้งสิ้น
บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้เคยฝึกปราณเพื่อยืดอายุขัยตนเอง บัดนี้ไร้ซึ่งพลังชี่จิตวิญญาณ หลายคนจึงไม่สามารถฝึกพลังได้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถยืดอายุขัยให้ยืนยาวได้ด้วย
หลายคนต้องตายด้วยขาดพลังชี่จิตวิญญาณ!
เวลานี้มูลค่าของศิลาจิตวิญญาณพุ่งพรวดเป็นจรวด เงิน 3,000 เหรียญทอง ยังซื้อสุดยอดศิลาจิตวิญญาณไม่ได้แม้สักชิ้นเดียว
เหรียญทองคำถูกลดมูลค่าลง ในขณะที่มูลค่าของสุดยอดศิลาจิตวิญญาณกลับพุ่งขึ้นเป็นบ้าเป็นหลัง ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินชิงมิใช่เหรียญทองคำ ทว่าเป็นศิลาจิตวิญญาณ!
ช่วงที่เกิดปัญหาคนเริ่มขาดมนุษยธรรม ดังนั้นจึงเกิดการกระทำทารุณโหดร้ายผิดมนุษย์มนา อย่างปล้มสะดมและสังหารหมู่กระจายในหลายพื้นที่บนแผ่นดินชิง
นั่นจึงเป็นเหตุให้เยี่ยฉวนจำต้องกลับไปยังแคว้นเจียงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
เยี่ยฉวนพาทั่วปาเซียวเหยามายังสำนักอัปสรเมรัย โดยมีหัวหน้าสำนักเป็นผู้ให้การต้อนรับ
คนหัวหน้าสำนักค้อมกายคารวะต่อเยี่ยฉวน “คุณชายเยี่ย มีอะไรจะให้ช่วยขอรับ?”
เยี่ยฉวนตอบโดยไม่อ้อมค้อม “ช่วยจัดเรือเหาะให้พวกเราสักลำเถิดขอรับ ข้าอยากจะกลับแคว้นเจียงให้เร็วที่สุด”
หัวหน้าผงกศีรษะ “คุณชายเยี่ยกรุณารอสักครู่ ข้าจะรีบจัดการให้และอย่างมากไม่เกินครึ่งก้านธูปเท่านั้น”
พูดจบคนหันหลังกลับออกไป
ชายหนุ่มหันมามองเด็กสาว ซึ่งกำลังทรุดตัวลงนั่งขณะเดียวกันก็กวาดตามองไปรอบๆ ท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“กำลังคิดอะไรอยู่?” เยี่ยฉวนถาม
เด็กสาวลุกพรวดจากม้านั่งวิ่งถลันเข้ามากระซิบกระซาบ “สำนักอัปสรเมรัยนี่รวยน่าดู ถ้าปล้นที่นี่จะเป็นยังไง?”
ชายหนุ่มตาเหลือก
ทันใดนั้นเองสีหน้าของทั่วปาเซียวเหยาและเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนกระทันหัน ฉับพลันต่อมาคนทั้งสองหายวาบไปพร้อมกัน และเมื่อปรากฏกายขึ้นด้วยกันอีกครั้งที่ภายนอกอาคาร พลันสำนักอัปสรเมรัยทั้งอาคารพังถล่มราบเป็นหน้ากลองโดยทันที
ชายสวมผ้าคลุมสีดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในอากาศเหนือซากปรักหักพังของสำนักอัปสรเมรัย มือข้างขวากำลังบีบเค้นลำคอของชายชราผู้หนึ่ง!
เขาก็คือหัวหน้าสำนักอัปสรเมรัยคนนั้นเอง!
คนสวมผ้าคลุมดำชำเลืองมองหัวหน้า มุมปากแสยะยิ้มเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยอันตรายอยู่เต็มเปี่ยม “ข้าอุตส่าห์มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งที เจ้ามีหน้ามาบอกว่าสำนักอัปสรเมรัยมีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณแค่สองล้านเท่านั้นหรือ? ล้อเล่นหรือไง?”
ขณะพูดมือข้างนั้นออกแรงบีบแน่นขึ้นๆ จนกระทั่งสีหน้าของชายชราหัวหน้าสำนักเริ่มม่วงคล้ำและพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสูดลมหายใจ
ขณะนั้นเองเยี่ยฉวนซึ่งยืนมองดูจนอดรนทนไม่ไหว จึงตะโกนเรียกคนข้างบน “เฮ้ยจะปล่อยคนไหม ว่าไง?”
ชายสวมผ้าคลุมเบนหน้าหันมองมาทางเยี่ยฉวนทันที พลันนั้นเขาเกร็งข้อมือบีบแรงขึ้นอีก
กร๊อบ!
เสียงกระดูกลำคอของหัวหน้าแหลกละเอียดคามือ!
คนสวมผ้าคลุมคลายมือที่บีบออก พลันร่างไร้วิญญาณของหัวหน้าก็ตกลงมากระแทกพื้นดิน คนบนอากาศหันมามองเยี่ยฉวนบิดมุมปากเล็กน้อยราวยิ้มเยาะ “ปล่อยก็ได้นี่ไง!”
