บทที่ 404 ใครกล้าแตะนาง? (ต้น)
……
ตายสนิท!……
……
เยี่ยฉวนยืนนิ่งอึ้ง เงียบงันไปชั่วขณะ……
..
ในโลกที่มีแต่ความวุ่นวายสับสน คนที่อ่อนแอย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกกำจัดโดยคนที่แข็งแกร่งกว่า คนที่ไม่มีทางเลือกคงได้แต่สู้จนตัวตาย ความมีชื่อเสียงหรือความอัปยศใดๆ ไม่อาจช่วยได้อย่างสิ้นเชิง
นี่คือชีวิตจริง!
ชายสวมผ้าคลุมเขม้นมองเยี่ยฉวนมาจากตรงกันข้าม มุมปากบิดโค้งทำนองยิ้มเยาะ “ทำไมไอ้บอดอย่างเจ้าจึงชอบแส่นัก? ดูสารรูปเข้า ช่างไม่เจียมสังขารเอาเสียเลย”
ทันทีที่พูดจบ คนไม่รอช้าพุ่งทะยานเข้าหาเยี่ยฉวนฉับพลัน
ในจังหวะนั้นเยี่ยฉวนหายวาบไปจากที่แล้ว
แสงสว่างวิบวาบพาดผ่านบริเวณลานกว้าง
ฉึก!
เสียงวัตถุถูกแทรกผ่าดังเสียดแทง
ความเงียบงันครอบคลุมทั่วบริเวณครู่หนึ่ง
เยี่ยฉวนกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแทนที่ชายสวมผ้าคลุม ในขณะที่คนที่เคยอยู่ที่นี่ ชายสวมผ้าคลุมปรากฏอยู่สลับที่กับเยี่ยฉวน
ที่คนทั้งสองยืนมีระยะห่างระหว่างกันราวเก้าจั้ง!
คนสวมผ้าคลุมมีสภาพแขนขวาขาดหายไปทั้งแขน ขณะเดียวกันโลหิตไหลทะลักออกจากบาดแผลฉกรรจ์ที่บ่า ใบหน้าคนซีดเซียวจนดูน่ากลัว
ขณะที่ไม่ปรากฏความผิดปกติกับเยี่ยฉวน ทว่าไม่มีใครทันสังเกตว่ากระบี่ที่เขาถือหายไปไหน!
เยี่ยฉวนหันกลับและเดินตรงไปทางชายสวมผ้าคลุม ซึ่งอีกฝ่ายก็หันกลับมาเผชิญหน้าสายตาเพ่งมองตรงคนที่กำลังเข้ามา “เจ้าก็มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันล่ะซี!”
หากชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม กลับฉวยกระบี่ไว้ในมือและสาวเท้าตรงมาทางชายสวมผ้าคลุม ขณะนั้นเยี่ยฉวนกำลังอ้าปากจะพูด พลันค้อนตีตะปูอันหนึ่งได้ฟาดเปรี้ยงลงกลางศีรษะคนตรงหน้าอย่างถนัดถนี่
เปรี้ยง!
พลันศีรษะของชายสวมผ้าคลุมแบะออกจากกัน คนจึงขาดใจตายทันที
ชายหนุ่มอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหันไปมองทั่วปาเซียวเหยา “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย!”
สาวน้อยโบกมือข้างขวาพลันนั้นค้อนตีตะปูก็ทะยานวาบกลับมาสู่อุ้งมือผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งหันมามองหน้าคนยืนข้าง “ตอนนี้พูดได้แล้ว! อยากจะพูดอะไรก็เชิญ เขาไม่มีทางคัดค้านเจ้าอีกแล้ว”
เยี่ยฉวน “……”
จู่ๆ เด็กสาวก็เดินเข้ามาจนใกล้และทำท่ากระซิบกระซาบให้ได้ยินเพียงสองคน “เจ้าคิดว่าข้าทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มหุบปากเงียบ นางไม่รุนแรงเกินไป แต่โค-ตะ-ระ รุนแรงต่างหาก ใช่ไหม?
ทั่วปาเซียวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงแสดงว่าบริสุทธิ์ใจเต็มที่ “บิดาเคยบอกว่าสตรีเมื่อออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ต้องรู้จักดูแลตัวเอง ถ้าไม่แสร้งทำเป็นดุดันก็จะถูกเขารังแกเอาได้ ดังนั้นข้าจึงต้องระมัดระวังตัวให้มากเมื่ออยู่ในโลกภายนอก ถ้ามีใครมาคุกคามข้าจะฟาดมันด้วยค้อนอันนี้ ถ้าฟาดครั้งเดียวไม่ได้ผล ข้าจะฟาดซ้ำ และจะไม่หยุดฟาดจนกว่ามันจะตาย!”
คนพูดพลางสีหน้าขึงขัง แน่ชัดว่านางต้องเคยทำมาแล้วหลายครั้ง
เยี่ยฉวนกระตุกมุมปากยิ้มแหย แม้ว่าภายนอกจะดูราวเด็กสาวแสนซนทั่วไป หากแต่แท้จริงนางกลับซ่อนความน่าสะพรึงไว้ภายใน!
ชายหนุ่มเลิกคิดเรื่อยเปื่อยพลันโบกมือข้างขวา และวงแหวนสัมภาระทะยานออกจากร่างคนสวมผ้าคลุมตกปุลงกลางฝ่ามือของเขาที่ยื่นออกไปรอรับทันที เยี่ยฉวนพิจารณาดูสิ่งของที่บรรจุภายในและต้องพบกับความประหลาดใจอยู่ครามครัน ด้วยชายคนนี้มีสุดยอดศิลาจิตวิญญาณสองล้านชิ้น เหนือสิ่งอื่นใดเขามีกระบี่ขั้นประกายแสงเล่มหนึ่งด้วย! นอกจากนั้นมีของล้ำค่าอื่นๆ รวมแล้วมูลค่าราวสิบถึงยี่สิบล้านเหรียญทอง
ทำรายได้พอใช้!
ชายหนุ่มกับเด็กสาวทั่วปาเซียวเหยาช่วยกันแบ่งทรัพย์สินที่ได้มา ซึ่งนางเองก็ดีอกดีใจอย่างยิ่งด้วยได้รับสุดยอดศิลาจิตวิญญาณเพิ่มอีกหนึ่งล้านชิ้น!
ขณะที่เยี่ยฉวนได้กรรมสิทธิ์ในกระบี่ขั้นประกายแสงเล่มนั้น!
ครู่ใหญ่ต่อมาชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นที่ไม่ห่างไปจากเยี่ยฉวนและทั่วปาเซียวเหยาสักเท่าใด เขาผู้นี้ก็คือจ้าวหอชั้นหกแห่งสำนักอัปสรเมรัย
ทว่าสภาพที่เห็นในตอนนี้ ที่มุมปากของคนปรากฏคราบโลหิตไหลริน จ้าวหอชั้นหกได้รับบาดเจ็บ
จ้าวหอจับตามองซากของอาคารที่พังเสียหาย แววตากร้าววูบและดูเหมือนเขาจะนึกได้อะไรบางอย่าง จึงมองกลับมาที่เยี่ยฉวน “คุณชายเยี่ย ขอบใจที่ช่วยเหลือครั้งนี้!”
เยี่ยฉวนรีบเดินเข้ามาหา “ผู้อาวุโส สำนักอัปสรเมรัยกำลังมีปัญหาอย่างนั้นหรือขอรับ?”
จ้าวหอชั้นหกผงกศีรษะ “สหาย เจ้าคงจะรู้แล้วว่าเวลานี้แหล่งวัตถุดิบชั้นเลิศบนโลกชิงฉางถูกทำลายจนสิ้นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แผ่นดินชิง เพราะความขาดแคลนพลังชี่จิตวิญญาณ ผู้คนเลยเกิดความวุ่นวาย แต่ก่อนดินแดนทั่วโลกชิงฉางไม่เคยมีสิ่งผิดปกติเนื่องจากมีผู้ตรวจการเขตแดนคอยสอดส่องดูแล ดังนั้นผู้คนจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรอย่างโจ่งแจ้ง ทว่าตอนนี้……”
คนพูดชะงักหยุดพลางส่ายหน้าพร้อมถอนใจ “……เมื่อไม่มีคำสั่งการจากแผ่นดินชิงและทวีปฉางหลานใดๆ ทั้งสิ้น บรรดากลุ่มอำนาจและกองกำลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่จึงมุ่งเป้าหมายมาที่แผ่นดินชิง และทวีปฉางหลาน ด้วยต้องการแสวงหาทรัพย์จากการตระเวนปล้นสะดม!”
“ไม่มีผู้ตรวจการเขตแดนในแผ่นดินชิงเลยอย่างนั้นหรือ?” เสียงของเด็กสาวถามขึ้นทันที
จ้าวหอชั้นหกสั่นศีรษะเชิงปฏิเสธ “ข้าได้รับแจ้งว่าคนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีไม่เพียงพอ ทางสำนักผู้ตรวจการเขตแดนจึงตัดสินใจเรียกคนของเขาในแผ่นดินชิงและทวีปฉางหลานกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และเพราะเหตุนี้ทำให้กลุ่มอำนาจจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป้าหมายมาที่แผ่นดินชิงและทวีปฉางหลาน ฉะนั้นสำนักอัปสรเมรัยจึงตกเป็นเป้าหมายหลักอย่างไม่ต้องสงสัย”
เด็กสาวพยักหน้า “เห็นด้วย สำนักอัปสรเมรัยร่ำรวยล้นฟ้าออกปานนี้ ข้าเองยังอยากปล้นเลย!”
จ้าวหอได้ฟังแล้วจึงนิ่งเงียบไป
เยี่ยฉวนไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร นางพูดออกมาได้อย่างไร!
ส่วนทั่วปาเซียวเหยามิได้สังเกตว่าคำพูดของตนนั้นมีความผิดปกติแต่อย่างใด นางพูดไปตามที่ใจคิดเท่านั้น ดังนั้นจึงมีเสียงสาวน้อยพูดต่อไปอีกว่า “สำนักอัปสรเมรัยที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตใช่ย่อย พวกเจ้าไม่ได้ส่งคนมีฝีมือไปคอยดูแลหรือ?”
เยี่ยฉวนเบนหน้าไปทางจ้าวหอชั้นหก คำถามนี้ของเด็กสาวเขาเองก็ต้องการฟังคำตอบด้วยเช่นกัน
คนถูกถามยิ้มแห้ง “ทางสำนักใหญ่มีเรื่องยุ่งมากอยู่แล้ว จะเอาพละกำลังที่ไหนไปจัดการกับเรื่องที่แผ่นดินชิงหรือทวีปฉางหลานได้อีกเล่า? ข้าหารือกับจ้าวหอชั้นเจ็ดและจ้าวหอชั้นห้าแล้วว่าถ้าจำเป็น พวกเราอาจต้องปิดสำนักอัปสรเมรัยในแผ่นดินชิงแห่งนี้เป็นการชั่วคราว!”
“ปิดงั้นหรือ?”
ชายหนุ่มนิ่วหน้าทันทีที่ได้รับฟัง “สำนักไม่ได้เสียหายมากมายมิใช่หรือขอรับ?”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของจ้าวหอบ่งชัดถึงอารมณ์ขื่นขมใจยิ่ง “พวกเราไม่มาทางเลือก เวลานี้ทั้งชุมนุมสำนัก ตระกูลใหญ่ จอมยุทธ์อิสระและไหนจะเหล่ายอดฝีมือในทำเนียบแห่งยอดคน ต่างมายังแผ่นดินชิงโดยมุ่งที่จะปล้นสะดม……สำหรับคนเหล่านั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้เห็นสำนักอัปสรเมรัยอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ!”
