Skip to content

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์ 560


บทที่ 560 อานชาง! จิ่งหง! (ปลาย)

คนทั้งสามต่างพากันนิ่งอึ้งหลังจากที่ได้ยิน การหาแนวร่วมเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดจึงมอบหมายให้พวกเขาสามคน?……

ทว่าเจ้าสำนักไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้ มีเพียงโบกมือและว่า “รีบไปเดี๋ยวนี้!” ……

ทั้งสามได้แต่เหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะหันหลังกลับออกจากสถานที่ไป..

เมื่อออกมาข้างนอกแล้ว หนานข่งเอ่ยเสียงห้าว “เหตุใดจึงเป็นเราสามคน? หรือว่าเขาต้องการจะฝึกพวกเรา?”

ซางเยว่ตอบเสียงเบา “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ไม่เพียงต้องการให้พวกเรามีประสบการณ์แต่ต้องการให้พวกหุบเขาแดนพิสดาร สำนักเทียนอินและสำนักเวทย์บรรพกาล ได้เห็นศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักชางเจี้ยนด้วย!”

“เพราะเหตุใด?” เสียงหนานข่งไม่วายแสดงความสงสัย

ซางเยว่หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบว่า “การเป็นสำนักมิใช่ว่าประกอบด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว หากต้องประกอบด้วยคนหนุ่มสาวเลือดใหม่ด้วย ต่อให้สำนักมีรากฐานที่หยั่งลึกยาวนานก็อาจมีวันเสื่อมถอย ท่านเจ้าสำนักจึงต้องการแสดงให้คนภายนอกได้เห็นความสำเร็จของสำนักชางเจี้ยนเรา!”

เมื่อได้ยินคำตอบ ทำให้ทั้งหนานข่งและเยี่ยฉวนจึงเกิดความเข้าใจ!

เวลานี้อันตรายนั้นมีอย่างแน่นอนและเป็นการฝึกฝนไปในตัว อันที่จริงในครั้งนี้เพื่อต้องการแสดงให้กองกำลังอื่นได้เห็นศักยภาพของศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักชางเจี้ยน ด้วยทุกคนต่างรู้ในของรากฐานของสำนักนี้เป็นอย่างดี!

ไม่ต้องกล่าวถึงยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัวอีกจำนวนหนึ่ง ลำพังเซียนกระบี่ทั้งเจ็ดเซียนก็น่าจะพอที่ใช้อธิบายทุกสิ่งอย่างได้เป็นอย่างดี

ครู่หนึ่งซางเยว่พลันพูดขึ้นว่า “ความรับผิดชอบของพวกเรานั้นยิ่งใหญ่นัก!”

เยี่ยฉวนและหนานข่งพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าเขาทั้งสามไม่สามารถโน้มน้าวให้กองกำลังเหล่านั้นเห็นดีเห็นงามด้วยได้ ความร่วมมือย่อมไม่เกิดขึ้น

ซางเยว่เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเสนอว่าน่าจะแยกกันไป!”

พลันหนานข่งถามกลับ “ทำไมเล่า ขอรับ?”

เสียงห้าวของซางเยว่อธิบายว่า “ประการแรกจะทำให้คล่องตัวกว่า แค่พวกเราสามคนก็ไปได้สามที่ ประการที่สองถ้าพวกเราไปพร้อมกัน จะเป็นที่ผิดสังเกต อาจทำให้สำนักผู้ตรวจการเขตแดนเคลื่อนไหวขึ้นมาก็ได้”

ตอนนี้คนพูดบิดมุมปากเล็กน้อย “ถึงแม้คนใดคนหนึ่งขาดไป ยังเหลืออีกสองคนไว้เป็นความหวังไงล่ะ!”

เยี่ยฉวนเหยียดมุมปาก “อย่ามองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยเลย สำนักผู้ตรวจการเขตแดนไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”

อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อยๆ “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้จักพวกมันดีพอน่ะสิ พูดง่ายๆ ข้าว่าเราอย่าประมาทพวกมันจะดีกว่า พวกนั้นอยู่บนโลกชิงฉางมานานนักหนา ก่อปัญหาไว้มากมายจนสาธยายไม่หมดทีเดียว”

เยี่ยฉวนพยักหน้า ที่คนพูดมานั้นเป็นความจริงแม้เขาจะเคยเจอกับผู้ทรงเกียรติลู่ หากก็ไม่เคยรับรู้ความแข็งแกร่งของพวกมันอย่างแท้จริง

ในความคิดของเขา สำนักผู้ตรวจการเขตแดนเป็นอีกหนึ่งสำนักที่ยังคงความเป็นปริศนา!

พลันซางเยว่พูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าเคยไปฝึกฝนอยู่ที่หุบเขาแดนพิสดาร ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่นั่นเอง พวกเจ้าจะว่าอย่างไร?”

ทางด้านหนานข่งจึงบอกว่า “ข้าจะไปสำนักเทียนอิน พอดีมีพี่สาวอยู่ที่นั่นข้าจะได้แวะไปหานางด้วย!”

เหลือแต่เยี่ยฉวน เขาจึงว่า “ได้เลย ส่วนข้าจะไปสำนักเวทย์บรรพกาลเอง!”

ซางเยว่หันมาบอกเสียงเร็ว “พี่อาน สำนักเวทย์บรรพกาลแห่งนี้มีทั้งความน่าพิศวงและแปลกประหลาด เจ้ามาแลกกับข้าจะดีกว่าไหม?”

ชายหนุ่มเผยยิ้ม “สบายมาก ข้าเป็นคนมีอารมณ์ขัน เหมาะสมที่สุดแล้ว!”

ซางเยว่ฟังจึงหัวเราะร่วน “เอาละพวกเจ้าดูแลตัวเอง! ถ้ามีอะไรก็ใช้ศิลาถ่ายทอดสัญญาณส่งข่าวให้คนอื่นรู้ วันนี้พวกเราแยกจากกันที่สำนัก เพื่อวันหน้าจะได้กลับมาพบกันใหม่จำเอาไว้!”

จากนั้นคนพูดได้ออกจากสถานที่ด้วยการเหินกระบี่ ไม่นานร่างนั้นก็ทะยานจนสุดขอบฟ้าไกล

ราชันย์กระบี่!

แสดงว่าที่นี่มีซางเยว่เป็นราชันย์กระบี่อีกคน!

ต่อมามีเสียงหนานข่งพูดขึ้นว่า “ซางเยว่ชอบคิดเผื่อข้า!”

เยี่ยฉวนหันไปทางอีกฝ่ายอย่างสงสัย เสียงหนานข่งบอกต่อไปว่า “ในกระบวนทั้งสามแห่ง สำนักเวทย์บรรพกาล หุบเขาแดนพิสดารและสำนักเทียนอิน สำนักเทียนอินเป็นที่ที่อ่อนด้อยที่สุด สิ่งที่พวกเขาคาดหวังก็น่าจะน้อยที่สุด ถ้าข้าไปทั้งสองที่ที่เหลือโดยไม่ได้เป็นราชันย์กระบี่ คนที่นั่นจะดูถูกเอาได้!”

คนฟังจึงตบบ่าหนานข่งเบาๆ “ในฐานะที่เราเป็นผู้ฝึกกระบี่ความคิดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เจ้าไม่ควรคิดแบบนั้น ซางเยว่เป็นคนดีนั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด!”

อีกฝ่ายหน้าเจื่อนพลางหัวเราะเบาๆ “จริงด้วย”

เยี่ยฉวนยิ้มให้ “แล้วพบกัน”

จากนั้นคนพูดก็หันกลับและทะยานขึ้นสู่เบื้องบนไปพร้อมกับกระบี่ เพียงชั่วพริบตาก็หายลับขอบฟ้าไปอีกคน

หลังจากที่ยืนมองคนทั้งคู่ซึ่งทะยานออกไปก่อนหน้าหายลับตาไปแล้ว หนานข่งส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับมีเสียงรำพึงกับตนเอง “เห็นทีข้าต้องรีบฝึกให้หนักเสียแล้ว!”

จากนั้นตัวเองก็ทะยานวาบออกไป พริบตาเดียวก็ออกไปไกลสุดที่เส้นขอบฟ้า

เมื่อทุกคนไปกันหมดแล้ว เฉินเป่ยฮั่นจึงค่อยเดินออกมา เขายืนนิ่งมองไปยังท้องฟ้าทีท่าราวกับกำลังครุ่นคิด

ในท้องฟ้าขณะนั้นเยี่ยฉวนกำลังเหินกระบี่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยามใดที่คนฝ่าไปท่ามกลางหมู่เมฆา ทุกที่ที่กระบี่พุ่งผ่านก้อนเมฆเหล่านั้นพลันแหวกแยกออกเป็นช่องทาง

เหินกระบี่ฝ่าสวรรค์ผ่านพิภพ!

นี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอด และบัดนี้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

เสียอย่างเดียวน้องสาวตัวน้อยไม่ได้อยู่ด้วย ถ้านางได้มาเห็นคงจะมีความสุขมากทีเดียว

เยี่ยหลิง!

ชายหนุ่มแอบคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเสร็จธุระเมื่อไรจะแวะไปที่ชุมนุมพลังเร้นลับสักครั้ง!

ว่าแล้วเขาจึงระงับความคิดอื่นชั่วคราว จากนั้นจึงหยิบม้วนบันทึกออกมาคลี่เปิด ข้างในเป็นรายละเอียดทำเลที่ตั้งและข้อมูลของสำนักเวทย์บรรพกาล

กองกำลังแห่งนี้เป็นแห่งหนึ่งที่เป็นปริศนา กองกำลังในดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งเปิดเผยในแง่มุมที่ดี เช่นเดียวกับสำนักชางเจี้ยนและหุบเขาแดนพิสดาร ขณะเดียวกันบางแห่งอยู่ในมุมมืด น้อยคนนักจะเคยสัมผัสกับกองกำลังแห่งนี้ ทว่านั่นมิได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่ง!

และสำนักเวทย์บรรพกาลเป็นกองกำลังที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งมาก!

ทันใดนั้นเยี่ยฉวนหยุดชะงัก และหันหน้าไปอีกทิศทาง “ออกมา! ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่ที่นั่น!”

ไม่มีเสียงตอบ!

ชายหนุ่มไม่ว่าอะไรจึงเหินกระบี่มุ่งหน้าต่อไปอีกราวหนึ่งถ้วยชา……

เขาต้องหยุดทุกๆ สองก้านธูปและพูดซ้ำซากอย่างเดิมทุกครั้ง!

กระทั่งผ่านไปสองชั่วยาม เยี่ยฉวนจำต้องหยุดอีกครั้ง และครั้งนี้เขาเอามือสองข้างไพล่หลังพร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ “ออกมาเดี๋ยวนี้! ข้ารู้แล้ว!”

พลันเบื้องหน้าปรากฏเป็นชายชราสามคนเปิดเผยตัวออกมาให้เห็น

“……”

คนท่าทางเป็นหัวหน้าที่แท้ก็คือหมั่วซิ่ว ขณะจ้องเขม็งมายังเยี่ยฉวน “เจ้ารู้ได้ยังไง!”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น……

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version