บทที่ 58 ยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง! (ต้น)
ทั้งเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงที่เห็นเข้าเช่นนั้นก็ถึงกับตะลึงงัน
ผ่านไปชั่วขณะ เยี่ยฉวนได้แต่ส่ายหน้า “ช่างชวนให้คิดถึงเรื่องเก่าๆ เสียจริง!”
เหมือนกับที่เมืองชิง ที่แห่งนั่นผู้ที่มาอยู่ใหม่ย่อมต้องการผูกมิตรกับตระกูลที่มีอิทธิพลในเมือง ส่วนคนที่เป็นผู้มีอิทธิพล พวกเขาเองก็ทำเพียงมองหามิตรที่สามารถให้คุณประโยชน์กับตนเองได้เท่านั้น
“พี่ใหญ่ ชายคนนั้นมันดูถูกท่าน ให้ข้าไปแก้แค้นมันดีไหม?” ลู่หมิงที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่มตลอดเวลาพูดอย่างแค้นเคือง
เยี่ยฉวนหันไปมองเด็กน้อยก่อนจะห้ามปราม เขาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “คนพวกเดียวกันย่อมคบกัน เป็นเรื่องธรรมดา”
อันที่จริงลู่หมิงอยากจะพูดต่อ ทว่าเมื่อมองเห็นบิดากำลังเดินเข้าพร้อมกับชายหนุ่มอายุประมาณ 26 ปีผู้มีใบหน้าหล่อเหลา และดวงตาเปล่งประกายแวววามอย่างผู้มีอำนาจวาสนา เขาจึงเงียบลง
ชายคนนั้นเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าเยี่ยฉวน ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายและยิ้มออกมาน้อยๆ “นี่คงเป็นน้องชายเยี่ยฉวน?”
เยี่ยฉวนหันไปมองลู่เสี่ยวหราน สหายผู้เป็นขุนนางจึงรีบเร่งอธิบาย “เยี่ยฉวนสหายข้า ท่านผู้นี้คือเจียงเหนียนเฉิง องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเจียง
องค์ชายใหญ่!
เยี่ยฉวนตกตะลึง พอได้สติ เขาพลันรีบกระแทกกำปั้นกับฝ่ามือแสดงคารวะต่อองค์ชายทันที “เกล้ากระหม่อมเยี่ยฉวนแห่งเมืองชิงพ่ะย่ะค่ะ”
สุ้มเสียงกล่าวด้วยจริงใจไร้ซึ่งทั้งประจบสอพลอและยโสโอหัง
“ท่านเป็นคนที่ขุนนางลู่กล่าวถึง น้องชายเยี่ยฉวน ข้าละอยากจะรู้จักเจ้าให้มากขึ้นเสียจริง!”
เยี่ยฉวนยังมิทันเอ่ยปาก น้ำเสียงเจือตื่นเต้นพลันดังมาจากบริเวณลานกว้าง “โม่สุ่ยชิง มาถึงแล้ว”
โม่สุ่ยชิง!
สิ้นเสียงคนผู้นั้น พลันสายตาทุกคู่ก็หันเบนไปทางบันไดกันเสียสิ้น
แม้แต่องค์ชายใหญ่เองก็เช่นเดียวกัน ทรงขยับปัดฉลององค์แล้วเดินออกไปทางนั้นทันที
ลู่เสี่ยวหรานทำท่าเหมือนกำลังจะกล่าวออกมา ทว่าองค์ชายกลับเสด็จไปเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นเสีย เห็นได้ชัดว่าเขาตามประกบเพื่อต้องการแนะนำเยี่ยฉวนต่อองค์ชาย และด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่ยินยอม ดังนั้นเขาจึงยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวของอีกฝ่ายมากนัก เพียงแต่ต้องการทูลให้องค์ชายทรงทราบถึงความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวน ทว่าเขากลับต้องหยุดความคิดนั้นเสีย เพราะผู้ฝึกกระบี่อย่างเยี่ยฉวนคงไม่ชอบใจนัก
อาจจะเป็นการดีกว่าที่ไม่สามารถทำให้เยี่ยฉวนเป็นที่พอพระทัยขององค์ชายได้ ด้วยเพราะชายหนุ่มเองก็มิได้ปรารถนาเช่นนั้น นี่เรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น!
ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ามองในที่นั้น สตรีนางหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาตามบันไดบนชั้นที่สี่ของอาคาร
หญิงสาววัย 20 ปีในเสื้อผ้าอาภรณ์ยาวสีแดงเพลิง รูปร่างสูงและผอมบางดูงดงามอย่างยากจะหาใดเปรียบ คิ้วโก่งเรียวกับดวงตาเป็นประกาย นี่ยังไม่นับผิวหน้าขาวใสราวกระเบื้องเนื้อดีที่อ่อนนุ่มละมุนละไม ที่ยิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีกด้วยตากลมโตดั่งดวงดาวสุกสกาวในเพลาค่ำคืน เพียงแค่ชายตามองชั่วแว่บเดียวก็แทบทำให้ผู้พบเห็นเคลิบเคลิ้มใหลหลงในบัดดล
ช่างเป็นอิสตรีที่งดงามอย่างที่สุด!
แม้แต่เยี่ยฉวนเองก็ยังมองหญิงสาวนิ่งจนแทบไม่กระดิกตัว
ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้เมื่อพบเห็นของสวยหรือคนงาม ทว่าเพียงเพราะชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น หาได้มีความคิดที่เคลือบแฝงใดไม่
เยี่ยฉวนละสายตาหันมาถามลู่เสี่ยวหรานซึ่งยืนอยู่ข้างกันว่า “นางคือใครกัน ผู้อาวุโส?”
ลู่เสี่ยวหรานยิ้มและตอบมาว่า “นางคือโม่สุ่ยชิง หญิงที่งามที่สุดในเมืองหลวง!”
ยอดหญิงงามแห่งเมืองหลวง!
ชายหนุ่มหยุดชะงักก่อนจะถามกลับตามสัญชาตญาณ “แล้วแม่นางอันหลานซิ่ว?”
แม้จะยอมรับความงามยิ่งของสตรีตรงหน้า ทว่าก็อาจถือว่าเกินจริงไปถ้าจะบอกว่าความงดงามนั้นยิ่งกว่าอันหลานซิ่ว
ลู่เสี่ยวหรานยิ้มให้และกล่าวตอบ “เซียนกระบี่เช่นแม่นางอันหาได้มีชื่อเสียงเพราะรูปลักษณ์ไม่ สิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำแม่นางอันนั้นห่างไกลจากหน้าตาที่สะสวยของนางยิ่งนัก เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่ สหายข้า?”
เยี่ยฉวนเข้าใจดีถึงความนัยของคำพูดนั้น
ผู้คนที่นั่นพากันหันเหความสนใจทันทีที่โม่สุ่ยชิงมาปรากฏตัว พวกเขาเข้าไปยืนห้อมล้อมหญิงสาวประหนึ่งดาวที่กำลังโอบล้อมเดือนยังไงยังงั้น
เสียงลู่เสี่ยวหรานพูดต่ออย่างรวดเร็ว “โม่สุ่ยชิงมิได้มีเพียงความงามเพียงอย่างเดียว นางเป็นคนตระกูลโม่ซึ่งสืบเชื้อสายมาอย่างยาวนาน แม้แต่คนในราชวงศ์ยังต้องเกรงใจ ในเวลานี้สององค์ชายแห่งแคว้นเจียงเองก็กำลังต่อสู้เพื่อจะได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ ใครก็ตามที่ได้แต่งกับนาง คนผู้นั้นก็จะมีสิทธิ์ในฐานะองค์รัชทายาท ทว่าโชคร้ายที่นางตั้งเงื่อนไขไว้สูงมาก ทั้งยังเคยประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่าทั่วทั้งแคว้นเจียงหาชายใดคู่ควรกับนางเป็นไม่มี”
ถึงตรงนี้ก็มีเสียงเยี่ยหลิงร้องขัดจังหวะ “ข้าคิดว่าท่านพี่คู่ควรกับนาง!”
เยี่ยฉวนหันไปปรามด้วยสายตาก่อนพูดว่า “พี่อาจดีที่สุดสำหรับเจ้า แต่ไม่ใช่ในสายตาคนอื่น……พวกเขาต่างเห็นพี่เป็นเพี่ยงใบไม้ใบหญ้าเท่านั้น!”
น้องสาวยิ้มหวานพลางสวมกอดพี่ชายแน่น
ในสายตาของเยี่ยหลิง ท่านพี่ของนางดีที่สุดสำหรับหญิงสาวทุกคนในโลก!
เสียงหัวเราะของลู่เสี่ยวหรานดังแว่วมา “อย่าตีค่าของตัวเองจนต่ำเช่นนั้นเลย เจ้าเป็นชายหนุ่มที่มากด้วยพรสวรรค์ เมื่อใดที่เจ้าฝึกฝนจนสามารถชนะจิตใจตนเอง เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทางเป็นไปได้!”
ชายวัยกลางคนไม่รู้จักผู้ที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง แต่รู้เพียงว่าชายหนุ่มยังอยู่รอดปลอดภัยดีหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสแห่งสำนักอัปสรเมรัยหมายเอาชีวิต อีกทั้งยังกลายเป็นว่าจ้าวหอฮั่นกลับถูกฆ่าตายเสียเอง
เยี่ยฉวนได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ หันกลับไปพิจารณาโม่สุ่ยชิงอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่านางเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยหยิ่งทะนง ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไม่คิดจะสนใจอีก
ตามความคิดเห็นของเยี่ยฉวน คนสองคนจะอยู่ร่วมกันควรเกิดจากความพอใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก รวมทั้งนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ ถึงแม้ว่าพรสวรรค์และความสามารถจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันก็คงไร้ความหมายใดเมื่อความสัมพันธ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมของทั้งสองสิ่งนี้ตลอดจนฐานะทางครอบครัว
ถ้าความรักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง แล้วแบบนี้ความสัมพันธ์จะมีคุณค่าที่ตรงไหนกัน?
ไม่นานนักงานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้น พี่น้องตระกูลเยี่ยพร้อมลู่เสี่ยวหรานและบุตรชายเข้านั่งประจำที่ บนโต๊ะอาหารตรงหน้าพวกเขามีจานอาหารหลากหลายชนิดวางจนเต็มโต๊ะแล้ว แต่ทว่ายังคงถูกนำมาวางเพิ่มเติมเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
พี่ชายน้องสาวและลู่หมิงต่างกินอาหารกันอย่างมีความสุข เยี่ยฉวนและน้องเคยกินอยู่กันอย่างยากลำบาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งสองไม่ได้กินอาหารที่มีรสชาติชั้นเลิศเช่นนี้มาก่อน ส่วนเจ้าเด็กอ้วนเองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินด้วยความหิวโหย!
ขณะที่หลายคนกำลังทักทายโอภาปราศรัย บ้างกำลังดื่มเพื่อทำความรู้จัก มีเพียงคนสามคนที่กำลังง่วนกับอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย!
ลู่เสี่ยวหรานมองภาพนั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้า พร้อมทั้งหัวเราะอย่างฝืนๆ เวลานี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว ตนเองนั้นรู้จักนิสัยของลูกชายดี จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้พูดจาเสแสร้ง ด้วยขืนทำแบบนั้นก็คงรังแต่จะเกิดความบาดหมางใจกันเสียเปล่า ส่วนเยี่ยฉวน เขามองออกว่าชายหนุ่มมีความทะเยอทะยานและไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น……แต่ชายหนุ่มหารู้ตัวไม่ว่าการบอกใครต่อใครว่าเป็นจอมยุทธพเนจรก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนไม่อยากคบหา!
“ให้ตายเถอะ ไม่รู้หรือไงว่าการผูกมิตรและถามถึงครอบครัวตระกูลของเจ้าสำคัญเพียงไร? ไม่โง่ไปหน่อยหรือไงกัน?” ชายวัยกลางคนได้แต่คิดอยู่ในใจ
ว่าแล้วลู่เสี่ยวหรานจึงเบือนหน้าไปเสียจากภาพนั้น ก่อนที่เขาจะหันมาพูดว่า “พวกเจ้ากินกันไปก่อน ข้าเจอคนรู้จักจึงว่าจะแวะเข้าไปทักทายเสียหน่อย!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครใส่ใจ เขาจึงได้แต่ยิ้มๆ พลางส่ายหน้า ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไป
เยี่ยหลิงหยิบน่องไก่ส่งให้เยี่ยฉวนพลางว่า “ท่านพี่ ท่านควรกินอาหารบำรุงบ้างนะเจ้าคะ”
นางหันไปคีบผักกาดโปะลงบนชามข้าวของลู่หมิง “เอ้านี่เจ้าอ้วน ส่วนเจ้าต้องลดน้ำหนัก ผัดผักอร่อยจะตายต้องกินให้เยอะๆ!”
เจ้าหนูตัวอ้วนมองผักกาดในชามอาหาร ก่อนจะหันมาทำหน้าละห้อย “ท่านลำเอียงนี่นา พี่หลิง”
เยี่ยหลิงได้ยินเช่นนั้นถึงกับหัวเราะขำ ก่อนหันมาคีบเนื้อหมักซอสแดงส่งให้เยี่ยฉวนอีกพร้อมกับบอกว่า “ท่านพี่ เนื้อนี่อร่อยมาก มันทั้งนุ่ม……”
เมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยถึงกับพูดไม่ออก “ฮึ่ม คอยดูเถอะ ถ้าข้ากลับบ้านเมื่อไหร ข้าจะบอกท่านแม่ให้หาน้องสาวมาให้สักคน ไม่ใช่สิ สักสองคนก็แล้วกัน!”
สองพี่น้องหันมามองหน้าและส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ที่ปลายโต๊ะอีกด้านหนึ่ง สตรีสวมผ้าคลุมใบหน้าได้มาปรากฏข้างโม่สุ่ยชิง นางคือฮั่นเซียงเหมิงที่เพิ่งเดินทางมาถึง!!!
— จบตอน —
